หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1228

ตอนที่ 1228

บทที่ 1228 จักรพรรดิมู่
เมื่อได้ยินคำพูดของจักรพรรดิสัประยุทธ์

เซียวเหยียนก็ยิ้มบาง “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ต้องขอขอบคุณจักรพรรดิสัประยุทธ์ด้วย”

จักรพรรดิสัประยุทธ์โบกมือพูดเชื้อเชิญออกไป “การแข่งขันสำหรับนักรบทวีปจะเริ่มขึ้นในเดือนหน้า ข้ายินดีต้อนรับเทพจักรพรรดิอัคคีที่ตำหนักซีเทียนเพื่อเข้าชม”

เซียวเหยียนยิ้มผงกศีรษะรับ “ข้ามาแน่นอน”

“งั้นข้าจะต้องตารอ วันนี้ขอตัวก่อน” จักรพรรดิสัประยุทธ์ยิ้มไม่คิดจะอยู่ต่อ เขาประสานมือคำนับเซียวเหยียน แสงสีทองเบ่งบาน รัศมีสีทองก็พุ่งเข้าปกคลุมหลิงตง จากนั้นทั้งสองก็หายไปจากสายตา

นับตั้งแต่การปรากฏตัวของเทพจักรพรรดิอัคคี เขาก็ไม่พูดถึงเรื่องลั่วหลีที่จะให้รับตำแหน่งธิดาเทพอีก เพราะเขารู้ว่าตนเองไม่สามารถข่มคนเหล่านี้ได้ด้วยพลังที่มีอีกต่อไป ในเมื่อเทพจักรพรรดิอัคคีอยู่ที่นี่ด้วย

ต่อให้มู่เฉินเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ซึ่งเป็นอะไรที่เขาสามารถสังหารได้เพียงพลิกฝ่ามือ ทว่ายังมีพลังหลายประเภทในโลกนี้

แม้จะเป็นเพียงจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแต่มู่เฉินก็รู้จักวิธียืมมือ… ถึงว่าจะฟังดูง่าย แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์รู้ดีว่าการยืมมือคนอื่นทำได้ยากเพียงใด

ทว่ามู่เฉินก็สามารถยืมมือของเทพจักรพรรดิอัคคีได้ด้วยขุมพลังระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น ซึ่งอธิบายได้ว่ามู่เฉินพิเศษเพียงใด จะมีกี่คนในมหาพันภพที่จะบรรลุความสำเร็จเช่นนี้?

นอกจากนี้เขายังสามารถยืมมือเทพจักรพรรดิสงครามได้อีกด้วย

ดังนั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์จึงรู้ว่าตนเองไม่สามารถข่มมู่เฉินได้อีกต่อไปด้วยขุมพลังเทียนจื้อจุนที่มี

หากเขาฝืนทางมากเกินไป เขาอาจสร้างความขุ่นเคืองกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม เวลานั้นแม้แต่คนอย่างเขาก็จะต้องจ่ายราคาแพงระยับ

ดังนั้นเขาจำใจต้องยอมเลิกรากับตำแหน่งธิดาเทพของลั่วหลีแห่งตำหนักซีเทียน ทั้งหมดเป็นเพราะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่อ่อนแอ

แม้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่จะรู้สึกไม่พอใจว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเป็นคนบีบให้เขาต้องล่าถอย แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมมู่เฉินอยู่ในใจ

นั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายสามารถบังคับให้เขาต้องถอยกลับแม้จะมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น สุดท้ายยังทำให้เขาต้องจ่ายราคาสำหรับสิทธิ์ในการแข่งขันนักรบทวีปด้วย

วิธีและความคิดของมู่เฉินเป็นสิ่งควรค่าแก่การยกย่อง จักรพรรดิสัประยุทธ์เริ่มเข้าใจว่าทำไมคนอย่างเทพจักรพรรดิอัคคีถึงดูแลมู่เฉินอย่างมาก เพราะมู่เฉินมีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นมังกรยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง

การจากไปของจักรพรรดิสัประยุทธ์ ทำให้ความกดดันที่ล้อมรอบเมืองลั่วเสินหายไป คนตระกูลลั่วเสินพากันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะระเบิดเป็นเสียงโห่ร้อง

นั่นเป็นการส่งเสียงดีใจที่รอดจากความตายมาได้

วันนี้มีเรื่องราวพลิกตาลปัตรไปมามากมาย พวกเขารู้สึกสิ้นหวังหลายครั้งจนคิดว่าตระกูลลั่วเสินคงถึงคราวล่มสลายแล้ว

แต่ใครจะคาดว่าสถานการณ์จะพลิกผันหลายครั้งเช่นนี้ ท้ายที่สุดตระกูลลั่วเสินไม่เป็นอันตรายและยังได้รับประโยชน์ที่ดีที่สุดด้วย

ผู้คนในตระกูลลั่วเสินมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา เพราะพวกเขารู้ว่าหลังจากภัยพิบัติวันนี้ตระกูลลั่วเสินจะพลิกโฉมครั้งใหม่!

ลั่วหลีได้รับมรดกของลั่วเสินซึ่งเป็นการยอมรับจากบรรพบุรุษ เห็นได้ชัดว่าตระกูลลั่วเสินจะมีจักรพรรดินีทรงอำนาจในอนาคต พวกเขาอาจกลับคืนสู่ยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ภายใต้การนำของนาง

จากนั้นพวกเขาก็หันมองร่างเงาอ่อนเยาว์ ดวงตาเต็มไปด้วยความขอบคุณและความเคารพ

พวกเขารู้ว่าปัญหาในวันนี้ถูกแก้ไขโดยชายหนุ่มคนนี้แทบทั้งหมด

เพราะเขานำจอมยุทธ์ทรงประสิทธิภาพเข้ามาช่วยตระกูลลั่วเสิน ระงับความทะเยอทะยานของตระกูลเสี่ยเสิน เขาแทรกแซงเมื่อตำหนักซีเทียนพยายามที่จะนำจักรพรรดินีของพวกเขาไป มิหนำซ้ำยังสามารถเชิญเทพจักรพรรดิอัคคี เมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์เดินทางมายังสถานที่แห่งนี้…

หากมีข้อผิดพลาดเล็กน้อยในวันนี้ตระกูลลั่วเสินคงถึงกาลอวสานอย่างแน่นอน ทว่าเรื่องราวกลับได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างสมบูรณ์โดยชายหนุ่มผู้นี้

กล่าวได้ว่าศักยภาพที่มู่เฉินแสดงสามารถครองหัวใจคนตระกูลลั่วเสินได้ บางทีคงมีเพียงชายหนุ่มผู้โดดเด่นคนนี้ที่คู่ควรกับจักรพรรดินีของพวกเขา!

“จักรพรรดิมู่!”

“จักรพรรดิมู่!”

เสียงร้องสรรเสริญดังก้องทั่วเมืองลั่วเสินกระจายออกไปทุกซอกมุมอย่างน่าอัศจรรย์ ผู้คนตระกูลลั่วเสินจำนวนมากมีใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อร้องตะโกน ขณะนั้นแม้แต่ชั้นฟ้าและชั้นดินก็สะเทือนเลื่อนลั่นด้วยเสียงคำรามนี้

“จักรพรรดิมู่! จักรพรรดิมู่!”

ลั่วชิงหยา ลั่วซิวและเหล่าจอมยุทธ์ตระกูลลั่วเสินมองไปที่ประชาชนที่ตื่นเต้นก็แลกเปลี่ยนสายตากัน ปัจจุบันตระกูลลั่วเสินมีเพียงจักรพรรดินี แต่เมื่อนางมีคนรัก และอีกฝ่ายก็ได้รับการยอมรับจากทั้งตระกูล คนรักของนางก็จะดำรงจักรพรรดิตระกูลลั่วเสิน

เห็นได้ชัดว่าตระกูลลั่วเสินไม่ได้ตาบอด พวกเขาสามารถบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างลั่วหลีและมู่เฉินได้ นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุดศักยภาพที่มู่เฉินแสดงให้เป็นที่ประจักษ์ทำให้ทุกคนเชื่อมั่น ดังนั้นทุกคนจึงแสดงความตื่นเต้นในใจออกมาผ่านคำพูดสรรเสริญนี้

นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนใฝ่ฝัน

ลั่วชิงหยา ลั่วซิวและเหล่าจอมยุทธ์ตระกูลลั่วเสินถอนหายใจ จากนั้นก็มองหน้ากันแล้วตะโกนออกมาสุดเสียงเช่นกัน

นั่นเป็นเพราะไม่เพียงแต่ประชาชนที่เชื่อมั่นเท่านั้น เหล่าทหารหาญก็เชื่ออย่างนั้นในเวลานี้เช่นกัน

จะมีกี่คนในโลกที่สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนโดยไม่เกรงกลัว มิหนำซ้ำยังสามารถตอบโต้ได้ด้วย?

ลั่วเทียนเสินไม่สามารถกลั้นยิ้มเมื่อได้ยินเสียงตะโกน เขามองไปที่ชายหนุ่มบนท้องฟ้าพลางถอนหายใจ เขานึกถึงตอนที่พาลั่วหลีออกไปจากสำนึกศึกษาเป่ยชางเมื่อไม่กี่ปีก่อน…

ในเวลานั้นชายหนุ่มทั้งเด็กและอ่อนแอคล้ายกับลูกเหยี่ยวน้อย แม้ว่าจะเฉียบคมแต่ก็เด็กเหลือเกิน ในเวลานั้นลั่วเทียนเสินไม่ได้ให้ความสำคัญกับชายหนุ่ม เพียงแค่คิดว่าเป็นผู้โชคดีที่ได้รับหัวใจของลั่วหลี

ตอนนั้น… เขาไม่คิดเลยว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าชายคนนั้นจะปรากฏตัวเบื้องหน้าเขาในฐานะผู้กอบกู้

ชายหนุ่มสลายความอ่อนแออย่างสมบูรณ์ในหลายปีที่ผ่านมา เปล่งประกายความคมชัดที่ทำให้คนอื่นตกตะลึง

“สายตาลั่วหลีดีจริงๆ” ลั่วเทียนเสินถอนหายใจ ที่ผ่านมาลั่วหลีได้รับแรงกดดันอย่างมากในตระกูล แม้ว่าทุกคนจะสงสัยในตัวนาง นางก็ไม่เคยหวั่นไหว

ขณะที่เสียงโห่ร้องดังสะท้อนไปทั่วขอบฟ้า ความไว้สง่าของลั่วหลีก็จางหายไปหมด ยามนี้ดวงตาของนางเป็นประกายระยิบระยับ ใบหน้าขึ้นริ้วสีแดง นางก้มศีรษะลง ท่าทางเขินอายนี่ทำให้หัวใจของผู้คนมากมายผันผวน

นั่นเป็นเพราะนางรู้ว่าการเรียกขานเช่นนี้หมายถึงอะไร

นี่เป็นการยอมรับสูงสุดสำหรับมู่เฉินและก็หมายความว่าตระกูลลั่วเสินยอมรับความสัมพันธ์ของนางกับมู่เฉินด้วย

นางมองไปที่ลั่วเทียนเสิน ขณะนี้อีกฝ่ายก็ผงกหัวด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน

เผชิญหน้ากับเสียงไชโยโห่ร้อง มู่เฉินก็เกาหัวก่อนที่จะหันไปมองหญิงสาวที่เขินอายข้างกายด้วยหัวใจที่พลุ่งพล่าน

“ลั่วหลี…”

มู่เฉินเรียกเสียงเบาขณะมองดวงตาของหญิงสาว เขาเก้อเขินอายไปเล็กน้อยก่อนที่จะพูดว่า “คำสัญญาที่ข้าให้ไว้กับเจ้าก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะโอ้อวดไปหน่อย…”

ย้อนกลับไปตอนนั้นเขาสัญญากับนางว่าตัวเองจะเป็นยอดยุทธ์และปกป้องนางเธอจากลมฝน…

ลั่วหลีมองใบหน้าหล่อเหลาเบื้องหน้า ดวงตาก็ขึ้นริ้วแดง บางทีคนอื่นอาจคิดว่าคำสัญญานั้นช่างน่าหัวเราะ ทว่ามีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่างานหนักที่เขาทำเพื่อสัญญายากเย็นขนาดไหน

เส้นทางของยอดยุทธ์เต็มไปด้วยขวากหนามนานัปการ สามารถเปลี่ยนคนที่มีจิตใจตั้งมั่นได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นนางจึงรู้ว่าเขาทำงานหนักอย่างไร ต้องผ่านสถานการณ์เป็นตายมากี่ครั้ง

แค่คิดก็ทำให้นางรู้สึกปวดใจ

“เจ้าลำบากไปแล้ว” ลั่วหลีกัดริมฝีปาก ก่อนที่จะพูดด้วยดวงตาบวมแดง

มู่เฉินยิ้มบาง “ลั่วหลี เจ้ายังจำคำสัญญาที่ข้าให้ไว้ได้ไหม ตอนที่เจ้าจากมา…”

ลั่วหลีพยักหน้าเบาๆ นางยังจดจำคำพูดของมู่เฉินได้แจ่มชัด ทุกประโยคดังก้องในโสตประสาทของนาง

“ลั่วหลี ข้ารักเจ้า แม้ตระกูลลั่วเสินอาจไกลมากเกินไปในตอนนี้ ข้าก็ไม่สามารถทำให้ท่านปู่และตระกูลเจ้ายอมรับได้ นอกจากนี้พวกเขายังอาจเกิดความสงสัยในสายตาและรู้สึกว่าเจ้าตาบอดมารักชายที่ธรรมดาเท่านั้น แต่…”

“เชื่อข้าจะต้องมีสักวันที่ข้าจะไปที่ตระกูลลั่วเสิน ในเวลานั้นข้าจะให้พวกเขารู้ว่าเจ้าไม่ได้คว้าก้อนกรวดในทะเลทราย แต่เป็นเพชรที่เจิดจรัส…”

มู่เฉินจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าพลางยิ้มบาง

“หลายปีที่ผ่านมาข้าได้พยายามในสิ่งนี้….”

ทันใดนั้นลั่วหลีก็อดกลั้นอารมณ์ที่พวยพุ่งในหัวใจไม่ได้ หยาดน้ำตาหลั่งรินออกมาทันที

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท