หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1222

ตอนที่ 1222

บทที่ 1222 ธิดาเทพ?
เมืองลั่วเสิน

เมื่อเสียงประกาศของหลิงตงดังก้อง ความวุ่นวายก็ระเบิดขึ้นทั่วเมือง สายตาอิจฉาพุ่งไปหาลั่วหลี

ไม่มีใครคิดว่าจักรพรรดิสุประยุทธ์จะมีราชโองการเป็นการส่วนตัว การดำรงอยู่ของตำหนักซีเทียนเป็นความยืนยง แม้กระทั่งบรรดาผู้อาวุโสอย่างหลิงตงก็ต้องให้ความเคารพ

ทว่าใบหน้าของลั่วเทียนเสินกลับไม่น่าดู เนื่องจากทุกคนรู้ว่าจักรพรรดิแห่งตำหนักซีเทียนมีฝ่ายในขนาดใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยสตรีงดงาม ทักษะการฝึกฝนของเขาเรียกว่าคัมภีร์ต้าตี้เน่ยซึ่งเป็นการฝึกฝนแบบเสพสังวาส ดังนั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์จึงมีชื่อเสียงด้านนี้ฉาวโฉ่นัก

ที่ผ่านมาลั่วเทียนเสินพอได้ข่าวมาว่าตำหนักซีเทียนกำลังให้ความสนใจกับลั่วหลี ทว่าตอนนั้นลั่วหลีไม่เป็นที่รู้จักมาก แต่ด้วยชื่อเสียงของนางที่เพิ่มพูนขึ้นในหลายปีนี้ก็คงจะไปเข้าหูตำหนักซีเทียนเข้า

ยิ่งตอนนี้ลั่วหลีปลูกฝังร่างเทพวารี ซึ่งเป็นเรื่องของเวลาก่อนที่นางจะดึงดูดความสนใจของตำหนักซีเทียน แต่เขาก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะมาถึงเร็วนัก

ในทวีปซีเทียนและเขตแดนที่ตำหนักซีเทียนปกครอง ไม่รู้มีหญิงสาวเท่าไรที่ใฝ่ฝันเป็นที่จับตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์เพื่อจะได้รับน้ำทิพย์เข้าสู่ร่าง เพราะด้วยพลังและรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายก็เพียงพอที่จะทำให้หญิงสาวตกหลุมรัก

ฝ่ายในของจักรพรรดิสัประยุทธ์ ไม่มีใครที่ถูกบังคับ พวกนางต่างเต็มใจ แต่ลั่วเทียนเสินรู้ว่าหลานสาวของเขาไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้น…

ด้วยความภาคภูมิใจ นางจะไม่ชายตามองใครเลย นอกจากคนที่ชอบ ไม่ใช่แม้แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์

ดังนั้นลั่วหลีอาจไม่เห็นด้วยที่จะเป็นธิดาเทพ นั่นจะทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมา ราชโองการของจักรพรรดิสัประยุทธ์เป็นสิ่งที่สามารถปฏิเสธได้เรอะ?

เขาเป็นผู้ปกครองของทวีปซีเทียนนะ!

เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจุนที่มีชื่อดังก้องไปทั่วมหาพันภพ!

ลั่วเทียนเสินยิ้มขมขื่น มู่เฉินก็ขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน เขาก็สามารถคาดเดาได้จากการแสดงออกของลั่วเทียนเสิน

“ฮ่าๆ ขอแสดงความยินดีกับธิดาเทพคนใหม่ ในอนาคตเจ้าก็เป็นธิดาเทพของตำหนักซีเทียนแล้ว” หลิงตงยิ้มบาง จากนั้นก็ส่งราชโองการไปทางลั่วหลี “รับราชโองการเถอะ”

ทว่าลั่วหลีไม่ได้รับ นางชายตามองหลิงตงอยู่นานก่อนที่จะตอบ “ข้าขอปฏิเสธ”

เสียงของนางดังก้อง ทั่วเมืองก็เงียบกริบลง หลายคนเบิกตากว้างขณะที่มองลั่วหลีด้วยความไม่เชื่อ

นางปฏิเสธคำสั่งของผู้ปกครองของทวีปซีเทียน!

นั่นคือราชโองการของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนนะ!

ตรงกันข้ามเสี่ยหลิงจื่อซึ่งกำลังหวาดผวากับสิ่งนี้ก็เกิดความปีติยินดีเมื่อได้ยินคำตอบของลั่วหลี

เขาไม่คิดเลยว่าหญิงสาวจะกล้าหาญชาญชัยขนาดนี้!

หลิงตงอึ้งไปก่อนจะขมวดคิ้ว “นี่เป็นราชโองการขององค์จักรพรรดิ เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลที่ตามมาของการปฏิเสธเป็นเช่นไร?”

แม้แต่ลั่วหลียังรู้สึกกดดันจากคำพูดของหลิงตง แต่สุดท้ายนางก็เงยหน้าขึ้น ความแวววาวแล่นในส่วนลึกของดวงตา

ขณะที่นางเผชิญหน้า เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นข้างกาย เขาจับมือนางภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน

นี่คือมู่เฉิน เขามองไปที่ลั่วหลี นางก็มองมาด้วยรอยยิ้ม

โห่

การกระทำระหว่างทั้งสองทำให้เกิดความปั่นป่วนทันที ขณะนี้ทุกคนรู้แล้วว่ามู่เฉินและลั่วหลีเป็นคู่รักกัน!

เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะมู่เฉิน ลั่วหลีถึงปฏิเสธตำแหน่งธิดาเทพของตำหนักซีเทียน

มู่เฉินจับมือลั่วหลีเงยหน้าขึ้นมองหลิงตงโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ “ตั้งแต่เมื่อไรที่ตำหนักซีเทียนต้องมาบังคับให้คนอื่นเป็นธิดาเทพ?”

“ไอ้หนู บางอย่างไม่ใช่สิ่งที่จะพูดเล่นๆ แบบนี้นะ!” หลิงตงกล่าวเคร่งขรึม ขณะเดียวกันแรงกดดันก็แผ่ออกมาจากร่างเขาพุ่งเข้าหามู่เฉิน

ทันใดนั้นมั่นถัวหลัวก็ปรากฏตัวตรงหน้ามู่เฉิน แสงสีดำเปล่งประกายบนร่างนาง คล้ายกับหลุมดำกลืนกินแรงกดเย็นเยือกเข้าไปหมด

นางมองหลิงตงกล่าวอย่างไม่แยแสปนเย้ยหยัน “พูดหน่อยก็ไม่ได้เรอะ? ตำหนักซีเทียนเผด็จการขนาดนี้เชียวหรือ?”

คำพูดนางยิ่งไม่เกรงใจเข้าไปใหญ่ แม้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียนจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แต่นางเคยติดตามจักรพรรดิฟ้ามาหลายปี ดังนั้นนางไม่มีความกลัวต่อตำหนักแค่นี้แน่นอน

ใบหน้าของหลิงตงเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม เขาจ้องมองมั่นถัวหลัว “ดูเหมือนเจ้าตัดสินใจยืนคนละฝั่งกับตำหนักซีเทียนแล้วสินะ?”

“แล้วจะทำไม?” มั่นถัวหลัวหัวเราะเย้ยหยันอย่างหาญกล้า

“สามหาว!” หลิงตงเกรี้ยวกราดขณะที่คำราม เขาโบกมือผลึกดาวก็ปรากฏขึ้น เหมือนจะดูดอุณหภูมิในพื้นที่นี้ทั้งหมด อากาศเริ่มแช่แข็งอย่างรวดเร็ว

“ฮึ่ม!”

ดาวกลายเป็นกระแสคลื่นเย็นพุ่งออกไป พริบตาก็ขยายตัวกลายเป็นดาวน้ำแข็งขนาดใหญ่พุ่งไปหามั่นถัวหลัว

นี่คือพลังทำลายล้าง

“หึ!”

มั่นถัวหลัวเค้นเสียงเย็นชาก่อนที่จะอ้าปาก ลำแสงมหาศาลบินว่อนออกมาก่อตัวเป็นพีระมิด นี่คือพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจที่มู่เฉินมอบให้นาง

ฟิ้ว!

พีระมิดระเบิดด้วยแสงดาวจำนวนนับไม่ถ้วน ขณะที่พุ่งออกไปปะทะกับดาวน้ำแข็งจังใหญ่และบดขยี้กัน

ดาวน้ำแข็งถูกทำลาย หลิงตงก็กระอักเดินถอยหลังไปหลายก้าวด้วยสีหน้าที่ไม่น่าดู เห็นได้ชัดว่าเขาเสียเปรียบในการปะทะยกนี้

“ดี! ดี!”

หลิงตงสูดหายใจลึก จากนั้นก็ยกราชโองการทองคำขึ้น เขากัดลิ้นพ่นเลือดคำหนึ่งบนม้วนคำสั่ง

ฮึ่ม ฮึ่ม

เมื่อเลือดหยดลง ม้วนคำสั่งก็ระเบิดออกมาด้วยแสงสีทอง แรงกดดันที่น่ากลัวราวกับกษัตริย์กระจายออกมา

ภายใต้แรงกดดันที่น่าหวาดกลัว ทุกคนที่อยู่ภายใต้ระดับตี้จื้อจุนก็ทรุดเข่าลงทันที พวกเขาไม่สามารถเงยหัวขึ้น ร่างกายสั่นสะท้าน

นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่ารัศมีนี้หมายถึงอะไร… ในทวีปซีเทียนมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีแรงกดดันนี้

ประมุขแห่งตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ผู้เป็นตำนาน!

ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเคร่งเครียดลงหลายส่วน ม้วนราชโองการน่าจะสามารถเรียกร่างดวงจิตของอีกฝ่ายได้ แต่ถึงจะเป็นเพียงร่างดวงจิตก็กดดันอย่างมาก

มู่เฉินรู้สึกได้ว่าลั่วหลีจับมือตัวเองแน่นขึ้น

“ไม่ต้องกลัว” มู่เฉินพูดกับนางเบาๆ

ลั่วหลีหันกลับมาก็รู้สึกประหลาดใจ แม้ว่าสายตาของมู่เฉินจะเคร่งเครียด แต่เขาก็ไม่ได้ตื่นตกใจ นางยิ้มอย่างขมขื่นก่อนที่จะตอบว่า “หากมีโอกาสเจ้ารีบหนีไปนะ”

“แล้วเจ้าล่ะ?”

ลั่วหลียิ้มตอบ “ไม่ว่ายังไงข้าก็จะไม่เป็นธิดาเทพ”

มู่เฉินมองรอยยิ้มนั่นก็เห็นความแน่วแน่บางอย่าง นางไม่มีวันเป็นธิดาเทพเนื่องจากนางที่ภาคภูมิใจจะขู่ด้วยชีวิต

“ลั่วหลี…”

มู่เฉินจ้องที่คนรักพูดเบาๆ “จำที่ข้าบอกเจ้าได้ไหม?”

“ข้าบอกแล้วว่าครั้งต่อไปที่เราพบกัน ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครพาเจ้าไปจากข้าอีก” เขาจ้องมองม่านตาแก้วใสพูดต่อว่า “รวมถึงจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียนด้วย”

แม้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์จะทรงพลัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามู่เฉินจะไม่มีวิธีจัดการกับอีกฝ่าย

ลั่วหลีตกใจ นางไม่รู้ว่าเขาเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ในเมื่อนางเข้าใจมู่เฉิน นางจึงรู้ว่าเขาไม่ใช่คนโอ้อวด เมื่อเขากล้าพูดก็ต้องมั่นใจ

สิ่งนี้ทำให้หัวใจที่ตึงเครียดของนางคลายลง

“ดูเหมือนเจ้าจะผ่านประสบการณ์มากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา” ลั่วหลียิ้ม รอยยิ้มนี้ทำให้ดวงตาของมู่เฉินสว่างไสว เขาอยากโอบกอดนางไว้

แต่สุดท้ายเขาก็ระงับแรงปรารถนาเงยหน้าขึ้นมองม้วนทองคำ ร่างเงาสีทองค่อยๆ ปรากฏเบื้องหน้าสายตาพวกเขา

“ถวายบังคมองค์จักรพรรดิ”

หลิงตงมองร่างเงานั่นพลางคุกเข่า

บนท้องฟ้า ร่างเงาสีทองนั่นมีผมสีทองอร่าม รูปลักษณ์ราวกับแกะสลัก ดวงตาทรงเสน่ห์เปี่ยมอำนาจ โดยไม่มีผู้ใดสามารถลบลืมได้

ทว่าแรงกดดันสง่างามที่กระจายออกมาจากเขาถึงเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจมากที่สุด

ทุกคนสั่นสะเทือนภายใต้แรงกดดันนี้

เมื่อร่างเงานั้นปรากฏขึ้นก็มองไปที่ลั่วหลี ก่อนที่เสียงก้องกังวานจะดังขึ้น

“ลั่วหลี เจ้าจะปฏิเสธจริงๆ เหรอ?”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท