หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1223

ตอนที่ 1223

บทที่ 1223 การมาถึงของจักรพรรดิสัประยุทธ์
เสียงทรงอำนาจราวกับเทพยาตรามาจากสวรรค์ทั้งเก้า

ทำให้โลกสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น หลายคนมีเหงื่อผุดออกจากร่างกาย พวกเขารู้สึกราวกับว่าความโกรธของเทพตกใส่

ร่างเงาสีทองยืนอยู่บนท้องฟ้าสองมือไพล่หลังพร้อมกับรัศมีผู้ปกครองกำจายออกมา

ภายใต้แรงกดดันจอมยุทธ์สามัญได้แต่คุกเข่าลง มากจนถึงจุดที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนหลายคนยังอยู่ถูกข่มด้วยแรงกดดันมหาศาล ไม่กล้าที่จะแหงนเงยขึ้นมอง

ไม่มีใครคาดคิด… จักรพรรดิสัประยุทธ์จะมาด้วยตนเอง!

ภายใต้แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว ลั่วหลีก็มองร่างน่าเกรงขาม แม้ว่านางจะตัวสั่นเทาจากแรงกดดัน แต่ก็ไม่มีความกลัวบนใบหน้าเลย

นางมองไปที่ร่างเงาสีทอง เสียงดังก้องขึ้น “ขอบคุณสำหรับความโปรดปรานของจักรพรรดิสัประยุทธ์ แต่ข้าไม่คิดจะเป็นธิดาเทพ โปรดเลือกคนอื่นเถิด”

เสียงของนางทำให้หลายคนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอด้วยความไม่อยากจะเชื่อ พวกเขาไม่คิดเลยว่าลั่วหลีจะกล้าหาญขนาดนี้

ขณะเดียวกันเสี่ยหลิงจื่อกลับมีริ้วความสุขกะพริบในดวงตา ตอนแรกเขาคิดว่าตระกูลลั่วเสินจะมีอำนาจเพิ่มขึ้น แต่ใครจะไปคิดได้ว่าลั่วหลีไม่สนใจที่จะรับการอวยยศของตำหนักซีเทียน นอกจากนี้เหมือนจะยังต่อต้านด้วยซ้ำ

หากจักรพรรดิสัประยุทธ์โกรธเพียงเล็กน้อย ตระกูลลั่วเสินถึงกัลปาวสานแน่

“บังอาจ!”

เมื่อได้ยินที่ลั่วหลีพูด หลิงตงก็คำราม “ลั่วหลี เจ้ารู้ถึงราคาที่ต้องจ่ายในการปฏิเสธจักรพรรดิหรือไม่? แล้วเจ้ารู้ไหมว่าตระกูลลั่วเสินจะต้องจ่ายราคาประเภทใดสำหรับการกระทำนี้?”

ทันใดนั้นสายตาลั่วหลีก็เปลี่ยนเป็นคมกริบ นางจ้องมองหลิงตงพูดว่า “ก็แค่ตาย สำหรับตระกูลลั่วเสินถ้าข้าต้องทนรับความอัปยศเพื่อปกป้องตระกูลในฐานะจักรพรรดินีตระกูลยอมถูกทำลายล้างมากกว่าจะขายชื่อเสียงของบรรพบุรุษ…เทพธิดาลั่วเสิน!”

เสียงแน่วแน่ของนางดังไปทั่วชั้นฟ้า สมาชิกตระกูลลั่วเสินถึงกับเลือดเดือดพล่าน บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพ ไม่ว่าจะด้านชื่อเสียงหรือพลังจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียนก็ด้อยกว่าเมื่อเทียบกัน ดังนั้นพวกเขาจึงมีความภาคภูมิใจซึมลึกถึงแกนกระดูก พวกเขาเชื่อมั่นในตัวลั่วหลี หากตระกูลลั่วเสินเลือกให้ลั่วหลีต้องทนรับความอัปยศอดสูเพื่อความอยู่รอด พวกเขายอมถูกล้างบางแทนดีกว่า!

พวกเขาไม่ขออยู่รอดด้วยความอัปยศอดสู!

สมาชิกของตระกูลลั่วเสินเงยหน้าขึ้นโดยไม่มีความกลัวใด พวกเขาจ้องมองหลิงตงด้วยความเกรี้ยวกราด

หลายคนตกใจขณะมองไปที่ลั่วหลี แม้ว่านางจะเป็นหญิง แต่ความกล้านี้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกละอายใจนัก

สีหน้าของหลิงตงเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด เขาไม่คิดเลยว่าการข่มขู่ของเขาจะไปกระตุ้นความภาคภูมิใจของตระกูลลั่วเสินเข้า ดูเหมือนว่าเขาประเมินความกล้าหาญและความดึงดูดใจของลั่วหลีต่ำไป

“ฮ่าๆ สมกับเป็นคนที่ได้รับการยอมรับจากลั่วเสิน…”

จักรพรรดิสัประยุทธ์ปรบมือเบาๆ คำพูดของลั่วหลีไม่ได้ทำให้เขาโกรธ ในทางตรงกันข้ามเขามองไปที่นางด้วยความชื่นชมอีกหลายส่วน

จากนั้นเขาก็หันไปหาหลิงตง “ความรักเป็นเรื่องของความเต็มใจ ข้าคนนี้เคยบังคับใครด้วยหรือ?”

หลิงตงโน้มตัวรับผิดทันที

เมื่อเห็นการยอมลงให้ของจักรพรรดิสัประยุทธ์ ผู้คนมากมายก็พยักหน้าด้วยความรู้สึกชื่นชมด้วยจิตใจเช่นนี้ สมกับเป็นเป็นผู้ปกครองของทวีปซีเทียน

มู่เฉินหรี่ตาแคบลงกับภาพตรงหน้า เขาไม่คิดว่าผู้นำตำหนักซีเทียนจะยอมปล่อยเรื่องนี้ลงได้อย่างง่ายดาย

หลังจากตำหนิหลิงตงแล้ว จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็มองที่ลั่วหลี “ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจ ข้าก็จะไม่บังคับ แต่ข้าจะเก็บตำแหน่งธิดาเทพไว้ห้ ถ้าเจ้าเปลี่ยนใจสามารถมาหาได้ทุกเมื่อ”

ลั่วหลีตอบอย่างใจเย็น “บางทีท่านจักรพรรดิสัประยุทธ์คงต้องผิดหวัง”

จักรพรรดิสัประยุทธ์ยิ้มจากนั้นก็หันไปทางมั่นถัวหลัว “ปล่อยเรื่องธิดาเทพของเจ้าไปก่อน แต่ดอกแมนดาลาโบราณกล้าท้าทายศักดิ์ศรีของตำหนักซีเทียน สมควรได้รับการลงโทษ”

ทุกคนตกใจกับคำพูดของเขา ก่อนที่จะหันไปมองมั่นถัวหลัว ไม่มีใครคิดว่าร่างจริงของนางจะเป็นดอกแมนดาลาโบราณ

หัวใจของมู่เฉินและลั่วหลีดิ่งลง แม้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์บอกว่าจะพักเรื่องธิดาเทพไว้ก่อน แต่การที่เขาหาเรื่องมั่นถัวหลัวก็เห็นได้ว่าไม่พอใจในใจ

“ท่านจักรพรรดิสัประยุทธ์ ด้วยสถานะของท่าน ถ้าทะเลาะกับเรื่องแค่นี้ มันไม่ดูไม่สมควรไปหน่อยหรือ?” ลั่วหลีพูดออกมา

จักรพรรดิสัประยุทธ์ยิ้ม “ถ้าข้าปล่อยเรื่องนี้ไปโดยง่าย คนอื่นจะไม่คิดว่าตำหนักซีเทียนอ่อนแอรึ? วางใจเถอะข้าจะพาสองคนนี้กลับไปที่ตำหนักซีเทียน จองจำพวกเขาสักหลายปีแล้วจะปล่อยไป ข้าสัญญาว่าจะไม่สังหารพวกเขา”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ใบหน้าของลั่วหลีก็เย็นชาลง จักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่เพียงตั้งใจจะพามั่นถัวหลัวไป แต่ยังวางแผนที่จะทำเช่นเดียวกันกับมู่เฉินด้วย

“ตู้ม!”

ก่อนที่ลั่วหลีจะพูดอะไรได้อีก จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ แสงสีทองกวาดออกมา ก่อตัวขึ้นเป็นมือขนาดใหญ่พุ่งไปโอบล้อมมู่เฉินและมั่นถัวหลัว

“ทวีปซีเทียนของข้า ไม่ใช่ที่ที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามารถหยิ่งผยองได้!” เสียงที่ไม่แยแสดังก้อง ภายใต้การห่อหุ้มของมือสีทองแม้แต่คลื่นหลิงก็หยุดเคลื่อนไหว

เมื่อทุกคนมองไปที่จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่เคลื่อนไหว พวกเขาก็รู้สึกเห็นใจมั่นถัวหลัวและมู่เฉิน การเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ไม่ว่ามู่เฉินจะมีไพ่ตายมากเท่าไรก็ยากที่จะหนีไปได้

“ไอ้หนู ขอข้าดูสิว่าแกยังสามารถกระโดดโลดเต้นไปได้ไหม!” ดวงตาของเสี่ยหลิงจื่อเปลี่ยนเป็นสีแดงขณะที่กัดฟัน แววตาวูบไหวด้วยความสะใจ ตระกูลเสี่ยเสินได้เตรียมไพ่ตายมากมายเพื่อจัดการกับตระกูลลั่วเสิน แต่ทั้งหมดก็ถูกมู่เฉินทำลาย ทว่าตอนนี้กระทั่งจักรพรรดิสัประยุทธ์ยังเคลื่อนไหว เขาไม่เชื่อว่ามู่เฉินจะหลุดรอดไปได้

“ผู้อาวุโสช่วยพามู่เฉินหนีไปตอนนี้เลย!” ลั่วหลีกัดฟันขณะที่มองมั่นถัวหลัว ยามนี้มีเพียงมั่นถัวหลัวเท่านั้นที่สามารถพามู่เฉินหนีไปได้ เพราะจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่มาเป็นเพียงร่างดวงจิต

ทว่าเผชิญหน้ากับคำขอของลั่วหลี มั่นถัวหลัวก็ส่ายหัวพลางหันไปหามู่เฉิน

ช่วงเวลานี้ลั่วหลีก็ตระหนักได้ว่ามู่เฉินยังคงสงบไม่มีร่องรอยของความสิ้นหวังใดเลย

เมื่อเห็นสายตาของลั่วหลี มู่เฉินก็เผยรอยยิ้มพลางพลิกมือ ตะเกียงโบราณปรากฏขึ้น

มู่เฉินแตะตะเกียงถอนหายใจด้วยความเสียดาย “ไม่คิดว่าจะต้องใช้ความช่วยเหลือเร็วขนาดนี้ เฮ้อ…”

เขาสะบัดมือคลื่นหลิงก็พุ่งเข้าไปในตะเกียงจุดไฟขึ้นอย่างรวดเร็ว

มือทองคำบีบลงมา ภายใต้สายตาของทุกคนก็ห่อหุ้มมั่นถัวหลัวและมู่เฉินเอาไว้ นี่ทำให้หลายคนถึงกับส่ายหัวเลยทีเดียว

ยามนี้แม้แต่มั่นถัวหลัวก็ไม่สามารถหลบหนีได้แล้ว

จักรพรรดิสัประยุทธ์มองภาพนี้แบบไม่แยแส ถ้าเขาสามารถพามั่นถัวหลัวและมู่เฉินไปได้ ลั่วหลีก็ต้องไปที่ตำหนักซีเทียนอย่างแน่นอนและยอมรับตำแหน่งธิดาเทพ เวลานั้นเขาจะมีโอกาสสร้างปฏิสัมพันธ์กับนาง เขาเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปลั่วหลีจะต้องหลงเสน่ห์ของเขา ถึงตอนนั้นนางก็จะเต็มใจ

ดังนั้นนี่จึงไม่ขัดกับกฎของเขา

ที่จริงเมื่อถึงระดับเขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องความงามมากนัก แต่ลั่วหลีแตกต่างออกไป เนื่องจากนางได้รับการสืบทอดร่างเทพวารีของลั่วเสิน หากเขาได้เสพสังวาสผ่านคัมภีร์กับนางละก็ เขาจะได้รับประโยชน์มหาศาลแน่นอน

ตอนแรกเขาคิดว่าแค่เผยใบหน้าให้เห็นถึงเสน่ห์ก็ไม่ยากที่จะได้รับความประทับใจจากนาง ทว่าเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะเข้ามาในแผนนี้ มิหนำซ้ำยังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนาง ทำให้นางปฏิเสธคำพูดเขาทั้งหมด

ดังนั้นในเวลานี้เขาต้องใช้วิธีแยบยลมาช่วย

‘ลั่วหลี เจ้าจะเข้าใจว่าข้ามีความโดดเด่นแค่ไหนในอนาคต มีเพียงข้าที่เทียบเคียงเจ้าได้ ส่วนมู่เฉินเป็นเพียงสายลมพัดผ่านเข้ามาในชีวิตของเจ้า เขาไม่คู่ควร… ข้าทำสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อประโยชน์ของเจ้า’

จักรพรรดิสัประยุทธ์คิดสิ่งนี้ในใจ จากนั้นก็เหลือบมองมือสีทองที่ไม่มีการขัดขืนใดๆ ดูเหมือนว่ามั่นถัวหลัวจะยอมแพ้ไปแล้วเหมือนกัน

“ฉลาด” เขายิ้มขณะที่โบกมือเตรียมเก็บมู่เฉินและมั่นถัวหลัวไป

ทว่าควันกลับลุกโชนในฝ่ามือทองคำ เปลวไฟพร่างพราวพวยพุ่งออกมาละลายฝ่ามือทองคำไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นฉากที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เปลี่ยนไปรุนแรง ร้องอุทานว่า “เป็นไปได้ยังไง?!”

กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ไม่สามารถต้านทานกระบวนท่านี้ได้ แล้วจะถูกทำลายด้วยเปลวไฟได้ยังไงกัน?

ทุกคนตกตะลึงกับภาพนี้เช่นกัน

ขณะที่เปลวไฟงดงามลุกโชน ไม่กี่ลมหายใจก็ละลายมือทองคำอย่างสมบูรณ์ ทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็ฉายแววตกใจขณะมองไป

มู่เฉินและมั่นถัวหลัวยืนอยู่บนท้องฟ้าโดยไม่มีอันตรายใดๆ ทว่าม่านตาของทุกคนก็หดแคบลง เมื่อพวกเขาเห็นผู้มาใหม่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เฉิน

ชายผู้นี้มีรูปร่างสูงตระหง่านยืนเอามือไพล่หลัง รอยยิ้มเกียจคร้านแขวนอยู่บนใบหน้า แม้เขาจะไม่ได้ดูแข็งแกร่ง แต่ก็สามารถรู้สึกได้ถึงความกดดันที่เป็นของจักรพรรดิสัประยุทธ์ผงะถอยกลับอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขายืนอยู่ที่นั่น

เมื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ ทุกคนก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด นั่นเป็นเพราะกระทั่งคนโง่ก็ยังรู้ว่ามีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจุนเท่านั้นที่สามารถเผชิญหน้ากับแรงกดดันแบบนี้ได้

นั่นหมายความว่ามู่เฉินเชิญจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนมาด้วย!

ท่ามกลางสายตาหวาดผวามากมาย ชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เฉินก็ยิ้ม “จักรพรรดิสัประยุทธ์แกล้งเด็กแบบนี้ ไม่ลดสถานะของตัวเองไปหน่อยรึ?”

บนท้องฟ้าจักรพรรดิสัประยุทธ์จำชายที่ยืนอยู่ตรงหน้ามู่เฉินได้ ม่านตาเขาหดแคบลง สีหน้าเปลี่ยนไปพลางอุทานออกมา

“เทพจักรพรรดิอัคคี—เซียวเหยียน?!”

คำพูดนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกวิงเวียน มู่เฉินไม่เพียงแต่เชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมาเท่านั้น… เขายังเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีผู้ยิ่งใหญ่มาด้วย!

จากผู้แปล ขออธิบาย

เซียวเหยียน—เทพจักพรรดิอัคคีแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว

กับ…

หลินเหยียน-น้องสามของหลินต้งหรือเสี่ยวเหยียนผู้เคร่งขรึม

>>> เป็นคนละคนกัน

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท