หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1211

ตอนที่ 1211

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1211 องครักษ์ของเจ้า
“ค่ายกลแม่น้ำลั่ว!”

เมื่อลั่วเทียนเสินคำราม แม่น้ำก็ล้นทะลัก คลื่นน้ำไม่มีที่สิ้นสุดกวาดกระจายออกไปทั่วสารทิศ ก่อตัวเป็นปราการน้ำขวางกั้น ราวกับชามกว้างใหญ่ครอบคลุมตระกูลลั่วเสินทั้งหมดเอาไว้

ปราการน้ำสั่นไหว รัศมีโบราณเอิบอาบออกมาคลุมเครือ

แม้ว่าปราการนี้จะดูอ่อนแอ แต่คลื่นหลิงทรงพลังที่เล็ดลอดออกมาก็ทำให้ม่านตาของเสี่ยหลิงจื่อหดลง ดูเหมือนว่าตระกูลลั่วเสินเตรียมการมาเป็นอย่างดี

“หึ ดูท่าตระกูลลั่วเสินของเจ้าไม่คิดที่จะยอมรับสันติสุขที่ตระกูลเสี่ยเสินมอบให้!”

เสี่ยหลิงจื่อพูดเสียงเย็นเยือก จากนั้นก็ยื่นมือกดมิติตรงหน้า ทันใดนั้นเมฆโลหิตก็เริ่มรวมตัวก่อร่างเป็นมือขนาดใหญ่ซัดลงมากระแทกกับปราการน้ำ

ปัง!

ความผันผวนป่าเถื่อนเกิดขึ้นจากปราการ แผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังจะแตกสลาย

หัวใจทุกคนโลดขึ้นเมื่อมองดูปราการที่ผันผวน ใบหน้าของพวกเขาซีดลง เนื่องจากเมื่อไรที่ปราการนี้พังทลาย ตระกูลเสี่ยเสินก็จะเริ่มการสังหารหมู่

ฮึ่ม ฮึ่ม

ทว่าปราการก็ทนรับแรงระเบิดภายใต้สายตาที่จ้องมองด้วยความหวาดกลัว การโจมตีของเสี่ยหลิงจื่อ ค่อยๆ หายไป ปราการได้รับการฟื้นฟูจนสงบและปกป้องเมืองลั่วเสินอย่างเงียบๆ

ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าปราการยังคงยืนหยัด พลังของค่ายกลแม่น้ำลั่วเกินความคาดหมายของเขาไปไกล

“เสี่ยหลิงจื่ออย่ากัดมากกว่าจะเคี้ยวได้ ค่ายกลนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังของแม่น้ำลั่ว ตราบใดที่แม่น้ำลั่ว ยังยืนยงก็จะไม่ถูกทำลาย” ลั่วเทียนเสินรู้สึกโล่งใจกับภาพดังกล่าว จากนั้นก็เอ่ยเยาะเย้ย

ถึงแม้ว่าตระกูลลั่วเสินจะตกต่ำ แต่ศักดิ์ศรีของพยัคฆ์ก็ยังคงมี รากฐานของตระกูลลั่วเสินเกินกว่าตระกูลเสี่ยเสินมาก ไม่ต้องพูดถึงระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายอย่างเสี่ยหลิงจื่อ แม้แต่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ไม่สามารถทำลายค่ายกลนี้ลงได้

นี่เป็นความเชื่อมั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาในการปกป้องพิธีเทพธิดาลั่ว!

“ฮึ่ม ข้าไม่เชื่อว่ากระดองเต่านี้จะปกป้องแกได้ตลอดไป!”

สายตาของเสี่ยหลิงจื่อมืดมนลงแฝงความดุร้ายขณะที่คำราม “ซัดไปที่จุดเดียว ทำลายมันให้ได้!”

ผู้อาวุโสทั้งห้าของตระกูลเสี่ยเสินรับคำสั่งด้วยท่าทางน่ากลัว คลื่นหลิงขนาดมหึมาแผ่ซ่านไปทั่ว ทำให้ทั่วทั้งภูมิภาคแดงฉาน กลิ่นเหม็นเลือดคละคลุ้งขึ้นสู่ท้องฟ้า

ตู้ม ตู้ม!

การโจมตีของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายหนึ่งคนและขั้นต้นห้าคน สิ่งนี้แทบจะทำลายโลกแตกสลาย การโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ซัดโจมตีจุดเดียวบนปราการน้ำ

เผชิญหน้ากับการโจมตีรุนแรง ปราการก็ผันผวนรุนแรง ระลอกคลื่นแผ่กระจายไปทั่ว

ทุกคนในเมืองลั่วเสินมองไปที่ปราการที่สั่นสะเทือนด้วยความกลัวในสายตา

ทว่าลั่วเทียนเสินดูสงบนิ่งมาก เขามีความมั่นใจในค่ายกลแม่น้ำลั่วนี้ ตราบใดที่พวกเขายังยืนหยัดอยู่ได้ ตระกูลเสี่ยเสินก็จะไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้

“ลั่วหลีใช้เวลานี้ทำให้สำเร็จ” ลั่วเทียนเสินพึมพำเมื่อมองไปที่ลั่วหลีซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟ

ตราบใดที่ลั่วหลีประสบความสำเร็จในการพัฒนาดังกล่าว ตระกูลลั่วเสินก็จะเป็นปึกแผ่นอย่างแท้จริง ในเวลานั้นพวกเขาสามารถต่อสู้กับตระกูลเสี่ยเสิน เขาไม่เชื่อว่าตระกูลเสี่ยเสินจะยอมจ่ายราคามหาศาลเพื่อต่อกรกับตระกูลลั่วเสินของพวกเขา เพราะแบบนั้นจะทำให้ตระกูลลี่เสินและตระกูลกู่เสินได้รับประโยชน์จากการต่อสู้ครั้งนี้แทน

ด้วยความเข้าใจของลั่วเทียนเสินที่มีต่อตระกูลเสี่ยเสิน พวกเขาไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่นอน

ฟู่ ฟู่!

ราวกับลั่วหลีได้ยินเสียงของลั่วเทียนเสิน เปลวไฟบนร่างนางก็ลุกโชนเป็นพายุไซโคลนเพลิง

ในพายุหมุนนี้ดอกไม้เพลิงที่เย้ายวนบินฉวัดเฉวียนไปมา

“ท่านบรรพบุรุษโปรดปกปักตระกูลของเราด้วย!”

ลั่วหลีกำมือแน่น เลือดสีแดงเข้มหยดลงจากปลายนิ้ว นางพึมพำราวกับกำลังขอพร

แปะ!

หยดเลือดทิ้งตัวลงสู่แม่น้ำลั่วจมลึกลงไป

ตู้ม!

ทันใดนั้นแม่น้ำลั่วก็เดือดพล่าน ดอกไม้เทพธิดาบินออกไปรวมตัวกันอยู่ด้านหลังลั่วหลี ก่อตัวเป็นเงาแสง

ภาพเงาช่างบอบบาง แม้จะเลือนรางแต่ก็ยังงดงามจนใจสั่น

รัศมีโบราณเปล่งออกมาจากร่างเงานั้น

เมื่อภาพเงาปรากฏขึ้นทุกคนในเมืองลั่วเสินก็เปลี่ยนสีหน้า นั่นเป็นเพราะขณะนี้พวกเขารู้สึกถึงจุดกำเนิดของสายเลือด

“นั่นคือ…ท่านบรรพบุรุษลั่วเสินเรอะ?!”

เสียงที่น่าตกใจของลั่วเทียนเสินดังขึ้น เขามองดูเงาด้านหลังของลั่วหลีโดยไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยน้ำตา ใครจะคิดได้ว่าบรรพบุรุษของพวกเขาจะปรากฏเมื่อตระกูลลั่วเสินกำลังจะถึงกัลปาวสาน

ภาพเงามองมาที่ลั่วหลีแล้วคลี่ยิ้ม เสียงหัวเราะเบานั้นทำให้ทุกสรรพสิ่งเงียบลง

ภาพเงาแตะนิ้วที่กึ่งกลางคิ้วของลั่วหลี

คลื่นหลิงที่ไม่มีที่สิ้นสุดก็พุ่งเข้าสู่ห้วงแห่งจิตของลั่วหลี

“นั่นคือ…มรดกของลั่วเสิน?!”

ผู้อาวุโสทั้งสามของตระกูลสาขามองดูเหตุการณ์นี้ด้วยความอิจฉา พวกเขาไม่คิดว่าพิธีของลั่วหลีจะแตะถึงระดับสูงสุดนี้!

แค่ดอกไม้เทพธิดาก็ยังรับได้ แต่ทำไมกระทั่งท่านบรรพบุรุษยังปรากฏตัวและมอบมรดกให้ลั่วหลี!

“บรรพบุรุษผู้เป็นหนึ่ง! ทุกคนถวายบังคมองค์จักรพรรดินี!”

ชาวเมืองทุกคนรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง พวกเขาคุกเข่าหมอบคลานพร้อมกับเสียงดังแสบแก้วหู

เมื่อเสี่ยหลิงจื่อเห็นสิ่งนี้ใบหน้าก็มืดมนพร้อมกับร่องรอยความกลัวผุดขึ้นในส่วนลึกของดวงตา

ลั่วหลีตรงหน้าทำให้เขารู้สึกถึงภัยคุกคามแล้ว

เขามองไปที่ปราการที่ยังตั้งมั่นภายใต้การโจมตีดุร้าย ใบหน้าก็กลายเป็นอุบาทว์คำรามลั่น “พวกแกยังไม่ขยับอีกเรอะ?”

เสียงคำรามของเขาดังก้อง ทำให้ดวงตาของลั่วเทียนเสินสั่นไหว มันกำลังเรียกตระกูลลี่เสินกับกู่เสินรึ?

ขณะที่ลั่วเทียนเสินเฝ้าระวังการแทรกแซงของอีกสองตระกูล เขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นผู้อาวุโสสามคนจากตระกูลสาขากัดฟันกรอด

ทันใดนั้นคนหนึ่งก็เคลื่อนตัวไปทางแม่น้ำลั่ว

“แกจะทำอะไร?!” ลั่วเทียนหลงที่จับตามองทั้งสามตลอดก็คำรามกร้าว

วาบ!

อีกสองคนจากตระกูลสาขาก็ขยับเข้ามาอย่างรวดเร็วเพื่อสกัดลั่วเทียนหลงไว้

ตอนนั้นเองผู้อาวุโสที่เคลื่อนตัวเข้าใกล้แม่น้ำลั่วก็หยิบขวดของเหลวสีดำออกมาแล้วโยนลงไปในแม่น้ำลั่ว

ปัง!

ขวดระเบิดของเหลวสีดำพวยพุ่งออกมาพร้อมกับความผันผวนที่น่าขนพองสยองเกล้า บริเวณที่มันไหลผ่านก็ทำให้แม่น้ำลั่วแข็งค้างขึ้นทันที

เมื่อแม่น้ำถูกแช่แข็งก็เกิดช่องโหวบนค่ายกล ปราการเกิดความผันผวน รอยร้าวปรากฏขึ้นในปราการ

“รนหาที่ตาย!” ลั่วเทียนเสินคำรามกับภาพเบื้องหน้า เขาไม่คิดว่าคนตระกูลสาขาจะไร้ยางอายขนาดนี้

เห็นได้ชัดว่าพวกมันร่วมมือกับตระกูลเสี่ยเสินมานานแล้ว!

ปัง!

คลื่นหลิงที่น่ากลัวระเบิดออกมาจากร่างลั่วเทียนเสิน สายตาจ้องมองผู้ทรยศทั้งสามแล้วพุ่งเข้าใส่

วาบ!

แต่ขณะที่เขาเคลื่อนไหว คลื่นโลหิตก็ซัดเข้ามา เสี่ยหลิงจื่อพุ่งเข้ามาในเมืองลั่วเสินสกัดกั้นลั่วเทียนเสินเอาไว้

“จุ๊ๆ ลั่วเทียนเสินแกดีใจเร็วเกินไป!”

เสี่ยหลิงจื่อขวางทางลั่วเทียนเสินไว้ จากนั้นก็แสยะยิ้มพลางตะโกน “ทำลายพิธีเทพธิดาลั่ว!”

ชัดว่าเขากำลังพูดกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทั้งห้าของตระกูลเสี่ยเสิน

วาบ! วาบ!

เมื่อสิ้นเสียง ทั้งห้าที่กำลังพยายามขยายรอยร้าวก็แบ่งสามคนพุ่งเข้ามาด้วยรัศมีโลหิต

“ใครคิดขัดขวางองค์จักรพรรดินีต้องตาย!”

ขณะที่พวกเขาพุ่งไปหาลั่วหลีi เสียงคำรามนับไม่ถ้วนดังก็กึกก้องเบื้องหน้า ลั่วชิงหยาและลั่วซิวพุ่งเข้ามาพร้อมกับกองทัพ ทะยานเข้าใส่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทั้งสาม

“ฮึ่ม ช่างเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์!”

หนึ่งในนั้นเค้นเสียงเย็น คลื่นหลิงสีแดงเข้มที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมาจากร่างเขา เขาสามารถสกัดลั่วชิงหยาและลั่วซิวด้วยตัวคนเดียว!

อีกสองคนพุ่งเข้าหาลั่วหลีโดยไม่ลังเล

“ปกป้องจักรพรรดินี!”

เงานับไม่ถ้วนพุ่งออกไปก่อตัวเป็นแนวป้องกันเบื้องหน้าลั่วหลี พวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าของตระกูลลั่วเสิน

“ไอ้พวกมด!”

ทว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งสองไม่สนใจสิ่งนี้เลย คนหนึ่งแหวกคลื่นมนุษย์ออกไปแล้วกระทืบเท้าเรียกร่างเวทสวรรค์ออกมา ร่างใหญ่โตเปิดปากดูดดึงคลื่นหลิงในฟ้าดินเข้าไป

โฮก!

อึดใจร่างใหญ่โตก็เปิดปากส่งเสียงคลื่นที่น่ากลัวออกมา จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าเหล่านั้นถูกเป่ากระเด็นออกไป

จอมยุทธ์อีกคนอาศัยช่วงเวลานี้พุ่งผ่านแนวป้องกัน จากนั้นก็สะบัดนิ้ว แสงหลิงยิงไปในทิศทางของแท่นพิธีสีขาว

แท่นสีขาวแตกตกลงไปในแม่น้ำลั่วลอยอยู่บนผิวน้ำ

บนแท่นสีขาว ลั่วหลียังคงนั่งหลับตาอยู่

“ฮ่าๆ ตระกูลลั่วเสินยังมีใครสกัดข้าได้อีก?”

พอเห็นลั่วหลีตกอยู่ในสถานการณ์นี้ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่พุ่งเข้ามาก็ระเบิดเสียงหัวเราะ ตอนนี้ตระกูลลั่วเสินได้งัดไพ่ตายออกมาทั้งหมดแล้ว งานพิธีเทพธิดาลั่วครั้งนี้ถือว่าล้มเหลวไม่มีชิ้นดี

จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนกำกำปั้นหอกโลหิตก็ปรากฏขึ้น ปลายหอกชี้ไปทางลั่วหลี เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ลังเลที่จะทำลายนางให้สิ้นซาก

ประชาชนที่เฝ้ามองสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปฉับพลันก็ร้องโศกเศร้าเสียใจ หรือว่าตระกูลลั่วเสินจะถึงกัลปาวสานอย่างแท้จริง?

ความโศกเศร้ากระจายทั่วเมืองส่งผลให้ลั่วหลีต้องลืมตาขึ้น ทว่านางได้แต่มองจอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินที่เข้าใกล้เรื่อยๆ นางกำหมัดแน่น เล็บจิกลงบนฝ่ามือ กัดริมฝีปากจนเลือดซึมออกมา

พิธีเทพธิดาของนางจะล้มเหลวแล้วจริงหรือ?

นางต้องการเวลาอีกเล็กน้อย…อีกเล็กน้อยเท่านั้นก็จะสามารถสำเร็จแล้ว!

จอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินมองลั่วหลีด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “น่าเสียใจเนอะ จอมยุทธ์อัจฉริยะหญิงแห่งตระกูลลั่วเสินต้องมาตายด้วยน้ำมือข้าหรือเนี่ย?”

“ตายซะ นังเวร!”

สายตาเขาเย็นยะเยือก หอกโลหิตพุ่งออกมาโดยไม่ลังเล พุ่งทะลุมิติเล็งไปที่กลางหว่างคิ้วของลั่วหลี

เมื่อหอกเสือกแทงออกมาทั่วเมืองก็เงียบกริบ ประชาชนมากมายล้มลงด้วยความสิ้นหวัง

ลั่วชิงหยาและลั่วซิวคำรามลั่น ขณะที่เรียกใช้รัศมีจั้นยี่พยายามที่จะทำลายการกีดขวางของศัตรูเบื้องหน้า

ลั่วเทียนเสินที่ถูกเสี่ยหลิงจื่อขัดขวางเอาไว้ก็ครางเสียงเศร้าหมอง

ลั่วเทียนหลงถูกบีบจากจอมยุทธ์สองคนจนขยับไม่ได้

ลั่วหลีกัดริมฝีปาก รอยเลือดไหลออกมาจากมุมปาก

ฮึ่ม!

หอกสีแดงฉีกผ่านมิติ

ตู้ม ตู้ม!

ทว่าจังหวะนั้นเมื่อหอกมาปรากฏต่อหน้าลั่วหลี ทุกคนก็ได้ยินเสียงระเบิดแสบแก้วหูดังขึ้นฉับพลัน

จอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินก็เหมือนสัมผัสได้ สีหน้าเปลี่ยนไป

ปัง!

วินาทีที่เขาสัมผัสได้ มิติเบื้องบนเขาก็ระเบิด สายฟ้าสีดำพุ่งลงมาอย่างรวดเร็ว

เร็วมากจนเขาไม่สามารถหลบได้ อึดใจต่อมาแสงสีดำก็กระแทกลงบนร่างเขาอย่างรุนแรงท่ามกลางใบหน้าที่อัดแน่นด้วยความตกใขหวาดผวา

ตู้ม!

เสียงระเบิดดังกึกก้อง จากนั้นทุกคนก็ตะลึงไปเมื่อเห็นพื้นผิวแม่น้ำลั่วยุบลง คลื่นสูงหมื่นจั้งพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วโปรยปรายลงมาราวกับพายุฝน

“นั่น…นั่นมันอะไร?”

ทุกคนตกใจกลัวกับฉากนี้

จอมยุทธ์ตระกูลลั่วเสินและเสี่ยเสินก็หยุดการปะทะทันทีและมองไปทิศทางนั้นด้วยสายตาตะลึงงัน

เมื่อพายุฝนโปรยปรายลงมาจนหมด พวกเขาก็เห็นได้อย่างชัดเจน

จอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินหายใจพะงาบๆ บนพื้นผิวของแม่น้ำมีร่างเงาหนึ่งยืนอยู่บนแผ่นหลังเขา มือข้างหนึ่งตะปบบนศีรษะ ขณะที่หัวเข่าข้างหนึ่งกดลงบนหลัง

เบื้องหน้าพวกเขาคือแท่นพิธีสีขาวที่ลอยอยู่บนแม่น้ำ

ฉากนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง!

“ใคร…นั่นใครกัน?”

เสียงตื่นตกใจดังขึ้น จอมยุทธ์ชุดดำที่ปรากฏขึ้นฉับพลันทำให้พวกเขาตกตะลึงไป

พายุยังคงโหมกระหน่ำ ท่ามกลางเสียงตกตะลึงนับไม่ถ้วน ลั่วหลีก็อึ้งไปเมื่อมองร่างเงาที่พลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้า

ในไม่ช้านางก็หายจากอาการตกตะลึง ดวงตาเบิกกว้างขึ้นอย่างช้าๆ

ความไม่เชื่อสายตากระจายบนใบหน้าของนาง

พายุฝนโปรยปรายลงมาตรงหน้า ร่างเงาชุดดำที่ตึงร่างจอมยุทธ์ตระกูลเสี่ยเสินไว้ก็เงยหน้าขึ้นในเวลานี้ เขามองความงดงามเบื้องหน้า รอยยิ้มอ่อนโยนก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของเขา

เขาเอามือข้างหนึ่งแตะบนหน้าอกก้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วยิ้ม

“จักรพรรดินีที่รักของข้า… องครักษ์ของเจ้า…มาถึงแล้ว!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท