หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1197

ตอนที่ 1197

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1197 บรรลุระดับตี้จื้อจุน
คลื่นกระแทกกินเวลานานก่อนที่จะสลายไป

ขณะที่จิ่วโยวและมั่นถัวหลัวจดจ้องไปที่ต้นกำเนิดของผลกระทบทันที

มิติบิดเบี้ยวค่อยๆ คืนสภาพเดิม ก่อนที่แสงสีม่วงทองจะระเบิดออกกะทันหัน เสาแสงหมื่นจั้งพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

ร่างยักษ์สีม่วงทองยืนตระหง่านอยู่ในใจกลางเสาแสงห่อหุ้มด้วยรัศมีอมตะ ทำให้ดูราวกับว่าไม่มีวันตาย

จิ่วโยวมองร่างยักษ์ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากเดิมมากนัก แต่ถ้าสัมผัสละเอียดจะรู้สึกได้ว่ายักษ์ตัวนี้หลอมรวมเข้ากับธรรมชาติ เรียกลมสั่งสายฟ้าพรูออกมาลมหายใจได้เลยทีเดียว

ขณะนี้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ประหนึ่งเชื่อมโยงกับคลื่นหลิงในฟ้าดิน สามารถรวมเจตจำนงเข้ากับสวรรค์และโลกควบคุมทั่วบริเวณนี้

สำหรับคนที่มีพลังน้อยกว่ามู่เฉิน การเข้ามาที่นี่เหมือนกับการก้าวเข้าสู่โลกของมู่เฉิน การฆ่าพวกเขาก็แค่พึ่งพาเพียงความคิดวูบเดียว

จิ่วโยวมองไปที่ใบหน้าของร่างสีม่วงทอง ก่อนหน้านี้ดูเลือนรางมากแต่เวลานี้ดูคล้ายกับมู่เฉิน มองจากระยะไกลเหมือนมู่เฉินที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้น

เป็นเพราะความสัมพันธ์ลึกล้ำยิ่งขึ้นระหว่างมู่เฉินกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์หลอมรวมกันอย่างลงตัว จึงสามารถรวมกันเพื่อรับพลังเพิ่มเติม

คล้ายคลึงกับผู้อาวุโสจั่วที่กลืนกินร่างเวทสวรรค์ของตนเอง พลังที่แพร่กระจายตอนนั้นทำให้มู่เฉินที่สั่งการกองทัพสังหารทางวิญญาณยังรู้สึกหวาดกลัว

มู่เฉินนั่งอยู่บนไหล่ของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ แสงสีม่วงทองพรั่งพรูออกมาบนผิวกายของเขา ประกายไฟบนร่างเขาได้ละลายหายไปหมดในเวลานี้

ตรงส่วนที่เหลืออยู่ ความผันผวนสีม่วงทองขนาดใหญ่ก็แผ่กระจายออกไปจากเขาซึ่งบรรจุด้วยคลื่นหลิงที่น่ากลัว

ยามนี้จิ่วโยวรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่มาจากมู่เฉิน แม้ว่าเขาจะไม่เคลื่อนไหวใดๆ ก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่นางเคยรู้สึกได้จากจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนเท่านั้น

ฮึ่ม

ขณะที่จิ่วโยวจ้องมองมา มู่เฉินก็ลืมตาขึ้น แสงสีม่วงอมทองเปล่งออกมาจากดวงตา ทำให้มิติถูกฉีกออกทันที

แสงแวววาวกินเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะสลายไป มู่เฉินเงยหน้าขึ้นสัมผัสถึงความรู้สึกแปลกประหลาดในบริเวณนี้ ซึ่งราวกับว่าตราบใดที่เขาต้องการก็จะสามารถควบคุมคลื่นหลิงยิ่งใหญ่ในพื้นที่นี้ได้

เขาเหยียดมือออก คลื่นหลิงก็รวมตัวกันก่อตัวเป็นภูเขาสูงหนึ่งร้อยจั้ง

ภูเขานี้เป็นประกายและดูงดงามราวกับอัญมณี ทว่านี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากพลังงานบริสุทธิ์ในพื้นที่นี้ ซึ่งไม่สามารถทำลายได้

“กลยุทธ์รูปแบบฟ้าดิน”

มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง นี่คือหนึ่งในสัญลักษณ์ของระดับตี้จื้อจุน สามารถควบแน่นคลื่นหลิงรอบตัวให้อยู่ในรูปแบบแตะต้องได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้ในอดีต

นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงการควบคุมคลื่นหลิงที่เหนือจินตนาการของจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุน

มู่เฉินก้มศีรษะลง รู้สึกว่าทุกครั้งที่หายใจเข้าก็จะทำการกลั่นคลื่นหลิงมหาศาลไปด้วย

ความเร็วในการดูดซับนี้ทำให้มู่เฉินตกตะลึง ร่างกายของเขาคล้ายกับเหวที่ไม่เคยอิ่มหนำ ไม่ว่าเขาจะดูดซับมากแค่ไหน

เมื่อก่อนมีเพียงจุดจื้อจุนไห่ ตอนนี้ทุกอณูในร่างกายบรรจุด้วยทะเลพลังที่กลืนกินอย่างตะกละตะกลาม

ความรู้สึกถึงพลังแบบนี้มึนเมาเหลือเกิน ตอนนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเท่านั้นถึงจะสามารถได้รับพิจารณาเป็นผู้ปกครอง

เนื่องจากความแข็งแกร่งนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าจะสามารถแข่งขันได้

มู่เฉินเหยียดมือออกมากำเบาๆ ภูเขาเบื้องหน้าสลายลง มุมปากของเขาโค้งขึ้น

“ระดับตี้จื้อจุน…ในที่สุดข้าก็บรรลุเป้าหมายแล้ว”

ประสบความสำเร็จกับภัยพิบัติหลิงนี้ ในที่สุดมู่เฉินก็ถือได้ว่าก้าวขึ้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่แท้จริงแล้ว!

หลังจากมู่เฉินสัมผัสถึงพลังที่ครอบครอง ทันใดนั้นแสงก็รวมตัวกันกึ่งกลางคิ้ว ข้อมูลจำนวนมากถูกปลดปล่อยออกมา

นี่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับคัมภีร์ระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานวิชาสามพิสุทธิ์ที่จักรพรรดิฟ้ามอบให้เขา!

ก่อนหน้านี้พลังของมู่เฉินมีจำกัด ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ แต่ด้วยความก้าวหน้าของเขา ชิ้นส่วนที่ปิดตัวก็เปิดออกในที่สุด

ขณะนี้เขาสามารถรู้แจ้งและรับรู้ถึงประสบการณ์ของจักรพรรดิฟ้าได้

“อย่างนี้นี่เอง”

มู่เฉินไขความลึกซึ้งหลายอย่างเกี่ยวกับวิชาสามพิสุทธิ์ ทันใดนั้นเสียงเข้าใจก็ดังสะท้อนในหัวใจของเขา วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดซึ่งก่อนหน้าเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เริ่มมีเค้าโครงขึ้นในสมองของเขาแล้ว

แน่นอนว่านี่เป็นเพราะภายในประกอบด้วยความเข้าใจของจักรพรรดิฟ้า มิฉะนั้นแม้ว่ามู่เฉินจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนก็ยังต้องใช้เวลาหลายปีก่อนที่จะเข้าใจถ่องแท้

แต่ด้วยความช่วยเหลือของจักรพรรดิฟ้า ก็ช่วยเขาย่นความพยายามหลายปี สามารถบรรลุผลสำเร็จในก้าวเดียว!

ประกายแสงวูบไหวในดวงตาของมู่เฉิน เขานั่งนิ่งไปครึ่งวันเต็มๆ ก่อนที่จะเบิกตากว้างในช่วงเวลาหนึ่ง

เขายกมือขึ้นช้าๆ จากนั้นก็สร้างตราประทับโบราณ

ฮึ่ม!

เมื่อตราประทับถูกสร้างขึ้น เสียงแปลกประหลาดก็ราวกับดังก้องในมิติแล้วกระจายออกไป

“วิชาสามพิสุทธิ์ แยก!”

“ใบมีดแยก!”

เสียงมีเสน่ห์ดังก้องจากปากมู่เฉิน จากนั้นแสงหลิงสว่างไสวสีขาวก็พวยพุ่งออกจากหัว ม้วนตัวอย่างต่อเนื่องที่เบื้องหน้าเขา ก่อร่างเป็นภาพกระบี่ลวงตา

กระบี่นี้ดูแปลกประหลาด แม้จะมองเห็นได้ แต่ก็ให้ความรู้สึกลวงตา ราวกับว่าเป็นเพียงภาพทับซ้อน

“เขากำลังทำอะไร?” จิ่วโยวอึ้งไปกับภาพนี้

มั่นถัวหลัวครุ่นคิดสั้นๆ “ถ้าข้าเดาได้ถูก เขาน่าจะลองฝึกวิชาสามพิสุทธิ์อยู่น่ะ!”

ขณะที่พูดแม้แต่คนอย่างนางก็ไม่สามารถปกปิดความตกใจในดวงตาได้ ชื่อเสียงของวิชาสามพิสุทธิ์เป็นที่โจษขานเนื่องจากจักรพรรดิฟ้าอาศัยวิชานี้ครอบครองบัลลังก์ในมหาพันภพ

และตอนนี้มู่เฉินกำลังจะประสบความสำเร็จวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดแล้วเรอะ?

กระทั่งนางยังเริ่มที่จะอิจฉาโอกาสของมู่เฉิน

“แยก!”

ขณะที่พวกนางสนทนา มู่เฉินก็ยืนขึ้นมองไปที่กระบี่ลวงตาที่เบื้องหน้า เขาสร้างตราประทับด้วยมือเดียวแผดเสียงคำราม

ฮึ่ม!

ใบมีดเบาบางสั่นไหวก่อนที่จะพุ่งลงมาเฉือนหัวของมู่เฉินในแนวตั้ง

มู่เฉินยืนอยู่โดยไม่มีการเคลื่อนไหว

วาบ!

ใบมีดกรีดผ่านศีรษะเขาไป ทว่าวินาทีต่อมาก็กรีดต่อไปไม่ได้หยุดลง

ใบมีดกรีดทะลุร่างมู่เฉิน

เมื่อใบมีดผ่านไปก็ทำให้เกิดประกายไฟสีแดงเข้มลอยออกมาทางด้านขวามือของมู่เฉิน มันขยับเขยื้อนไม่หยุดพลางเปล่งความผันผวนแปลกประหลาดออกมา

จากการเฉือนนี้มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ถูกแยกออก เหมือนเป็นทั้งเลือดเนื้อและวิญญาณ

ทว่าการแยกนี้ไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายใดๆ กับเขา

“อีกครั้ง!”

เขาคำรามขึ้น

วาบ!

ใบมีดพุ่งลงมาอีกครั้งผ่านร่างเขาไป เมื่อเคลื่อนออกไปก็นำพาก้อนแสงสีแดงเข้มอีกก้อนแยกออกมา

หลังจากเคลื่อนไหวสองครั้ง ใบมีดลวงตาก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มู่เฉินหันกลับไปมองกลุ่มแสงสีแดงเข้มสองดวง

แสงสีแดงเข้มค่อยๆ ก่อเป็นรูปเป็นร่าง

ร่างสองร่าง หนึ่งในชุดดำและหนึ่งในชุดขาว ทั้งคู่มีม่านตาสีดำและรูปร่างหน้าตาคล้ายกันราวกับแกะ รัศมีทรงพลังแบบเดียวกับมู่เฉินถูกเปล่งออกมา

ทั้งสองเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน!

มู่เฉินมองดูร่างทั้งสองพร้อมรอยยิ้มจากนั้นก็ยกมือขึ้น “ข้าคือมู่เฉิน”

ร่างในชุดสีดำและสีขาวก็ยิ้มเช่นกัน ขณะที่ยกมือขึ้นคำนับ

“ข้าคือมู่เฉิน”

“ข้าคือมู่เฉิน”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท