หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1214

ตอนที่ 1214

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1214 ความน่าสะพรึงกลัว
ตู้ม!

ลำแสงสีเลือดสามสายทะยานผ่านสายตาสมาชิกชั้นสูงตระกูลลั่วเสินไป พวกเขาจ้องมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาโหดเหี้ยม

เบื้องล่างมีร่องสามร่องบนแม่น้ำลั่วเกิดขึ้นภายใต้ความเร็วสูงนั่น

พวกเขาทั้งสามเข้าใกล้มู่เฉินในพริบตา

สายตาทุกคู่พุ่งความสนใจไป แม้พวกเขารู้สึกว่ามู่เฉินชะตาขาดแล้ว ทว่าพวกเขาก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นการแสดงออกที่สงบนั่น หรือว่าชายหนุ่มคนนี้จะมีไพ่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ?

วาบ!

ขณะที่ผู้คนเกิดความคิด ในที่สุดมู่เฉินก็เคลื่อนไหว แต่เขาไม่ได้ไปเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ทั้งสาม กลับพุ่งไปทางขวามือ

“ฮ่าๆ ไอ้เวร เมื่อครู่โอหังนักไม่ใช่รึ? วิ่งหนีตอนนี้ทำไม?” เมื่อเห็นมู่เฉินทะยานไปอีกทิศทางหนึ่งผู้อาวุโสตระกูลเสี่ยเสินก็ระเบิดเสียงหัวเราะเยาะเย้ย

การกระทำของมู่เฉินไม่แตกต่างไปจากการยอมรับความอ่อนแอในสายตาของพวกเขา

คนตระกูลลั่วเสินอดรู้สึกผิดหวังกับฉากนี้ไม่ได้ จากนั้นก็เยาะเย้ยตัวเอง เพราะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทุกคนที่ต้องเผชิญหน้ากับจอมุยทธ์สามคนก็คงต้องหนีไปอยู่แล้ว

ทว่ามู่เฉินยังคงมีท่าทีสงบเมื่อเผชิญกับการเยาะเย้ยของผู้อาวุโสและสายตาผิดหวังของผู้คน เขาพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง ทำให้ระยะห่างระหว่างเขากับตาเฒ่าสามคนนี้ยืดออกไปเรื่อยๆ

เสี่ยยีเคลื่อนไหวเร็วสุด ช้ากว่ามู่เฉินเพียงเล็กน้อย โดยมีเสี่ยถงและเสี่ยโส่วติดตามอยู่ข้างหลังตามลำดับ

“ไอ้เวร ถ้าขืนแกยังวิ่งต่อไป พวกข้าย้อนไปจัดการนังลั่วหลีแน่” เสี่ยยีรู้สึกหงุดหงิดขณะที่คำรามเมื่อเห็นไม่ว่าพวกเขาจะพยายามอย่างไร ก็ไม่สามารถเข้าใกล้มู่เฉินได้

คำพูดนั่นดูมีประสิทธิภาพเนื่องจากมู่เฉินหยุดยืนเหนือแม่น้ำแล้วหันกลับมา ทว่าเสี่ยยีก็ต้องตกใจเมื่อเห็นการเยาะเย้ยบนใบหน้าของมู่เฉิน

“พวกแกคิดว่าข้ากำลังหนีจริงๆ หรือ?” มู่เฉินยิ้ม

ก่อนที่เสี่ยยีจะตอบกลับ ทุกคนก็เห็นฝ่ามือของมู่เฉินประสานกันสร้างตราประทับที่ลึกซึ้งขึ้น

“ตู้ม!”

ทันทีที่มู่เฉินวาดกระบวนท่า เสี่ยยีก็ได้เห็นแสงแวววาวไร้ขอบเขตระเบิดจากแม่น้ำลั่วพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรดังก้อง

เสี่ยยีหันกลับไปทันที ดวงตาก็ต้องหดลงเมื่อเห็นแม่น้ำลั่วถูกแยกออกจากกันโดยสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนที่รวมเข้าด้วยกัน สายผนึกถักทอกลายเป็นค่ายกล

ค่ายกลประกอบด้วยมังกรเจ็ดตัวถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวเอิบอาบออกมา ขณะนี้เสี่ยถงที่อยู่ข้างหลังเขาถูกขังไว้โดยค่ายกลเรียบร้อย

โห!

การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้เกิดเสียงอุทานดังลั่น ทุกคนตกตะลึง พวกเขาสามารถรู้สึกถึงความผันผวนของคลื่นพลังที่แข็งแกร่งอย่างมากที่มาจากค่ายกล

“นี่คือค่ายกลระดับจงซือ!”

“สวรรค์ มู่เฉินเป็นหลิงเจิ้นจงซือด้วยเหรอนี่?!”

ทุกคนเบิกตากว้าง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นคนนี้จะเป็นหลิงเจิ้นจงซือด้วย!

“ที่แท้เขาก็ไม่ได้วิ่งหนี เขาตั้งใจสร้างระยะห่างระหว่างตัวเขากับสามคนนั่นและใช้แม่น้ำลั่วช่วยปกปิดการจัดวางค่ายกล มิหนำซ้ำยังกระตุ้นค่ายกลขังเสี่ยถงให้ติดอยู่ในนั้นด้วย!”

ในที่สุดก็มีคนเข้าใจแรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำของมู่เฉิน เสียงอุทานด้วยความตกใจกระจายเต็มใบหน้า ชายหนุ่มผู้นี้ช่างน่าสะพรึงเกินไปแล้ว เขาวางกับดักตั้งแต่ตาเฒ่าทั้งสามเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว

เขาฉลาดแกมโกงจริงๆ!

เสี่ยหลิงจื่อที่ใช้ร่างเวทสวรรค์ปราบปรามลั่วเทียนเสินก็มีสีหน้าก็ดิ่งลงกับฉากนี้ แต่ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกหวาดกลัว เพราะแม้แต่เขาก็ยังไม่สามารถค้นพบได้ว่ามู่เฉินจัดตั้งค่ายกลระดับจงซือขึ้นมาได้อย่างไร ถึงส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะแม่น้ำลั่วช่วยปกปิดไว้ แต่นี่ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จสูงส่งของมู่เฉินในศาสตร์ค่ายกล

“ไอ้เด็กปีศาจนี่มาจากไหน? ทำไมเขาถึงสำเร็จศาสตร์ค่ายกลระดับสูงแบบนี้ได้ด้วย?” เสี่ยหลิงจื่อตกตะลึงและโกรธแค้นในใจ คนธรรมดาในวัยเดียวกับมู่เฉินถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะหากพวกเขาไปถึงระดับของมู่เฉินในศาสตร์ด้านใดด้านหนึ่ง ทว่ามู่เฉินประสบความสำเร็จทั้งสองอย่าง นี่ต้องการพรสวรรค์และโอกาสที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนกัน?

ถ้ามู่เฉินมีเวลามากขึ้นก็จะเติบโตเป็นยอดยุทธ์สูงสุดในอนาคตอย่างแน่นอน

เมื่อไรที่เขาไปถึงจุดนั้นตระกูลเสี่ยเสินก็จะถูกชำระแค้นและล้างบางแน่นอน

พอคิดได้ดังนี้ สายตาของเสี่ยหลิงจื่อก็น่าขนพองสยองเกล้ายิ่งขึ้น ด้วยสถานการณ์ดำเนินไปไกลถึงขนาดนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหยุดยั้ง ในเมื่อเป็นแบบนี้เขาก็ต้องฆ่าจอมยุทธ์หนุ่มอนาคตไกลคนนี้ซะ!

“เสี่ยยี เสี่ยโส่ว ฆ่ามัน!”

เสียงคำรามของเสี่ยหลิงจื่อดังก้อง

เมื่อเสี่ยยีได้ยินคำสั่งของเสี่ยหลิงจื่อ แววตาก็มืดมนลง “ต่อให้แกจะขังเสี่ยถงไว้ แต่ก็ยังง่ายสำหรับพวกข้าสองคนที่จะฆ่าแก!”

มู่เฉินมองไปที่เสี่ยโส่วที่ทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็วก็ยิ้มอ่อน “มันไม่สามารถมาที่นี่ได้หรอก”

ม่านตาของเสี่ยยีหดลง จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้มน่ากลัว “โอ้? แกจะบอกว่าได้สร้างค่ายกลสองค่ายกลในระดับนี้ด้วยเวลาสั้นๆ นี้รึ?”

“ไม่ใช่ค่ายกล”

มู่เฉินส่ายหัวเบาๆ ขณะที่ดีดนิ้ว แม่น้ำก็เดือดปุด วินาทีต่อมาร่างเงานับพันร่างก็พุ่งออกจากก้มแม่น้ำ ยืนเบื้องหน้าเสี่ยโส่วปิดกั้นไม่ให้สามารถร่วมพลังกับเสี่ยยีได้

ตู้ม!

เมื่อเงานับพันปรากฏขึ้น รัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดออกจากพวกเขา ก่อนที่พวกเขาจะกวาดตัวเหมือนพายุทอร์นาโดปิดกั้นเสี่ยโส่วเอาไว้

เมื่อรัศมีจั้นยี่ครอบครองท้องฟ้า ทั่วทั้งเมืองก็เงียบกริบ

ทุกคนตะลึงเมื่อมองไปที่ร่างเงานับพัน พวกเขาสามารถบอกได้ว่านี่เป็นกองทัพชั้นยอด ทว่ากองทัพนี้ไม่มีพลังชีวิตใดๆ ดังนั้นนี่คือร่างได้รับการเก็บรักษาหลังจากการเสียชีวิตลง

กองทัพนี้ทรงพลังจนสามารถขัดขวางจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้ แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุของความตกใจ เพราะถ้าต้องการควบคุมกองทัพชั้นยอดก็หมายความว่ามู่เฉิน…เป็นจั้นเจิ้นซือด้วย!

นอกจากนี้ยังเป็นไป่วั่นเหวินจั้นเจิ้นซืออีกด้วย!

ซื้ด!

ทั้งเมืองเงียบกริบ สายตาตกตะลึงจ้องมองไปที่ร่างเงาเหนือแม่น้ำลั่ว พวกเขาถึงกับสูดลมหายใจเย็น

ตอนนี้พวกเขารู้สึกได้เลือนรางว่ามู่เฉินน่าสะพรึงอย่างไร

จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่อายุน้อยเช่นนี้หายาก แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาเหลือเชื่อ แต่ถ้าในขณะเดียวกันเขายังเป็นทั้งหลิงเจิ้นจงซือและไป่วั่นเหวินจั้นเจิ้นซืออีก ข้อมูลนี้ทำให้จิตใจของพวกเขาพังพินาศไปเลยทันที

ลั่วซิวและลั่วชิงหยาก็ตะลึงกับภาพนี้ พวกเขาพึ่งพาทรัพยากรจำนวนมากของตระกูลลั่วเสินกว่าจะสำเร็จในเส้นทางจั้นเจิ้นซือ ทว่าพวกเขาก็อยู่ในขั้นสือวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือเท่านั้น แต่มู่เฉินกลับไปถึงขั้นไป่วั่นเหวินจั้นเจิ้นซือแล้ว

ยามนี้พวกเขาไม่มีความคิดที่จะแข่งขันกับมู่เฉินอีกแม้แต่น้อย

พวกเขาแลกสายตาพลางยิ้มอย่างขมขื่นก่อนที่จะรู้สึกโล่งใจ บางทีคนโดดเด่นเช่นนี้เท่านั้นที่คู่ควรกับลั่วหลี

“จั้นเจิ้นซือ”

ดวงตาของเสี่ยหลิงจื่อแดงก่ำจ้องเขม็งไปยังฉากนี้ ขณะที่พูดคำเหล่านี้ เขาก็กัดฟันแน่นระงับความพลุ่งพล่านในหัวใจ ยามนี้เปลือกตาของเขากระตุกอย่างรุนแรงด้วยจิตสังหารที่ไหลในหัวใจของเขา

ลั่วเทียนเสินก็อึ้งไปเช่นกัน ครู่ต่อมาเขาก็หายใจลึกเพื่อระงับอารมณ์ในหัวใจ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมมู่เฉินถึงกล้ามาที่ตระกูลลั่วเสิน ตอนนี้มู่เฉินเติบโตกลายเป็นยอดยุทธ์ภายในเวลาแค่ไม่กี่ปี

เผชิญหน้ากับมู่เฉิน แม้แต่คนที่ทรงอำนาจอย่างลั่วเทียนเสินก็รู้สึกถึงร่องรอยแห่งความกลัว

ยามนี้เขานึกย้อนถึงคำพูดที่มู่เฉินพูดกับเขาตอนที่พาลั่วหลีกลับมา ‘ครั้งหน้าข้าจะไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนพานางไปจากข้าได้อีก’

เวลานั้นลั่วเทียนเสินไม่ได้สนใจคำพูดเหล่านั้นมาก แต่มู่เฉินทำงานหนักเพื่อเป้าหมาย ลั่วเทียนเสินนึกไม่ออกเลยว่ามู่เฉินฝึกฝนมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร แต่เขาเดาได้ว่ามู่เฉินต้องท้าความเป็นตายมามากมายนับไม่ถ้วน

เจ้าหนูคนนี้มีความยึดมั่นที่น่ากลัวและเหนียวแน่น

ท่ามกลางสายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน มู่เฉินประจันหน้ากับเสี่ยยีซึ่งมองฉากนี้ด้วยความไม่เชื่อ เสี่ยถงโดนขังอยู่ในค่ายกลระดับจงซือ ส่วนเสี่ยโส่วก็ตกในวงล้อมกองทัพน่าสะพรึง

ความได้เปรียบของพวกเขาหายวับไปกับตาเนื่องจากชายหนุ่มที่เบื้องหน้านี้

เมื่อมองไปที่มู่เฉินที่ยิ้มแย้ม แม้แต่เสี่ยยีก็รู้สึกกลัวขึ้นมาในใจ

ทว่าเผชิญกับเสี่ยยีที่สีหน้าเปลี่ยนไป มู่เฉินก็ยืดเอวก่อนที่จะเหยียดมือออกแตะลงเบาๆ

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ริ้วสีทองไร้ขอบเขตพุ่งออกมา เปลี่ยนเป็นร่างยักษ์สีม่วงทองที่อยู่ด้านหลังเปล่งรัศมีลึกลับและอมตะ

ภายใต้การปกป้องของรัศมีสีม่วงทองมู่เฉินก็ส่งรอยยิ้มให้เสี่ยยี ก่อนที่เสียงของเขาจะทำให้หน้าผากของเสี่ยยีชุ่มโชกด้วยเหงื่อ

“ตอนนี้เราน่าจะสู้กันแบบตัวต่อตัวได้แล้วมั้ง?”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท