หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1243

ตอนที่ 1243

บทที่ 1243 ชายเสื้อคลุมเพลิง
ฟิ้ว!

พื้นที่กว้างใหญ่ขมุกขมัวระหว่างฟ้าดิน เงาลุกโชติช่วงพุ่งผ่านขอบฟ้า เขาเป็นชายแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีแดงที่มีเปลวไฟเต้นระริกอยู่บนร่างกาย

นี่เป็นเอกลักษณ์จากคลื่นหลิงเพลิงทรงพลังที่เขาฝึกฝน ทำให้คลื่นหลิงที่ปล่อยออกมาเหมือนเสื้อเพลิงห่อหุ้มเขาไว้

ขณะนี้เขากำลังกวาดมองไปรอบๆ ราวกับเหยี่ยวออกล่า

สายตากวาดไปมาค้นหาเหยื่อ เมื่อพบใครที่อ่อนแอกว่าก็จะเข้าไปจัดการและแย่งป้ายสัประยุทธ์มาเป็นของตน

ทว่าสถานะระหว่างเหยื่อกับนักล่าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาในสนามรบแห่งนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องระมัดระวังอย่างมาก ถ้าพบว่าอีกฝ่ายทรงพลังเกินไปก็จะหลบหนีไปทันที

ด้วยทักษะการหลบหลีกขั้นเทพที่ไม่เหมือนใคร ทำให้เขามั่นใจว่ามีจอมยุทธ์ที่ขุมพลังเดียวกันไม่มากที่สามารถตามจับเขาได้

นอกจากนี้หากคู่ต่อสู้ไล่ตาม เขาสามารถใช้สถานการณ์เพื่อทำให้คู่ต่อสู้อ่อนล้าและชิงความได้เปรียบในการต่อสู้

ก่อนหน้านี้เขาได้ใช้กลยุทธ์ที่ศัตรูไล่ล่าและตนหลบหนี ชิงป้ายสัประยุทธ์มาได้ป้ายหนึ่งแล้ว

ตอนนี้เขามีป้ายสัประยุทธ์สองป้ายที่กำลังหมุนช้าๆ เหนือฝ่ามือ เขายิ้มบางเนื่องจากรู้ว่าเป็นไปไม่ได้สำหรับตนเองที่จะครองอันดับหนึ่งในสถานที่ซึ่งมีจอมยุทธ์มากมายมารวมตัวกัน ดังนั้นตำแหน่งนักรบทวีปจึงไม่ได้เป็นเป้าหมายของเขา แต่ทำเพื่อใช้ป้ายเหล่านี้แลกเปลี่ยนของบางอย่างจากคลังสัประยุทธ์

เขาสามารถถอนตัวออกจากการแข่งขันเมื่อได้สมบัติที่ต้องการ ส่วนตำแหน่งก็ปล่อยให้คนอื่นๆ ต่อสู้กันไป…

“หืม?”

ขณะที่เกิดความคิด จู่ๆ ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไป ดวงตาหรี่ลงมองไปที่เทือกเขาที่อยู่ห่างไกล เขารู้สึกถึงความผันผวนของพลังงานบางจางที่กำลังแอบหนีอย่างเงียบๆ ในขณะนี้

เจ้าของคลื่นพลังกำลังพยายามอย่างที่สุดเพื่อปกปิดคลื่น แต่ชายเสื้อคลุมเพลิงก็ยังรู้สึกถึงคนคนนั้นได้อยู่

เปลวไฟรวมตัวในดวงตาของเขา วิสัยทัศน์ก็ย่นระยะมองเห็นร่างเงาที่อยู่ลึกเข้าไปในเทือกเขาทันที

“จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น?”

เมื่อชายเสื้อคลุมเพลิงเห็นร่างอ่อนเยาว์ เขาก็อึ้งไปก่อนที่รอยยิ้มจะโค้งขึ้นบนริมฝีปาก “มู่เฉินเหรอ?”

ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายมีจอมยุทธ์หนึ่งเดียวที่มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น นั่นก็คือมู่เฉิน

เมื่อชายเสื้อคลุมเพลิงรู้สึกถึงการมีอยู่นั้น อีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้สึกเช่นกัน เขาพุ่งหนีทันที ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานข้ามภูเขาอย่างต่อเนื่องเพื่อพยายามหลบหนี

“เฮ้ ป้ายสัประยุทธ์ที่ส่งมาถึงหน้าบ้านจะปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไง?”

ชายเสื้อคลุมเพลิงยิ้มกว้าง ก่อนที่จะกระทืบเท้า เปลวไฟปะทุออกมาจากนั้นร่างก็หายไป เขาไปปรากฏขึ้นเหนือเทือกเขา ซัดฝ่ามือลงมา

เขาเป็นคนระวังตัว เนื่องจากเคยได้ยินเรื่องการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินกับสงป้า ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเป็นการดีที่สุดที่คลื่นหลิงของเขาจะไม่สัมผัสกับมู่เฉิน

ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะเข้าใกล้มู่เฉินในการปะทะกันตัวต่อตัว เลือกที่จะระดมยิงคลื่นหลิงจากระยะไกล

ตู้ม!

ฝ่ามือขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยคลื่นหลิงเพลิง โอบล้อมป่าในเทือกเขาทำให้ป่าไม้กลายเป็นทะเลเพลิงทันที

ปัง!

ทว่าเงาของมู่เฉินกลับสามารถหลบหนีไปได้ในช่วงเวลาสำคัญ แต่คลื่นกระแทกรุนแรงก็ทำให้เขาดูน่าสมเพช

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับสภาพตอนนี้ เขายังคงวิ่งต่อไป

“คิดหนีเรอะ?”

ชายเสื้อคลุมเพลิงหัวเราะเบาๆ แต่ไม่ได้วิ่งไล่ทันที สายตาของเขากวาดไปทั่วภูเขา หลังจากค้นพบว่าไม่มีคลื่นหลิงอื่นใดรอบตัว เขาก็เปลี่ยนร่างเป็นลำแสงและไล่ล่าอีกฝ่ายไป

ในสนามรบแห่งนี้ ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายคนไหนที่จัดการได้ง่าย การพยายามที่จะได้รับป้ายสัประยุทธ์จากพวกเขายากมาก ดังนั้นจอมยุท์ตี้จื้อจุนขั้นต้นจึงเปรียบเสมือนอ้อยเข้าปากช้าง

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องระมัดระวัง เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ตกลงไปในกับดัก…

เมื่อเกิดความคิดนี้ ชายเสื้อคลุมเพลิงก็ไล่ล่ามู่เฉินโดยเว้นระยะห่าง ส่งการโจมตีทำลายล้างเป็นครั้งคราวเพื่อทำให้มู่เฉินหมดแรงให้จงได้

ดังนั้นยามนี้เทือกเขาตลอดทางจึงกลายเป็นทะเลเพลิงอย่างต่อเนื่องพร้อมร่างเงาวิ่งหลบหนีอยู่ที่เบื้องหน้า…

จัตุรัสเมืองซีเทียนจั้น

เหล่าผู้ชมมองไปที่หน้าจอด้านบนที่ฉายฉากมากมาย

แต่ละหน้าจอฉายฉากที่จอมยุทธ์กำลังเกิดการต่อสู้ดุเดือดเลือดพล่าน

ชัดว่าหน้าจอเหล่านี้สะท้อนให้เห็นภาพสถานการณ์ในสนามรบทั้งสาม

ตราบใดที่มีการต่อสู้เกิดขึ้นก็จะมีการฉายภาพขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้ดู

“หลิงจั้นจื่อน่ากลัวมาก… ผ่านไปไม่นานเขาก็เอาชนะคนสามคนได้แล้ว!”

“หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อก็ไม่ได้ด้อยกว่า พวกเขาชนะคนไปสองคนแล้ว…”

“จุ๊ๆ ลั่วหลีไร้เทียนทานในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นนัก…”

“ความสำเร็จของหลิงเฟยจื่อก็น่าตกใจไม่แพ้กัน…”

“…”

ขณะที่ผู้ชมเฝ้าดูก็จะมีเสียงไชโยโห่ร้องและอุทานดังออกมาเป็นครั้งคราว

ลั่วเทียนเสินก็กำลังเฝ้าดูพร้อมกับฝูงชนด้วยสีหน้าปีติยินดีนัก เมื่อเห็นหลานสาวโผทะยานไปทั่วสนามรบ

แม้ว่าลั่วหลีจะเพิ่งบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่เนื่องจากได้รับมรดกของลั่วเสิน รากฐานของนางจึงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง นอกจากนี้นางยังมีวิธีมากมายที่แม้แต่ผู้เป็นปู่ก็ไม่ทราบ เห็นได้ชัดว่ามาจากการสืบทอดมรดกของลั่วเสินที่นางได้รับ

“ลั่วหลียังไม่ได้ใช้ร่างเทพวารี หากนางใช้ละก็จะมีคนไม่มากที่สามารถคุกคามนางในสนามรบได้” ลั่วเทียนเสินลูบเครา สายตามองไปยังหน้าจออื่น จากนั้นคิ้วเขาก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย

เนื่องจากช่วงเวลานี้เขาไม่เห็นแม้แต่เงาของมู่เฉิน ซึ่งนั่นหมายความว่ามู่เฉินยังไม่ได้เริ่มการเคลื่อนไหวใดๆ ประสิทธิภาพเช่นนี้ต่ำกว่าพวกหลิงจั้นจื่อมาก

ทว่าลั่วเทียนเสินรู้ดีว่าด้วยขุมพลังระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นของมู่เฉินเป็นเรื่องยากมากที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ดังนั้นเขาจึงได้แต่ภาวนาว่ามู่เฉินจะมีหนทางราบรื่น

“ฮ่าๆ นั่นไม่ใช่มู่เฉินเหรอ?”

“ทำไมเขาถึงหนีอย่างน่าสมเพชเช่นนั้น… ดูเหมือนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะแรงไปสำหรับเขานะ”

“เขาหยิ่งผยองและกล้าดูถูกทวีปซีเทียนเอง หึ ตอนนี้เขาจะได้รู้ซึ้งถึงพลังที่แท้จริงของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเมื่อลงมือสู้…”

ทันใดนั้นเสียงดังขึ้นกะทันหันก็ดึงดูดความสนใจของลั่วเทียนเสิน เขาหันไปที่หน้าจอนั่นทันที เขาเห็นเปลวเพลิงสีแดงเข้มลุกโชนเป็นทางตามเทือกเขา เงาร่างหนึ่งกำลังหลบหนีซึ่งก็คือมู่เฉินนั่นเอง!

ผู้คนโดยรอบก็เห็นภาพนี้ แต่ละคนหัวเราะกันเอิ้กอ้าก ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยได้ยินว่ามู่เฉินเป็นคนพิเศษเพียงใด แต่จากที่ดูเขาตอนนี้ เหมือนจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาแล้ว

ทว่าลั่วเทียนเสินกลับหรี่ตาแคบลง แต่ก็ไม่ได้กังวล เนื่องจากตัวเขาเข้าใจวิธีของมู่เฉินดี ด้วยความแข็งแกร่งที่มีมู่เฉินไม่มีทางอยู่ในสภาพน่าสมเพชจากการไล่ล่าของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายคนเดียวแน่นอน…

ดังนั้น…มีเหตุผลเดียวที่เขาทำเช่นนี้

แสดงความอ่อนแอเพื่อล่อลวงศัตรูให้ติดกับดัก

ตู้ม!

ภายใต้ฝ่ามือเพลิงภูเขาหนึ่งลูกก็ลดจนกลายเป็นเถ้าถ่าน ชายสวมเสื้อคลุมเพลิงมองมู่เฉินที่แม้จะดูน่าสมเพช แต่ก็ยังสามารถวิ่งหลบซ้ายป่ายขวาได้ไม่หยุด เขาเริ่มขมวดคิ้วรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นเล็กน้อย

“ข้าลากการต่อสู้นี้ไม่ได้อีกแล้ว ถ้าดึงดูดคนอื่นเข้ามาอาจทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน” สายตาชายสวมเสื้อคลุมเพลิงเคร่งขรึมลงเมื่อมองไปยังมู่เฉินที่หนีไปยังภูเขาอีกลูกหนึ่ง เขาไม่ลังเลอีกต่อไปโบกแขนเสื้อทันที เมฆเพลิงยิงออกมากลายเป็นม่านล้อมรอบภูเขาที่มู่เฉินอยู่

หลังจากปิดผนึกเทือกเขาทั้งหมด ชายสวมเสื้อคลุมเพลิงก็กลายเป็นร่างแสงทะยานออกมาก่อนที่จะปรากฏขึ้นเหนือเทือกเขาแห่งนี้ สายตาจ้องมองอีกฝ่ายนิ่ง

“ทำไมไม่วิ่งต่อแล้วล่ะ?” ชายสวมเสื้อคุลมเพลิงเยาะเย้ยด้วยสายตาเย็นชา

ทว่ามู่เฉินกลับเหยียดเอวเมื่อเผชิญหน้ากับการเยาะเย้ย เขาเงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มประดับบนใบหน้า “ก็เจ้าระมัดระวังตัวแจ ข้าเลยต้องวิ่งอ้อมซะไกลเพื่อลดความระแวงของเจ้า…”

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ชายเสื้อคลุมเพลิงก็รูม่านตาหดเกร็ง เปลวเพลิงระเบิดออกมาจากฝ่าเท้าโดยไม่ลังเล ทันใดนั้นเขาก็เร้าวิชาเพลิงทะยานเพื่อหลบหนี

ไม่ว่าคำพูดของมู่เฉินจะใช่เรื่องจริงหรือไม่ ที่เขาระวังตัวก็เพราะต้องการความปลอดภัยไว้ก่อน อย่างมากถ้าพบว่ามู่เฉินโกหก เขาก็แค่ไล่ตามต่อ

ผลัวะ!

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับปฏิกิริยารวดเร็วของชายเสื้อคลุมเพลิง มู่เฉินก็ยิ้มบางก่อนจะเหยียดมือออกมาพร้อมกับเสียงโปร่งดังสะท้อน

ตู้ม!

ทันทีที่เสียงดังขึ้น ทั้งเทือกเขาก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เสาคลื่นหลิงนับไม่ถ้วนพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ถักทอเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ล้อมรอบพื้นที่ทั้งหมดในทันที

ค่ายกลที่ก่อตัวนี้ประกอบไปด้วยมังกรคลื่นหลิงเก้าตัวภายใน พวกมันจ้องมองอย่างดุเดือดบนร่างชายสวมเสื้อคลุมเพลิง

มู่เฉินมองสีหน้าไม่น่าดูของอีกฝ่ายก็ยิ้มอ่อน “นี่คือสภาพสมบูรณ์แบบของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร ลองลิ้มชิมรสดูหน่อยนะ”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท