หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1216

ตอนที่ 1216

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1216 ถึงเวลาที่จะสิ้นหวังแล้ว
ฟิ้ว!

ลูกแก้วโลหิตพุ่งทะลุขอบฟ้าบินไปหาเสี่ยยี ขณะที่อีกฝ่ายสีหน้าเปลี่ยนไปและถอยหนีออกไปอย่างบ้าคลั่ง เนื่องจากเขารู้สึกถึงความเชื่อมโยงที่ถูกตัดขาด

ดังนั้นแม้ว่าในลูกแก้วจะมีมหาสมุทรนรกโลหิตของเขาอยู่ เขาก็ไม่สามารถควบคุมมันได้ ขณะนี้มันคงจดจำเขาไม่ได้ว่าเป็นเจ้าของอย่างแน่นนอน

นั่นคือระเบิดที่อันตรายอย่างยิ่ง การสัมผัสเพียงเล็กน้อยก็นำไปสู่ความตาย

เสี่ยยีรู้ดีว่ากระบวนท่านี้มีความสามารถในการกัดกร่อนที่ยอดเยี่ยมสำหรับร่างเวทสวรรค์ เมื่ออยู่ในมือตนเองก็จะเป็นอาวุธยอดเยี่ยม แต่เมื่อไปอยู่ในมือคนอื่นก็น่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง

ตัวอย่างเช่นตอนนี้…

เผชิญกับลูกแก้วโลหิต เขาได้แต่ทำตัวราวกับกำลังห้ำหั่นกับศัตรูที่ยิ่งใหญ่ หลบหนีภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน ไม่กล้าที่จะปะทะกับมัน

ฝั่งมู่เฉินกลับมองไปที่ภาพนี้อย่างสงบ เขารู้ว่ามหาสมุทรนรกโลหิตน่าหวาดกลัวเช่นไร สิ่งนี้สามารถสร้างความเสียหายอย่างมากต่อร่างเวทสวรรค์อย่างมีนัย จากการประเมินของเขาถ้าร่างเทห์สวรรค์ยังเป็นเพียงร่างเทพสุริยะอยู่ละก็ คงจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน

แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย…ว่าร่างเทห์สวรรค์ของเขาพัฒนาสู่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์แล้ว!

ร่างนี้สามารถเผชิญหน้ากับสิบอันดับแรกของทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างได้เลยทีเดียว!

ดังนั้นพลังของมันชัดเจนมาก

ร่างเทพสุริยะนิรันดร์มีรัศมีอมตะของแท้ ซึ่งสามารถต้านทานการกัดกร่อนทั้งหมดได้ ดังนั้นกล่าวอีกทางก็เป็นภูมิคุ้มกันต่อพลังการกัดกร่อน

เช่นมหาสมุทรนรกโลหิต…

มันสามารถกลืนกินมหาสมุทรโลหิตได้โดยไม่ทำร้ายตัวเอง นอกจากนี้ยังสามารถบีบอัดจนเป็นลูกแก้วและตัดการเชื่อมโยงกับเจ้าของได้อีกด้วย

ตอนนี้มู่เฉินก็สัมผัสถึงพลังของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้อย่างลึกซึ้งแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ร่างเทห์สวรรค์อันดับหลังๆ ไม่สามารถจินตนาการได้

“ข้าจะให้เจ้าเป็นคนแรกที่สละชีวิตเพื่อร่างเทพสุริยะนิรันดร์…”

มู่เฉินพึมพำ นับตั้งแต่เขาฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ในการประจันหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังระดับเดียวกัน ซึ่งเขาพอใจกับผลลัพธ์มาก

เขามองเสี่ยยีที่ถอยหนีก็ดีดนิ้วมือเบาๆ

ปัง!

เมื่อเสียงดีดนิ้วดังกึกก้อง ทันใดนั้นเสี่ยยีก็หดดวงตาแคบลง ลูกแก้วโลหิตบินเข้าด้วยความเร็วที่มากขึ้น อึดใจก็มาถึงด้านหลังเขาแล้วระเบิดออก

ในช่วงเวลานั้นมหาสมุทรโลหิตไหลเชี่ยวกวาดเข้าใส่ร่างเสี่ยยีและร่างเวทสวรรค์ของเขา

เสี่ยยีคำรามกระบวนท่าในมือเปลี่ยนแปลงเร็วรี่ ร่างกาสายะโลหิตระเบิดด้วยลำแสงเลือดนับไม่ถ้วน ก่อตัวเป็นกำแพงอย่างรวดเร็ว

ปัง! ปัง!

มหาสมุทรโลหิตปะทะกับม่านพลังอย่างรวดเร็ว ทำลายม่านพลังจนมองเห็นความบางลงได้อย่างชัดเจน จากนั้นก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนที่มหาสมุทรโลหิตจะพุ่งชนกับร่างกาสายะโลหิตจังใหญ่

ชี่ ชี่!

พลังสองสายปะทะกัน หมอกเลือดก็ถั่งโถมพร้อมกับเสียงกรีดร้องของเสี่ยยี

ฮึ่ม!

คลื่นหลิงมหาศาลพรวดพราดออกมาจากร่างกาสายะโลหิต ในที่สุดก็หนีออกจากบริเวณมหาสมุทรโลหิต จากนั้นเสี่ยยีรีบหยิบขวดสีแดงเข้มออกมาอย่างเร่งร้อน ดึงส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งของมหาสมุทรนรกโลหิตกลับไป

เมื่อมหาสมุทรนรกโลหิตระเบิดออก รัศมีอมตะที่ห่อหุ้มมันอยู่ก็จางหาย นี่คือเหตุผลว่าทำไมเสี่ยยีจึงสามารถเรียกคืนมหาสมุทรกลับไปได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มาก

ร่างกาสายะโลหิตจางลงพร้อมกับบาดแผลบนร่าง ถ้าไม่ใช่คุณลักษณะคลื่นหลิงของเสี่ยยีที่ใกล้เคียงกับมหาสมุทรนรกโลหิตละก็ เขาคงต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก

แต่กระนั้นร่างเวทสวรรค์ของเขาก็อ่อนแอลง ความแวววาวสุกใสจางหายไป

ทุกคนแลกเปลี่ยนสายตาเมื่อเห็นสิ่งนี้…

ไม่มีใครคิดเลยว่าวิทยายุทธเทพของเสี่ยยีนอกจากจะไร้ประโยชน์กับมู่เฉิน กลับยังโดนศัตรูใช้สิ่งนี้โต้กลับมาได้จนทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพน่าอนาถ

ทว่าเหล่าจอมยุทธ์ทรงพลังบางส่วนกลับพากันมองไปที่ร่างเวทสวรรค์ของมู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ยามนี้หากใครยังคิดว่าร่างลึกลับนี้มีขนาดเล็กเพราะคลื่นหลิงไม่พอก็โง่เกินไปแล้ว

แต่ที่ทำให้พวกเขาสับสนงงงวยก็คือไม่สามารถจดจำร่างเวทสวรรค์ลึกลับของมู่เฉินได้…

พวกเขามองไปที่มู่เฉินที่ยังคงสงบนิ่งบนไหล่ของร่างสีม่วงทองก็รู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้ลึกซึ้งจนไม่อาจหยั่งรู้ได้…

เสี่ยยีมองมู่เฉินด้วยใบหน้าซีดขาวและมืดมน จากนั้นปลายหางตาก็มองไปทางเสี่ยถงกับเสี่ยโส่ว ขณะนี้ทั้งสองได้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดเพื่อทำลายค่ายกลและกองทัพ พยายามที่จะสลัดตัวให้พ้นอย่างรวดเร็ว

ตัดสินจากความก้าวหน้าของทั้งสองนั่น พวกเขาอยู่ในตำแหน่งได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด… ดูเหมือนว่าการเดาของเขาจะถูกต้องแล้ว โดยไม่มีการควบคุมค่ายกลระดับจงซือและกองทัพทหารชั้นยอดไม่สามารถดักจับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนไว้ได้นาน

เสี่ยยีรู้สึกโล่งใจกับความคิดนี้ จากนั้นก็หันมามองมู่เฉินอย่างเยือกเย็นพลางขบฟัน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องขัดขวางมู่เฉินเอาไว้ที่นี่!

ด้วยการตัดสินใจในใจ เสี่ยยีก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขานั่งบนไหล่ร่างกาสายะโลหิต ก่อนที่จะสร้างตราประทับอย่างรวดเร็วพร้อมกับร่างเวทสวรรค์

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ลำแสงสีแดงเข้มนับไม่ถ้วนยิงออกมาจากร่างกาสายะโลหิตพร้อมกับเสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤต ซึ่งเป็นท่วงทำนองที่กระตุ้นเจตนาการฆ่าและความกระหายเลือดของมนุษย์

ดวงตาของเสี่ยยีเปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นเลือดก็ซึมออกจากร่างกาย ภายใต้เสียงคำราม ฉากที่น่าตกใจก็ปรากฏขึ้น ชั้นผิวหนังของเขาลอกออก

ฮึ่ม!

เมื่อผิวหนังลอกออก ร่างกาสายะโลหิตก็คำราม ก่อนที่ผ้าจีวรจะพุ่งเข้ามาห่มลงบนผิวของเสี่ยยี ก่อตัวขึ้นเป็นผิวหนังขนาดใหญ่สีแดงเลือด…

มีใบหน้าที่น่ากลัวมากมายฝังอยู่บนผ้าจีวรนี้…

รัศมีโลหิตหลั่งไหลออกไปทั่วบริเวณ

“ทักษะเทห์สวรรค์ กาสายะโลหิตปีศาจ!”

เสี่ยยีที่ถูกปกคลุมไปด้วยเลือดมองเฉินอย่างน่ากลัว เสียงคำรามหยาบกระด้างของเขาดังกึกก้อง

ฟิ้ว!

ผิวผ้าจีวรปลิวออกไป ราวกับมีม่านสีแดงเข้มห่อมู่เฉินและร่างเทพสุริยะนิรันดร์เอาไว้ เมื่อผ้าจีวรปิดลงก็กลายเป็นถุงขนาดใหญ่ใส่มู่เฉินเอาไว้ภายใน

ผู้คนที่รู้เกี่ยวกับสิ่งนี้ต่างแอบเดาะลิ้น กาสายะโลหิตปีศาจเป็นกระบวนท่าไม้ตายของเสี่ยยี การห่อด้วยถุงนี้จะสร้างปีศาจโลหิตไม่สิ้นสุด ทำให้คนติดต้องว่ายวนอยู่ในแอ่งเลือด

แต่เสี่ยยีจะอ่อนแอลงอย่างมากทุกครั้งที่ใช้ทักษะนี้ ดังนั้นโดยปกติเขาจะไม่ใช้โดยง่ายดาย แต่ตอนนี้เพื่อจะขัดขวางมู่เฉิน เขาก็ไม่อาจสนใจเรื่องพวกนี้ได้แล้ว

“ครั้งนี้ข้าจะดูสิว่าแกจะทำลายกาสายะโลหิตยังไง!”

เงาสีแดงเข้มปิดบังสายตาของมู่เฉิน เขาเงยหน้าขึ้นมองถุงเลือด ขณะนี้เลือดจำนวนมหาศาลหลั่งไหลออกมาจากในถุงก่อร่างเป็นปีศาจ ปีศาจเหล่านั้นไม่มีตัวตนแท้จริง สามารถบุกทะลวงการป้องกันได้ แม้แต่คลื่นหลิงก็อาจหมดลงได้

“ไม่เลว… แต่ตอนนี้ตาข้าบ้างล่ะ”

มู่เฉินยิ้มตาหยี จากนั้นก็นั่งลงบนไหล่ของร่างม่วงทอง ตราประทับวาดขึ้นวูบไหว ริ้วแสงสีม่วงทองรวมตัวกันเป็นอักขระขณะที่บิดตัวเบื้องหน้าร่างเทพสุริยะนิรันดร์

นี่คือหนึ่งในทักษะของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ รหัสเทพอมตะ!

มู่เฉินมองรหัสเทพอมตะพลางเปลี่ยนแปลงตราประทับอีกครั้ง คลื่นหลิงในร่างกายพุ่งทะลักเข้าสู่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ไม่มีที่สิ้นสุด

เห็นได้ชัดว่ารหัสเทพนี้ยังไม่เพียงพอที่จะจัดการกับเสี่ยยีแบบเด็ดขาด

เมื่อมู่เฉินเทคลื่นหลิงลงในร่างมากขึ้น แสงม่วงทองก็เปล่งแสงสว่างยิ่งขึ้น ไม่นานรหัสเทพอีกหลายลวดลายก็ถูกก่อขึ้น

ย้อนกลับไปตอนที่อยู่ในวังสวรรค์บรรพกาล มู่เฉินสามารถสร้างรหัสอมตะได้สองลวดลายเท่านั้น แต่หลังจากฝึกปรือร่วมกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ในช่วงหลายเดือน เขาก็มีความเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับทักษะเทห์สวรรค์นี้มากขึ้น…

รหัสเทพก่อขึ้นเรื่อยๆ…

ขณะที่มู่เฉินมุ่งเน้นไปที่การสร้างรหัสเทพ ปีศาจโลหิตก็ทะยานเข้าใส่ ทว่าร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ระเบิดแสงเจิดจ้าพร้อมกับรัศมีอมตะที่ทำให้ปีศาจโลหิตกระเด็นกลับไป

สิบกว่าลมหายใจต่อมามู่เฉินก็ลืมตาขึ้น พร้อมกับรหัสเทพอมตะหกลวดลายอยู่เบื้องหน้าเขา!

“รหัสเทพอมตะ แปรเปลี่ยน!”

มู่เฉินพลิกนิ้วด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ลวดลายทั้งหกก็รวมตัวกัน แสงแวววาวสีม่วงทองปะทุออก อึดใจรหัสเทพทั้งหกก็ก่อร่างเป็น…หมุดอมตะยักษ์!

เมื่อมองไปที่หมุดอมตะมู่เฉินก็โบกมือ หมุดกลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าใส่ถุงเลือด

มู่เฉินจ้องมองหมุด จากนั้นก็เอามือไพล่ไว้ด้านหลังเผยรอยยิ้มบาง

“ข้าเล่นกับแกมาตั้งนาน ตอนนี้ถึงเวลาที่จะสิ้นหวังแล้ว…”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท