หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1232

ตอนที่ 1232

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1232 รัศมีตกทอดจากบรรพบุรุษ
หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน

จากนั้นก็ค่อยๆ สงบลงหลังจากผ่านอาการตกตะลึงพรึงเพริด เขาเริ่มเดาเหตุผลบางอย่างได้อย่างคลุมเครือ

ก่อนหน้านี้เขาทำความเข้าใจเชิงลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับวิชามหาเจดีย์ โดยใช้พลังจากการทำลายเจดีย์ของตนเพื่อมาถึงที่นี่ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จะต้องเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับเผ่าฝูถู

“ถึงแม้ว่าวิชามหาเจดีย์ในอดีตจะพิเศษแล้ว ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับระดับตี้จื้อจุน แต่ในเมื่อวิชานี้เป็นทักษะการวางรากฐานของเผ่าฝูถูดังนั้นจึงต้องมีเคล็ดลับสำคัญ ซึ่งจะต้องมีระดับเข้าใจและวิวัฒนาการที่สูงขึ้น”

วิวัฒนาการที่ว่าอาจเกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้หรือพูดให้ถูกต้องคือเกี่ยวกับเจดีย์โบราณนี้

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ สายตาของมู่เฉินก็จดจ่อที่เจดีย์โบราณ เขาลังเลสั้นๆ ก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้

ยิ่งเมื่อเดินเข้าไปใกล้ เขาก็ต้องตกใจเมื่อตระหนักถึงขนาดที่แท้จริงของเจดีย์โบราณนี้ที่มีความสูงหลายแสนจั้ง ทำให้คนคล้ายกับมดเมื่อเปรียบเทียบกัน ดังนั้นผลกระทบที่เขาได้รับก็น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

“ช่างเป็นเจดีย์ที่น่าสะพรึงอะไรอย่างนี้”

มู่เฉินพึมพำในใจ เขารู้สึกได้ว่าแรงกดดันคลุมเครือที่เปล่งออกจากเจดีย์นั้นแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์เสียอีก

ความกดดันเต็มไปด้วยกลิ่นอายเก่าแก่ ราวกับมีร่องรอยของกาลเวลา ภายใต้แรงกดดันดังกล่าวไม่ต้องสงสัยว่าแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์เพียงใด

ด้วยการรับรู้ของมู่เฉิน เมื่อเทียบกับแรงกดดันของเจดีย์โบราณนี้อาจมีเพียงเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามที่ต่อกรได้

ขณะนี้มู่เฉินรู้อย่างลึกซึ้งมากว่าการเป็นหนึ่งในเผ่าโบราณแห่งมหาพันภพน่ากลัวเพียงใด

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ขณะที่มู่เฉินตกตะลึง เจดีย์ก็ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเขา มันส่งเสียงครางกระหึ่ม

มู่เฉินตกใจกับการเคลื่อนไหวฉับพลัน เกือบจะดึงแบบร่างดวงจิตกลับ เพราะสุดท้ายเจดีย์ลึกลับนี้ก็น่าสะพรึงเกินไป ถ้าเกิดการเคลื่อนไหวก็อาจเป็นหายนะครั้งใหญ่สำหรับเขาเลย

ลำแสงสีดำส่องลงมาจากเจดีย์โบราณ ห่อตัวมู่เฉินไว้ภายใน

ช่วงเวลานั้นมู่เฉินสัมผัสได้ถึงความผันผวนอย่างลึกซึ้งกวาดผ่านร่างดวงจิต… ซึ่งมากเกินพรรณนาจนทำให้มู่เฉินรู้สึกว่ามันกำลังสำรวจตรวจสอบร่างกายของเขาที่นั่งนิ่งในภูเขาด้านหลังวังลั่วเสินด้วย

หัวใจของเขาสั่นเบาๆ เนื่องจากกลัวว่าจะเกิดภัยพิบัติขึ้นกับร่าง

แต่โชคดีที่แสงจางลงหลังจากการตรวจสอบ ทันใดนั้นมู่เฉินก็รู้สึกว่ามิตินี้เหมือนจะให้การยอมรับตัวเขาแล้ว

เขาอึ้งไปแต่ในไม่ช้าก็คิดออก การตรวจสอบจากเจดีย์เมื่อสักครู่น่าจะเพื่อดูว่าเขามีสายเลือดของเผ่าฝูถูหรือไม่

หากเป็นคนที่ไม่มีสายเลือดอาจถูกกำจัดโดยเจดีย์โบราณทันที

โชคดี… มารดาของเขาเป็นสมาชิกเผ่าฝูถู ดังนั้นเขาจึงมีสายเลือดโบราณไหลเวียนอยู่ในร่างกายเช่นกัน!

“เกือบซวยไหมล่ะ…”

มู่เฉินรู้สึกโล่งอกจากอันตรายที่มาเยือน โชคดีที่เขาผ่านการตรวจสอบไม่เช่นนั้นผลลัพธ์คงจะตกที่นั่งลำบาก

ขณะที่หัวใจของมู่เฉินยังอบอวลด้วยความหวาดกลัว รัศมียิ่งใหญ่ก็พุ่งออกมาจากด้านบนของเจดีย์โบราณ ห่อหุ้มมู่เฉินไว้อีกครั้ง

รัศมีลึกลับดูเหมือนว่ามาจากยุคโบราณที่เก่าแก่มาก แต่มู่เฉินรู้สึกถึงความใกล้ชิดที่มาจากมัน

ให้ความรู้สึกราวกับว่าพวกเขามาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน

“นี่คือรัศมีตกทอดจากบรรพบุรุษ?!”

ทันใดนั้นมู่เฉินก็เข้าใจอะไรบางอย่าง บางทีรัศมีลึกลับนี้อาจเป็นรัศมีตกทอดที่บทสวดของเผ่าฝูถูพูดถึง!

“กลั่นรัศมีตกทอดเพื่อเจดีย์อันเป็นนิรันดร์!”

เสียงท่องไหลเวียนอยู่ในหัวใจของมู่เฉินอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ประสานมือเข้าด้วยกัน แสงเข้มข้นระเบิดออกจากร่างกาย ตัวเขาก็ราวกับวาฬกินเหยื่อ ดูดซับรัศมีตกทอดบรรพบุรุษเอาไว้

ขณะที่ดูดซับรัศมี มู่เฉินก็รู้สึกว่าร่างกายสั่นสะเทือน กระแสเลือดเดือดพล่าน แม้แต่พลังในสายเลือดที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของร่างกายก็ถูกกระตุ้นขึ้นมา

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ยามนี้แสงสีดำระเบิดออกจากร่างดวงจิตมู่เฉินคล้ายกับหลุมดำ ดูดซับรัศมีตกทอดจากเจดีย์โบราณอย่างเมามัน

ภายใต้การกลืนกินรัศมี เจดีย์ที่มีขนาดสิบกว่าจั้งก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในแสงสีดำ

นี่เป็นเจดีย์ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับที่เคยชำระไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากม้นเป็นสีขาวปลอด นอกจากนี้เมื่อรัศมีตกทอดไหลหลั่งเข้ามาที่ตัวเขามากขึ้น เจดีย์ก็เริ่มโปร่งใสราวกับว่ากำลังชำระล้างสิ่งสกปรกออก

ฟู่ ฟู่!

เมื่อเจดีย์สีขาวปรากฏขึ้น มู่เฉินไม่ได้สังเกตว่าเลือดในร่างกายเริ่มเผาไหม้จนกลายเป็นเปลวไฟสีดำห่อหุ้มร่างกายไว้

นี่เป็นเหตุจากสายเลือดเผ่าฝูถูถูกกระตุ้น

ชี่!

เมื่อเปลวไฟปรากฏขึ้นบนร่างมู่เฉิน เพลิงสีดำก็เริ่มลุกไหม้บนเจดีย์สีขาว ทำให้โปร่งใสมากขึ้นเรื่อยๆ

มู่เฉินให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด แม้จะไม่คุ้นเคยกับเจดีย์สีขาวนั้น แต่สัญชาตญาณก็บอกว่ายิ่งเจดีย์โปร่งใสมากขึ้นก็ยิ่งเป็นเรื่องดีสำหรับเขา

เมื่อมีความคิดนี้เขาก็ไม่ลังเล ปล่อยร่างดวงจิตควบคุมเพลิงสีดำให้ลุกโชติช่วงยิ่งขึ้น ดูดซับรัศมีตกทอดมากยิ่งขึ้น

นั่นเป็นเพราะเขาพบว่ารัศมีตกทอดลึกลับนี้เป็นส่วนผสมหลักในการปรับแต่งเจดีย์สีขาวนี้

เจดีย์โบราณก็เหมือนถูกกระตุ้น ปลดปล่อยรัศมีล้ำค่าออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดช่วยมู่เฉินในการปรับแต่งเจดีย์สีขาวของเขา

ภายใต้เพลิงสีดำเจดีย์สีขาวมีความโปร่งใสและบริสุทธิ์มากขึ้น ด้วยความเร็วนี้อีกไม่นานเจดีย์ก็จะกำจัดสิ่งสกปรกทั้งหมดออกไป

เผ่าฝูถู

ร่างสูงวัยสองร่างนั่งอยู่บนแท่นบูชา กำจายรัศมีสูงวัย

ทว่ามิติรอบด้านก็ถึงกับแตกเป็นเสี่ยงๆ จากลมหายใจของทั้งสอง แสดงให้เห็นว่าร่างสูงวัยทั้งสองน่ากลัวเพียงใด

ดวงตาพวกเขาปิดลงราวกับว่ากำลังนอนหลับอยู่

แต่ทันใดนั้นเมื่อทั้งสองรู้สึกอะไรบางอย่าง ดวงตาก็เบิกโพลงพร้อมกับริ้วความสงสัยกระจายเต็มใบหน้า นั่นเป็นเพราะในขณะนี้พวกเขารู้สึกถึงความผันผวนที่แปลกประหลาดที่มาจากดินแดนโบราณ

“เกิดอะไรขึ้น?”

ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อคลื่นหลิงรวมตัวที่เบื้องหน้าก่อร่างเป็นกระจกฉายภาพในดินแดนโบราณ

กระจกกะพริบวูบวาบ ฉากพุ่งไปที่เจดีย์โบราณ

พวกเขากวาดสายตาก็เห็นเจดีย์โปร่งใสราวกับว่าสร้างจากแก้วผลึกลอยอยู่นอกเจดีย์โบราณ

เมื่อเห็นเจดีย์โปร่งใสที่มีความผันผวนของไอศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองคนก็อึ้งไปก่อนที่จะร้องอุทาน “นี่…นี่คือเจดีย์พุทธะหรือ? เรามีสมาชิกที่สามารถปรับแต่งเจดีย์พุทธะได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ไม่ธรรมดาจริงๆ”

ทว่าทันใดนั้นพวกเขาก็นึกถึงบางสิ่งใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปรุนแรง

นั่นเป็นเพราะพวกเขาเป็นผู้พิทักษ์ดินแดนโบราณ ดังนั้นหากใครต้องการเข้าไปในดินแดนโบราณเพื่อกลั่นรัศมีตกทอดปรับปรุงเจดีย์ก็จะต้องทำการเปิดโดยพวกเขา

แต่…พวกเขาไม่ได้เปิดทางเข้าสู่ดินแดนโบราณ แล้วเขาคนนั้นเข้าไปได้ยังไง?!

เผชิญกับสถานการณ์นี้ กระทั่งคนสูงวัยอย่างพวกเขาก็ยังสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก พวกเขาคำรามขึ้นทันที “เร็วเข้า เปิดดินแดนโบราณ!”

ความสนใจของมู่เฉินจมจ่อมอยู่ในเจดีย์ใส

ขณะนี้กระบวนการกำลังค่อยๆ มาถึงความสมบูรณ์แบบโดยรัศมีตกทอด

ตอนนี้มันช่างโปร่งใสราวกับเพชร ในเวลาเดียวกันก็ส่งผลให้เกิดความลึกซึ้งอย่างไม่อาจบรรยายได้

มู่เฉินมีความรู้สึกว่าเจดีย์ผลึกใสนี้ไม่ธรรมดา เจดีย์ที่เขาเคยชำระไว้ก่อนหน้าไม่สามารถเทียบได้กับสิ่งนี้เลย

ทว่าขณะที่มู่เฉินกำลังยินดีปรีดาในหัวใจ พายุรุนแรงก็พัดเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ จากนั้นเขาก็เห็นกรงเล็บทอดยาวมาในทิศทางของเขา

ในเวลาเดียวกันเสียงกรี้ยวกราดก็ดังก้องทั่วมิติ

“ใครบังอาจเข้ามาขโมยรัศมีรัศมีตกทอดในดินแดนโบราณของเผ่าฝูถู!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท