หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1221

ตอนที่ 1221

บทที่ 1221 เทพธิดาแห่งมหาพันภพ
“จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม?”

เสียงหวาดกลัวของลั่วเทียนเสินและเสี่ยหลิงจื่อดังก้อง ทำให้เกิดความปั่นป่วนทั่วบริเวณอย่างมาก หลังจากนั้นทุกคนก็มองไปที่ร่างเงาข้างมู่เฉินด้วยความตกใจหวาดผวา

มิติด้านข้างมู่เฉินยังคงผันผวน โดยมีร่างเงาเล็กๆ ยืนท้าทุกสายตา นั่นทำให้ทุกคนถึงกับตะลึงงันไป

“สาวน้อยตัวเล็กคนนั้น… เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเหรอ?” มีคนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา

“ไอ้โง่ จอมยุทธ์ในระดับนี้จะเป็นสาวน้อยจริงๆ ได้ยังไง?” ทว่ายังมีคนที่ตั้งสติได้ ไม่ได้สับสนกับรูปลักษณ์ของมั่นถัวหลัว

“มู่เฉินเป็นใคร? เขาเก่งขนาดนี้เลยเหรอ สามารถเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มมาด้วย!” มีคนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา นั่นเป็นเพราะแม้แต่ในทวีปซีเทียน จอมยุทธ์ระดับนี้ก็ได้รับการพิจารณาว่าเป็นเพชรยอดพีระมิด ถ้าต้องการเชิญอีกฝ่ายมาไม่เพียงแต่สายสัมพันธ์เชื่อมโยงที่มี พวกเขายังต้องจ่ายราคามหาศาลอีกด้วย

แม้แต่ตระกูลเสี่ยเสินยังจ่ายเงินแพงระยับเพื่อเชิญหลิงตงมา แต่ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มมาด้วย

นี่เป็นสิ่งที่เสี่ยหลิงจื่อและลั่วเทียนเสินไม่เคยคาดคิดมาก่อน

โดยเฉพาะเสี่ยหลิงจื่อ ใบหน้าเขาบิดเบี้ยวไปหมดเมื่อมองดูร่างเงาเล็กข้างมู่เฉิน ความรู้สึกวิงเวียนตีขึ้น

เขาไม่เคยคิดว่าไพ่ตายที่อุตส่าห์เตรียมไว้ ไม่เป็นผลอะไรกับมู่เฉินเลย

“มู่เฉินเป็นใครกันแน่?!”

คำถามนี้เกิดขึ้นในใจของเสี่ยหลิงจื่อ การเชิญจอมยุทธ์ระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่ขั้วอำนาจใดๆ ก็สามารถทำได้

ตอนนี้ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเพราะเหตุใดหลิงตงถึงบอกว่าไม่สามารถฆ่ามู่เฉินได้

“ผู้เฒ่าตง…” เสี่ยหลิงจื่อตัวสั่นขณะมองหลิงตง เขาจ่ายเงินมากมายเพื่อเชิญอีกฝ่ายมา ถ้าไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ พวกเขาก็สูญเสียจนต้องร้องไห้แล้วจริงๆ

ทว่าเผชิญกับสายตาที่จ้องมองมา หลิงตงก็ไม่แยแสก่อนที่จะมองมั่นถัวหลัวพูดด้วยเสียงแหบพร่าว่า “เจ้าเป็นคนนอกทวีปซีเทียนใช่ไหม? การมายุ่งเกี่ยวสงครามภายในทวีปถือว่าละเมิดกฎของตำหนักซีเทียนนะ”

หลิงตงขยายเสียงโดยเฉพาะตรงคำว่าตำหนักซีเทียน เขารู้ว่ามั่นถัวหลัวน่าจะรู้ความหมายนี้ ตำหนักซีเทียนเป็นผู้ปกครองทวีปซีเทียน ซึ่งเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างมั่นถัวหลัวยังไม่กล้าที่จะแหยม

นั่นเป็นเพราะผู้นำของตำหนักซีเทียนก็คือจักรพรรดิสัประยุทธ์ซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน!

มั่นถัวหลัวเข้าใจคำเตือนโดยธรรมชาติ ทว่านางก็เบะปากออก “มู่เฉินเป็นเขยขวัญของตระกูลลั่วเสิน ดังนั้นเขาจึงมีสิทธิ์สู้ในสงครามนี้ ในเวลาเดียวกันเขาก็เป็นผู้นำตำหนักมู่ ในฐานะสมาชิกตำหนัก จะให้เรายืนมองพวกเจ้าทำร้ายเขาหรือ?”

ความโกลาหลระเบิดออก แม้แต่หลิงตงก็มองมู่เฉินด้วยความตกตะลึง

คำพูดของมั่นถัวหลัวกำลังบอกว่านางเป็นหนึ่งในสมาชิกของตำหนักมู่และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของมู่เฉินรึ?

สิ่งนี้ทำให้หลายคนรู้สึกไม่เชื่อ นั่นเพราะในความเข้าใจของพวกเขามีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะออกคำสั่งกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา!

มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่สามารถอยู่เหนือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มและควบคุมอีกฝ่าย

ทว่ามั่นถัวหลัวบอกว่านางเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของมู่เฉินที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น? นั่นไม่น่าเชื่อเลย!

แต่ในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม นางไม่มีทางพูดเล่นตลกแน่นอน ไม่เช่นนั้นจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้สึกว่านางล้อเล่นแน่นอน

เสี่ยหลิงจื่อเขียนคำว่าไม่เชื่อบนใบหน้า แม้แต่รากฐานของตระกูลเสี่ยเสิน ยังไม่สามารถรับสมัครจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่มู่เฉินดันทำได้เรอะ?

“ไอ้เด็กนี่ ทำไมโชคดีขนาดนี้?!” ยามนี้เสี่ยหลิงจื่อรู้สึกอิจฉามาก หากตระกูลเสี่ยเสินมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มใต้บัญชาละก็ พวกเขาคงครอบครองดินแดนซีเทียนเล็กนี้ไปนานแล้ว

เผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น มู่เฉินก็แค่ยักไหล่ ที่จริงเขาอยากบอกว่าตำแหน่งนี้มั่นถัวหลัวเป็นคนยัดมือเขา เนื่องจากนางไม่สนใจ

แต่ในเมื่อมั่นถัวหลัวให้หน้าเขา มู่เฉินจึงได้แต่ยิ้มแย้มอย่างเป็นธรรมชาติเพื่อสร้างภาพลักษณ์ไม่อาจหยั่งรู้

หลิงตงจ้องมองมู่เฉินอย่างลึกซึ้ง ถ้านั่นเป็นเรื่องจริงภูมิหลังของชายหนุ่มคนนี้ก็ต้องยิ่งใหญ่เลยทีเดียว

เขาเข้าใจถึงความเย่อหยิ่งของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้ดี เพราะตัวเขาก็อยู่ในระดับนี้ ในมุมมองของเขาหากมู่เฉินไม่ได้มีภูมิหลังที่ยอดเยี่ยม ก็เป็นไปไม่ได้ที่มั่นถัวหลัวจะยอมเชื่อฟังคำสั่ง

“วันนี้พวกข้ามาเพื่อช่วยเหลือตระกูลลั่วเสิน หากเจ้าต้องการช่วยตระกูลเสี่ยเสินก็ประลองกันเลย” มั่นถัวหลัวไม่ได้ใส่ใจกับความคิดของพวกเขา นางพูดขึ้นอย่างเกียจคร้าน

หลิงตงยิ้มก่อนที่จะตอบช้าๆ “ราคาที่ตระกูลเสี่ยเสินจ้างมา ไม่เพียงพอที่จะสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มหรอก”

เมื่อได้ยินคำพูดนั่นใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันที

ลั่วเทียนเสินและคนอื่นๆ โล่งใจอย่างมาก แม้ว่ามู่เฉินจะมีผู้ช่วยเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่พวกเขาก็ยังหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่สู้กัน ถึงยังไงหลิงตงก็เป็นผู้อาวุโสของตำหนักซีเทียน

และในทวีปซีเทียนก็ไม่มีใครที่กล้าข่มผู้อาวุโสของตำหนักซีเทียนหรอก

มู่เฉินมองไปที่หลิงตงด้วยความสงสัย เขาไม่เชื่อว่าชายชราจะพักเรื่องนี้ไปอย่างง่ายดาย…

“ฮ่าๆ แต่ชายชราคนนี้มีภารกิจอื่น การเชิญจากท่านเสี่ยหลิงจื่อก็แค่เรื่องติดมือเท่านั้น” รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของหลิงตง

พอได้ยินคำพูดนั่น ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อก็กระตุก ตระกูลเสี่ยเสินจ่ายราคาแพงระยับเพื่อเชิญหลิงตงมา แต่อีกฝ่ายมาเพราะมีภารกิจอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าราคาที่ตระกูลเสี่ยเสินจ่ายใช้ได้จึงรับงานนี้มาด้วย

มู่เฉินหรี่ตาลงมองหลิงตงพูดช้าๆ ว่า “ไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่ายังมีเรื่องอะไรอีก?”

ทว่าหลิงตงไม่ได้ตอบ เพียงแต่หรี่ตามองลั่วหลีที่กำลังประสบภัยพิบัติหลิงด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนาง ดังนั้นข้าต้องรอคำตอบของนาง”

แววตามู่เฉินดิ่งลง รู้สึกถึงความไม่สบายใจ ขณะที่กำลังจะพูดเขาก็เห็นมั่นถัวหลัวส่ายหน้า ดังนั้นเขาจึงนิ่งเงียบก่อนที่จะหันหลังกลับมองไปที่ลั่วหลี

ตู้ม ตู้ม!

ตอนนี้ลั่วหลีก็ยังคงนั่งอยู่บนแท่นอย่างเงียบๆ ทว่าความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังที่รายล้อมรอบตัวนางไปไกลเกินกว่าระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว

เมฆรวมตัวกันบนขอบฟ้าพร้อมด้วยสายฟ้าพุ่งเข้าหาลั่วหลี

อย่างไรก็ตามสายฟ้าเหล่านี้ถูกปิดกั้นจากม่านขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นจากแม่น้ำลั่วเมื่อเข้าใกล้ระยะร้อยจั้ง

แม่น้ำลั่วปกป้องลั่วหลีไว้

ภายใต้การคุ้มครองนั้นภัยพิบัติหลิงที่โหดร้ายก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ในที่สุดก็ค่อยๆ สลายหายไป

ทันทีที่ภัยพิบัติหายไป คลื่นหลิงทรงพลังก็ระเบิดออกจากร่างลั่วหลี ดันระลอกคลื่นหมื่นจั้งในแม่น้ำลั่วขึ้น

สายตาอิจฉานับไม่ถ้วนมองมาที่ลั่วหลี เนื่องจากพวกเขารู้ว่าในเวลานี้ลั่วหลีผ่านภัยพิบัติก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นที่แท้จริงแล้ว!

ดวงตาที่ปิดสนิทของลั่วหลีเปิดขึ้นพร้อมกับดวงดาวรวมตัวกันในดวงตาของนาง ในเวลาเดียวกันนางก็วาดตราประทับขึ้น แม่น้ำลั่วไร้ขอบเขตก็พลุ่งพล่านอยู่ข้างหลัง

เมื่อแม่น้ำรวมตัว ทุกคนก็เห็นร่างเงาขนาดใหญ่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นที่ด้านหลังของนาง

ร่างอรชรเปล่งแสงราวกับหยก รูปลักษณ์ที่ปรากฏค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างลั่วหลี โดยมีอักขระแม่น้ำสีเงินประทับบนหน้าผากมน ช่างเป็นแม่น้ำที่ลึกล้ำซับซ้อนยิ่งนัก

เมื่ออักขระถูกสร้างขึ้น ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงความงามอันน่าทึ่งที่เปล่งออกมาจากร่างเงานั้น

อักขระยังปรากฏบนหน้าผากของลั่วหลี นางเปลี่ยนแปลงโดยมีความงามที่ทำให้ผู้คนมึนเมา

ความงามนั้นราวกับว่านางคือเทพธิดาลงมาจากสวรรค์

“นี่คือเทพธิดาลั่วแห่งมหาพันภพ!” ทุกคนได้แต่มึนเมากับความงามล้ำนี้

เปรียบเทียบกับพวกเขา ลั่วเทียนเสินและผู้อาวุโสของตระกูลลั่วเสินที่มองดูร่างเงานี้ก็อุทานด้วยความไม่เชื่อว่า “นะ…นั่นคือร่างเทพวารี!”

เล่าลือกันว่าร่างเทพวารีเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่งดงามที่สุดในมหาพันภพ เมื่อฝึกฝนสำเร็จก็จะเชื่อมโยงกับเจ้าของ บรรพบุรุษของพวกเขา—ลั่วเสินในตอนนั้นได้ฉายาเทพธิดาแห่งมหาพันภพก็เพราะเหตุนี้

ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่าลั่วหลีจะเป็นคนที่สองที่ฝึกฝนร่างเทพวารีสำเร็จ!

“ว่ากันว่าเงื่อนไขในการฝึกฝนเข้มงวดมาก ผู้ฝึกไม่เพียงแต่ต้องมีความงามที่สมบูรณ์แบบ แต่ยังต้องมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม…ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาในตระกูลลั่วเสินคงมีแต่ลั่วหลีที่ตรงตามเงื่อนไขนี้” ลั่วเทียนเสินค่อยๆ คืนสติก่อนที่จะรู้สึกดีใจมาก เขารู้ว่าลั่วหลีได้รับมรดกของลั่วเสินแล้ว ในอนาคตตระกูลลั่วเสินอาจได้กลับมาผงาดอีกครั้ง

ร่างเบื้องหลังลั่วหลีค่อยๆ จางหายไป จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นยิ้มไปให้มู่เฉิน

สายตาอิจฉานับไม่ถ้วนจ้องเขม็งมาที่มู่เฉินทันที ถ้าไม่ได้เป็นพลังที่เขาแสดงให้เห็น อาจมีใครบางคนในที่นี่ขอท้าประลองกับเขาแล้ว

สัมผัสกับความเป็นศัตรูจากสายตาเหล่านี้ มุมปากของมู่เฉินก็กระตุก ตอนนี้เขาเชื่อแล้วว่าความงามล่มเมืองเป็นหายนะ

หลิงตงกวาดมองมู่เฉินกับลั่วหลี่ก็ยิ้มบาง “สมกับเป็นทายาทตระกูลลั่วเสิน ฉายาเทพธิดาแห่งมหาพันภพได้เจ้าของอีกครั้งแล้ว”

ลั่วหลีหันมาหาหลิงตง คำนับด้วยท่าทางนุ่มนวลกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่ามาที่ตระกูลลั่วเสินของข้าเพื่อเรื่องใด”

หลิงตงยิ้มก่อนที่จะหยิบของออกจากแขนเสื้อ นี่เป็นม้วนผ้าสีทองที่บรรจุด้วยรัศมีเลิศล้ำ ทำให้ทั่วบริเวณเงียบกริบลง

หลิงตงเปิดม้วนผ้าเสียงแหบแห้งก็ดังก้อง

“ราชโองการจากจักรพรรดิสัประยุทธ์ ขออวยยศดำรงตำแหน่งธิดาเทพแห่งตำหนักซีเทียนให้จักรพรรดินีตระกูลลั่วเสิน”

ทันใดนั้นใบหน้าของลั่วเทียนเสินก็เปลี่ยนไปรุนแรงจากคำพูดของหลิงตง

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท