หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1202

ตอนที่ 1202

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1202 คุณสมบัติในการเป็นประมุข
โถงใหญ่เงียบสนิท

หลังจากหลิ่วเทียนเต้าเปิดปากขึ้น ขณะที่จิ่วโยวและคนอื่นๆ จ้องมองเขาอย่างเกรี้ยวกราด หากไม่ใช่เพราะฐานะของหลิ่วเทียนเต้าละก็ พวกเขาคงจะเริ่มแซะอีกฝ่ายเพื่อปกป้องมู่เฉินแล้ว

ทว่าเปรียบเทียบกับพรรคพวกแล้ว มู่เฉินยังคงมีสีหน้าสงบไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ เลย ตามสิ่งที่เขาคาดหมายไว้หลิ่วเทียนเต้าต้องปฏิเสธแน่ เนื่องจากพวกเขามีเรื่องบาดหมางเมื่อในอดีต แน่นอนว่าสาเหตุที่อีกฝ่ายโกรธเคืองขนาดนี้ อาจเป็นเพราะความไม่สมดุลในใจ

ประมุขอีกสี่คนไม่ได้พูดอะไร แต่พวกเขาน่าจะมีความคิดเช่นเดียวกับหลิ่วเทียนเต้า เพียงแค่พวกเขาอดทนมากกว่า ไม่ต้องการโดดเด่นมากไปเท่านั้น

แต่ไม่ว่าอย่างไรทั้งห้าคนก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินไม่มีคุณสมบัติที่จะยืนเหนือพวกเขา

ดังนั้นถ้ามู่เฉินต้องการนั่งในตำแหน่งนี้ นอกเหนือจากการสนับสนุนของมั่นถัวหลัว เขาจะต้องข่มขวัญจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทั้งห้าด้วยพลังของตนเองคนเดียวด้วย มิฉะนั้นขั้วอำนาจที่จะก่อตั้งใหม่จะไม่มั่นคงและสั่นคลอน

ดังนั้นเมื่อมั่นถัวหลัวได้ยินคำพูดของหลิ่วเทียนเต้า นางก็นิ่งเงียบ นางต้องการให้มู่เฉินจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

เมื่อประมุขทั้งห้าเห็นท่าทางของนาง พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจ

มู่เฉินยิ้มบางเงยหน้าขึ้นมองหลิ่วเทียนเต้าพูดด้วยเสียงนุ่มนวล “ผู้อาวุโสหลิ่วบอกว่าข้าไม่มีคุณสมบัติ งั้นไม่รู้ว่าคุณสมบัติที่ว่าจะได้รับอย่างไร?”

หลิ่วเทียนเต้ากระตุกเปลือกตาขึ้น “หากเจ้าต้องการอยู่เหนือพวกข้าก็แสดงพลังให้ประจักษ์”

“แม้ว่าเจ้าจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแล้ว แต่ก็ยังตื้นเขินเกินไป ดังนั้นหากเจ้าต้องการก้าวข้ามพวกข้า ต่อให้พวกข้ายอม ผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเราก็จะไม่พอใจและเรียกร้อง ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งได้”

หลิ่วเทียนเต้าเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ เมื่อเอ่ยปากก็ลากกระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชาตามมาด้วยเป็นพรวน

มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มขณะที่มองอีกสี่คน “ผู้อาวุโสทั้งสี่ก็คงมีความคิดเหมือนกันใช่ไหม?”

ทั้งสี่ตอบแบบไม่ยี่หระ “ถึงแม้พี่ชายน้อยมู่จะก้าวเข้ามาอยู่จุดเดียวกัน แต่เจ้ายังขาดประสบการณ์ ดังนั้นยากที่จะโน้มน้าวใจมวลชนได้”

แม้ว่าพวกเขาจะแสดงการคัดค้าน แต่ก็ไม่ต้องการที่จะสร้างความขุ่นเคืองให้กับจอมยุทธ์อัจฉริยะที่อายุน้อยแบบนี้ ในอนาคตมู่เฉินไปไกลกว่าพวกเขาแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงให้ความสุภาพอยู่บ้างเมื่อพูดกับเขา

มู่เฉินยิ้ม “สุดท้ายคุณสมบัติที่พูดถึง… ก็คือใครกำปั้นใหญ่กว่าสินะ”

คำพูดของมู่เฉินตรงไปตรงมามาก ทั้งห้าคนยิ้มแต่ไม่ได้ลบล้างคำพูดของมู่เฉิน

มือของมู่เฉินลูบโต๊ะขณะยิ้ม ความคมชัดพล่านมารวมกันในนัยน์ตา เขาพูดช้าๆ “งั้นไม่รู้ว่ามีใครคิดจะมาทดสอบกำปั้นดูไหมว่าใครใหญ่กว่ากัน?”

เมื่อมู่เฉินพูด พายุใหญ่ก็โหมกระหน่ำในห้องโถง แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวเข้าครอบงำไปทั่ว มิติโดยรอบก็บิดเบี้ยวราวกับคลื่นน้ำ

ที่เบื้องหลังมู่เฉินท่าทางของจิ่วโยวและเหล่าจอมพลเปลี่ยนไป พวกเขารู้สึกอึดอัดจากแรงกดดันที่มาจากมู่เฉินจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

นี่ทำให้พวกเขาถอนหายใจ ความแตกต่างระหว่างระดับจื้อจุนขั้นเก้ากับระดับตี้จื้อจุนกว้างใหญ่จริงๆ

ประมุขทั้งห้าหดตาลง เสื้อผ้าเผยิบผยาบ แสงหลิงส่องประกายรอบตัวขณะที่ต้านทานแรงกดดันที่มาจากมู่เฉิน

“ฮ่าๆ พี่ชายน้อยมู่คมราวกับกระบี่จริงๆ”

หลิ่วเทียนเต้ายิ้ม จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อพลางพูดต่อว่า “งั้นข้าขอเป็นคนทดสอบเจ้าเอง”

เขารู้ว่ามู่เฉินเคี้ยวไม่ง่าย แต่เขาก็มั่นใจเพราะว่าอยู่ในระดับตี้จื้อจุนมานานหลายปี มู่เฉินยังสดใหม่เกินไป ดังนั้นเขาจึงมีความมั่นใจว่าสามารถปราบปรามอีกฝ่ายได้

แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะขัดมู่เฉินมาก พวกเขาเพียงแค่ต้องการลบความเฉียบคมของมู่เฉินลงบ้าง สอนให้รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเผชิญหน้ากับพวกเขาทั้งห้าตามลำพัง

“ไม่รู้ว่าเจ้าจะพิสูจน์ให้เห็นยังไง? ต่อให้ต้องการประลองซึ่งหน้า ข้าก็ยินดีนะ” หลิ่วเทียนเต้ากล่าวเสียงกร้าวราวกับว่าต้องการต่อสู้กับมู่เฉิน หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เขาจะสามารถระงับความคมของมู่เฉินได้ ในเวลาเดียวกันตำแหน่งของเขาในพันธมิตรก็จะเพิ่มขึ้น

เมื่อเห็นหลิ่วเทียนเต้าแข็งขันขนาดนี้ มู่เฉินก็พลิกนิ้วนุ่มนวลพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน “แม้ว่าการประลองจะปฏิบัติได้จริง แต่ก็ไม่เป็นที่น่าเพียงพอ”

ทั้งคู่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ดังนั้นพวกเขาจะต้องเดิมพันด้วยความเป็นตายหากต้องการจะรู้ผลแพ้ชนะ นั่นเป็นภาพที่มู่เฉินไม่ต้องการเห็น เพราะถ้าเขาได้เป็นประมุขขึ้นมา ก็ไม่ต้องการสูญเสียกำลังพลไป

คนอย่างหลิ่วเทียนเต้าไม่ใช่หัวผักกาดที่พบได้ทุกที่

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน หลิ่วเทียนเต้าก็คิดว่าอีกฝ่ายไม่มั่นใจที่จะต่อสู้ “ข้าว่าตามเจ้า ไม่ว่าเจ้าต้องการต่อสู้ด้วยวิธีใดก็ตาม”

มู่เฉินยิ้มบางก่อนจะยื่นมือออกมาแสงหลิงรวมตัวกันอยู่ภายใน “ในเมื่อผู้อาวุโสหลิ่วมีความมั่นใจมาก งั้นข้าจะสร้างค่ายกล ตราบเท่าที่ท่านสามารถทนอยู่ได้ถึงสองชั่วโมง ข้าจะยอมรับความพ่ายแพ้และจะยอมรับท่านในฐานะหัวหน้า”

โห่

เสียงปั่นป่วนดังขึ้นในโถง ทุกคนมองมู่เฉินด้วยความไม่อยากจะเชื่อ พวกเขารู้ว่ามู่เฉินเชี่ยวชาญด้านค่ายกล แต่เขามีความสามารถในการสร้างค่ายกลระดับจงซือหรือ?

นอกจากนี้ต่อให้เป็นค่ายกลระดับจงซือก็ได้แต่ขังหลิ่วเทียนเต้าไว้เท่านั้น เรื่องที่ทนอยู่สองชั่วโมงช่างน่าตลกเหลือเกิน

นั่นเป็นเพราะหากมู่เฉินต้องการเอาชนะหลิ่วเทียนเต้า เขาก็ต้องสร้างค่ายกลระดับจงซือขั้นกลางที่สร้างปัญหาให้กับจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนขั้นปลายได้!

มู่เฉินโอหังเกินไปหน่อยรึเปล่า?

“ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”

หลิ่วเทียนเต้าหัวเราะร่วน ไม่คิดว่ามู่เฉินจะโอหังเพียงนี้ ทว่าเขาก็ยินดีกับคำพูดของมู่เฉิน นั่นเป็นเพราะถ้ามู่เฉินแพ้ก็จะเสียโอกาสที่จะขึ้นไปสู่จุดสูงสุด

ความตั้งใจที่มั่นถัวหลัวต้องการส่งเขาเป็นประมุขก็จะจบสิ้น ในทางตรงกันข้ามเขาอาจสามารถใช้สิ่งนี้ในการกลายเป็นผู้นำคนใหม่ เพราะดูท่ามั่นถัวหลัวไม่ได้สนใจตำแหน่งเท่าไร

“ในเมื่อพี่ชายน้อยมู่มั่นใจซะขนาดนี้ งั้นให้ข้าลิ้มรสหน่อยว่าค่ายกลของเจ้ามีความสามารถมากแค่ไหน!” หลิ่วเทียนเต้ายิ้มเยาะขณะที่ไพล่มือไว้ด้านหลัง

มู่เฉินยิ้มบาง ไม่ได้พูดอีก เขาสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นสัญลักษณ์หลิงยิ่งก็พวยพุ่งออกไปเป็นผนึกสาย

ผนึกเหล่านั้นรวมเข้ากับอากาศ มิติผันผวน เส้นหลิงจำนวนมากเชื่อมโยงกันเป็นค่ายกลที่ลึกซึ้ง

ในชั่วไม่กี่สิบลมหายใจค่ายกลก็ถูกสร้างขึ้น รวบรวมคลื่นหลิงในบริเวณนี้เอาไว้ทั้งหมด

โฮก!

เสียงคำรามของมังกรดังออกมาจากค่ายกลคลุมเครือพร้อมกับแรงกดดันแปลกประหลาด

เมื่อมองเข้าไปที่ค่ายกลขนาดมหึมาบนท้องฟ้า จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทั้งห้าก็หดตาลง ขณะที่เกิดความชื่นชมในหัวใจ ค่ายกลนี้อยู่ในระดับจงซือแท้จริงแล้ว

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมมู่เฉินถึงมั่นใจมาก ที่แท้มีพลังเช่นนี้ ช่างผิดคาดจริงๆ

โฮก!

คลื่นหลิงทรงพลังม้วนตัวอยู่ในผนึกเส้นสายค่ายกลยิ่งใหญ่ก่อเป็นมังกรสามตัว ซึ่งปล่อยแรงกดดันมหาศาล

ด้วยพลังในปัจจุบันของเขา ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารทรงพลังยิ่งกว่าในอดีตหลายเท่า

“ค่ายกลนี้ ใช้ได้เลยทีเดียว”

หลิ่วเทียนเต้ามองค่ายกลด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปเผชิญหน้ากับมู่เฉิน “แต่ถ้านี่คือทั้งหมดที่เจ้ามี ข้าสามารถทำลายได้ทุกเมื่อ”

เขาบอกได้ว่าค่ายกลนี้ค่อนข้างลึกซึ้ง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะคุกคาม

“นอกจากนี้นี่ยังเป็นค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ที่มีช่องโหว่มากมาย หากเจ้าคิดว่าสามารถใช้ค่ายกลไม่สมบูรณ์ในการเอาชนะข้าได้ เจ้าก็ไร้เดียงสาเกินไป” หลิ่วเทียนเต้าเหน็บมู่เฉินอย่างไม่สนใจ

มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม สายตาของหลิ่วเทียนเต้าเฉียบคมจริง เขาสามารถบอกได้ว่าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารนี้ยังไม่สมบูรณ์

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้”

มู่เฉินยิ้มวาดตราประทับด้วยมือเดียว

“งั้นก็ขอให้ผู้อาวุโสหลิ่วลิ้นรสฉบับเต็มของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารหน่อยละกัน”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท