หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1210

ตอนที่ 1210

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1210 ดอกไม้เทพธิดาลั่ว
ฟู่ ฟู่!

เปลวไฟสีแดงเข้มแผดเผาห่อหุ้มร่างลั่วหลีไว้ มองจากที่ไกลนางดูราวกับเปลวไฟสีแดงเข้มที่ลุกโชนระหว่างชั้นฟ้าและชั้นดิน

แปะ

ทว่าขณะที่เปลวไฟล้อมรอบตัว เลือดกลั่นก็หลั่งไหลจากมือลงสู่แม่น้ำ

แม่น้ำลั่วเสินเกิดจากบรรพบุรุษผู้กล้าของตระกูล—ลั่วเสินหลังจากที่เสียชีวิตลง แม่น้ำนี้บรรจุพลังของลั่วเสินเอาไว้ แต่ต้องใช้สายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุดของราชวงศ์ในการกระตุ้น

เมื่อเลือดสดหยดลงไปในแม่น้ำ สีแดงก็เริ่มเข้มลึกขึ้นพร้อมกับเกลียวเพลิงสีแดงเข้มเต้นระริกพล่านเข้าหาร่างของลั่วหลี

ลั่วเทียนเสินยืนอยู่ทางด้านขวามือของลั่วหลีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขามองแม่น้ำลั่วที่อยู่เบื้องล่าง เล่าขานกันว่ายิ่งสายเลือดราชวงศ์ของตระกูลลั่วเสินบริสุทธิ์มากก็จะทำให้เกิดการสั่นพ้องจากแม่น้ำ โดยให้ผู้ที่มีส่วนร่วมในพิธีได้รับพลังที่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น

ลั่วหลีคือผู้สืบเชื้อสายตรงในปัจจุบันที่มีสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุด ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เขาทดสอบตั้งแต่นางแรกเกิด ดังนั้นเขาจึงเชื่อมั่นว่าพิธีเทพธิดาลั่วครั้งนี้จะไม่เหมือนกับในอดีต

ลั่วเทียนเสินหรี่ตาลงมองไปที่ท้องฟ้าไกลออกไปด้วยแสงเย็นเยือก เขารู้ว่าศัตรูกำลังเฝ้าดูพวกเขาอยู่ หากลั่วหลีทำให้พิธีเทพธิดาลั่วครั้งนี้เกินความคาดหมาย พวกศัตรูจะต้องลงมือทำลายอย่างแน่นอน

เขาไม่มีทางปล่อยให้พวกมันประสบความสำเร็จได้

นั่นเป็นเพราะลั่วหลีเป็นความหวังสุดท้ายของตระกูล ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับนางตระกูลลั่วเสินที่นางพากเพียรรวมเป็นหนึ่งก็จะถูกทำลาย ในเวลานั้นตระกูลลั่วเสินก็จะถูกลบเป็นหน้าประวัติศาสตร์

แม้ว่าเขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่ก็ยังมีอาการบาดเจ็บมากมายในอดีตทิ้งไว้ ทำให้พลังของเขาลดลงตามบารมี มิฉะนั้นเขาคงทำให้ไอ้ลูกหมาสามตัวนั้นเชื่องไปแล้ว

แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องบอกให้พวกที่พยายามขัดขวางพิธีเทพธิดาลั่วรู้ว่าแม้แต่เสือที่กำลังจะตายก็ยังมีเขี้ยวคม!

เมื่อความคิดนี้พุ่งเข้ามาในสมอง ใบหน้าของลั่วเทียนเสินก็เหี้ยมเกรียมด้วยรังสีสังหารที่พล่านในใจ

ซ่า!

ทันใดนั้นแม่น้ำลั่วก็เดือดปุด ก่อนที่ฟองอากาศสีแดงเข้มจะปรากฏขึ้น

การเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำนี้ ทำให้ทุกคนพุ่งความสนใจมาทันที

ปัง!

ฟองอากาศแตกออก ริ้วแสงสีแดงเข้มลอยขึ้นก็ค่อยๆ ถักทอเป็นดอกไม้สีแดงขนาดเท่าฝ่ามือ

เปลวไฟร้อนระอุเต้นระริกบนดอกไม้ เหมือนจะมีโครงร่างบางบนทุกกลีบดอก แม้ว่าภาพจะพร่าเลือน แต่ก็เป็นความงามที่ทำให้ทุกคนมึนเมา

ขณะที่ดอกไม้เบ่งบาน สายเลือดที่ยิ่งใหญ่และโบราณก็เปล่งออกมา

เมื่อลั่วเทียนเสินและจอมยุทธ์คนอื่นๆ ของตระกูลเห็นดอกไม้นี้ ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยความยินดีท่วมท้น

“นั่นคือ…ดอกไม้เทพธิดาลั่ว!”

สมาชิกราชวงศ์บางคนอดส่งเสียงฮือฮาออกมาไม่ได้ ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความตกตะลึง

พิธีเทพธิดาลั่วจะแสดงสัญญาณตามความบริสุทธิ์ของสายเลือด ซึ่งในตำนานสิ่งที่บริสุทธ์ที่สุดก็คือดอกไม้เทพธิดาลั่ว!

ดอกไม้เทพธิดาลั่วว่ากันว่าถูกสร้างขึ้นจากเลือดบรรพบุรุษของพวกเขาลั่วเสินที่ละร่างไว้ในส่วนลึกของแม่น้ำ เฉพาะสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุดเท่านั้นที่สามารถกระตุ้นได้

ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของตระกูล การปรากฏของดอกไม้เทพธิดาลั่วสามารถนับได้ด้วยมือเดียว ไม่มีใครคาดหวังว่าจะได้มาเป็นประจักษ์พยานในวันนี้

จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทั้งสามคนจากตระกูลสาขาก็เผยท่าทางไม่อยากเชื่อและหวาดผวาบนใบหน้าเมื่อเห็นภาพนี้

“ทำไม…เป็นดอกไม้เทพธิดาลั่วได้?!” พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันขณะพูดเสียงตะกุกตะกัก พวกเขารู้ดีว่าสายเลือดของลั่วหลีบริสุทธิ์มาก แต่พวกเขาไม่คิดเลยว่านางจะสามารถกระตุ้นดอกไม้เทพธิดาลั่วในพิธีครั้งนี้ได้

ใบหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนไปไม่หยุด เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันนี้ พิธีเทพธิดาลั่วครั้งนี้ไม่ใช่ธรรมดาแล้ว หากนางสามารถได้รับมรดกของลั่วเสินจริงๆ ละก็ นางจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนและคงก้าวเกินจินตนาการของพวกเขาในอนาคตอีก

ไม่มีใครรู้ว่าลั่วหลีจะกลายเป็นเทพธิดาลั่วคนที่สองของตระกูลลั่วเสินหรือไม่

ถ้านั่นเป็นเรื่องจริงตำแหน่งของนางจะไม่มีวันสั่นคลอน กระทั่งตระกูลสาขาของพวกเขาก็ต้องโค้งคำนับต่อนาง นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุดคือตาแก่อย่างพวกเขาที่พยายามลากลั่วหลีลงมาจะต้องถูกจัดการแน่นอน

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ แสงชั่วร้ายก็วาบผ่านดวงตาของพวกเขา

ขณะที่ฝ่ายอื่นๆ ของตระกูลลั่วเสินมีความคิดต่างกันไป ประชาชนที่มองดูดอกไม้สีแดงเข้มก็ส่งเสียงโห่ร้อง

พวกเขาทุกคนมีสายเลือดบางจางของเทพธิดาลั่วเสินไหลอยู่ในร่างกาย ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกได้ถึงความเคารพนับถือที่มาจากส่วนลึกสายเลือด

ฉากนี้ไม่เคยปรากฏในพิธีเทพธิดาลั่วที่ผ่านมา ดังนั้นทุกคนจึงบอกได้ว่าพิธีในครั้งนี้จะต้องพิเศษน่าตระการตาแน่นอน

ภายใต้เสียงโห่ร้อง ดอกไม้เทพิดาลั่วก็ตกบนร่างลั่วหลี ทันทีนั้นเปลวไฟสีแดงเข้มที่ห่อหุ้มร่างของนางก็ขยายออก

ฟู่ ฟู่!

เสาเพลิงขนาดหลายร้อยจั้งพุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าเติมบรรยากาศด้วยกลิ่นเลือด

เมื่อเปลวไฟแผ่กระจายออก ทุกคนก็สามารถรู้สึกได้ว่าในร่างกายของลั่วหลีที่ถูกเปลวไฟห่อหุ้มเริ่มเปล่งความผันผวนคลื่นหลิงที่ทรงพลังออกมา

ขุมพลังของนางเริ่มไต่ขึ้นไปสู่ขอบเขตของระดับตี้จื้อจุน

เมื่อสังเกตเห็นการเติบโตขุมพลังของลั่วหลี ลั่วเทียนเสินก็ถอนหายใจโล่งอก

“ฮ่าๆ สมเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงของตระกูลลั่วเสิน แค่พิธีเทพธิดาลั่วยังทำให้เกิดความปั่นป่วนขนาดนี้ได้” ทว่าทันทีที่ลั่วเทียนเสินถอนหายใจโล่งอก จู่ๆ เสียงหัวเราะก็ดังก้องขึ้น

ใบหน้าของลั่วเทียนเสินเปลี่ยนไปทันที เขาหันไปหาที่มาของเสียง “ตระกูลเสี่ยเสิน—เสี่ยหลิงจื่อ!”

ท้องฟ้าสีฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานราวกับคลื่นโลหิตพล่านไปในภูมิภาคนี้

ชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีแดงเลือดปรากฏตัวขึ้นจ้องมองไปที่ลั่วเทียนเสิน รอยยิ้มฉายในดวงตาสีแดงเข้ม เขาประสานมือ “ได้ข่าวว่าตระกูลลั่วเสินกำลังทำพิธีเทพธิดาลั่ว ตระกูลเสี่ยเสินจึงมาที่นี่เพื่อเป็นประจักษ์พยาน”

วาบ!

กองทัพทั้งสองที่ประจำการอยู่ข้างแม่น้ำลั่วก็ระเบิดคลื่นทรงพลัง ลั่วชิงหยาและลั่วซิวมองแขกไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเย็นยะเยือก คลื่นหลิงพวยพุ่งในร่างกายของพวกเขาค่อยๆ หลอมรวมกับกองทัพที่เบื้องหลัง ปลดปล่อยรัศมีจั้นยี่ที่ทรงพลังสองสายออกมา

ทั้งสองคนเป็นจั้นเจิ้นซือ!

ทว่าการควบคุมของพวกเขาอยู่ในระดับวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือเท่านั้น

ความโกลาหลแตกออก ทุกคนมองร่างเงานั้นด้วยความโกรธเกลียด ชิงชังและความหวาดกลัว ชัดว่าพวกเขาคุ้นหน้าแขกคนนี้ เนื่องจากคนที่มาก็คือประมุขตระกูลเสี่ยเสิน…เสี่ยหลิงจื่อ!

ชื่อเสียงเหม็นเน่าของเขาในดินแดนซีเทียนเล็กสามารถทำให้เด็กน้อยร้องไห้จ้าได้เลยทีเดียว

“ไสหัวไป! ตระกูลลั่วเสินไม่ต้อนรับแก!” ลั่วเทียนเสินจ้องไปที่เสี่ยหลิงจื่อขณะที่ตะเบ็งเสียง

คลื่นหลิงมหึมากวาดออกไป ทำให้มิติบิดเบือนอย่างรุนแรงพร้อมกับแรงกดดันที่น่ากลัวปกคลุมสวรรค์และโลก

“ฮ่าๆ ไม่มีซอกมุมไหนในดินแดนซีเทียนเล็กนี้ที่ตระกูลเสี่ยเสินไม่สามารถไปได้” ได้ยินเสียงคำรามของลั่วเทียนเสิน เสี่ยหลิงจื่อก็ยิ้มเยาะ

เมื่อเขาโบกมือ คลื่นโลหิตก็พวยพุ่งที่ด้านหลัง ร่างเงาห้าร่างก้าวเดินออกมาอย่างช้าๆ ซึ่งเมื่อปรากฏตัวก็ทำให้ทุกคนต้องสูดลมหายใจเย็นเข้าไปลึกสุดปอด

นั่นเพราะทั้งห้าคนมีความผันผวนของคลื่นหลิงที่ทรงพลังรอบตัว… นี่คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นห้าคน!

“นั่นคือผู้อาวุโสทั้งห้าของตระกูลเสี่ยเสิน ไม่คิดว่าครั้งนี้จะมากันหมดเลย!” ฝูงชนกลายเป็นความโกลาหลตามด้วยเสียงหวาดกลัว

ใบหน้าของลั่วเทียนเสินเขียวคล้ำ ดูเหมือนว่าตระกูลเสี่ยเสินตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำลายพิธีเทพธิดาลั่ว ถึงกับนำจอมยุทธ์ชั้นสูงทั้งหมดออกมา!

นอกจากนี้เขายังสามารถสัมผัสได้คลุมเครือถึงคลื่นหลิงที่ลึกซึ้งและทรงพลัง ซึ่งเขาคาดว่าน่าจะมาจากตระกูลลี่เสินและตระกูลกู่เสิน เพียงแค่ความขัดแย้งของพวกเขากับตระกูลลั่วเสินไม่ชัดเจน แต่ลั่วเทียนเสินรู้ว่าเมื่อไรที่พวกตนแสดงความอ่อนแอออกมา คนพวกนั้นก็จะไม่ลังเลที่จะเหยียบย่ำซ้ำเติม!

คราวนี้ตระกูลลั่วเสินตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแล้ว

เสี่ยหลิงจื่อยิ้มมองไปที่ลั่วเทียนเสิน ก่อนจะหันเหความสนใจไปที่ลั่วหลี “ตราบใดที่เจ้าเห็นด้วยที่จะให้ลั่วหลีแต่งเข้าตระกูลเสี่ยเสิน ตระกูลของข้าก็จะให้การสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแก่ตระกูลเจ้า”

“ลั่วเทียนเสิน ข้ามาด้วยความตั้งใจอันเป็นสันติ อย่าย้อมพื้นด้วยเลือดเลย”

ลั่วเทียนเสินมองเสี่ยหลิงจื่อโดยไม่มีริ้วอารมณ์ใด “ในเมื่ออยากจะรู้คำตอบนัก งั้นข้าจะบอกให้”

เขายกมือขึ้นโบกพร้อมกับเสียงเย็นที่เต็มไปด้วยไอสังหารระเบิดดังก้อง

“ค่ายกลแม่น้ำลั่ว!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท