หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1254

ตอนที่ 1254

บทที่ 1254 ซูมู่และฉู่เหมิน
จัตุรัสเมืองซีเทียนจั้น

ช่วงเวลาที่มู่เฉินทะยานขึ้นสู่ยอดบนสุด หน้าจอแสงโดยรอบก็สว่างวาบพร้อมกับอันดับในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายเปลี่ยนแปลง เมื่อทุกคนเห็นชื่อมู่เฉินครองอันดับหนึ่ง ความปั่นป่วนก็เกิดขึ้น

“สวรรค์เกิดอะไรขึ้น?! มู่เฉินกระโดดจากที่เจ็ดมาเป็นที่หนึ่งได้อย่างไร?”

“โอ้ หลิ่วซิงเฉิน! เขาหายไป! ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะได้ป้ายสัประยุทธ์ของเขา!”

“คึๆ หยิบชิ้นปลามันโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ”

“มู่เฉินหลักแหลมแท้จริง หลิ่วซิงเฉินได้รับบาดเจ็บหนักจากการต่อสู้กับหลิงจั้นจื่อและความแข็งแกร่งก็ลดลงอย่างมากก่อนที่จะมาพบเขา!”

“แต่ข้าว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร การทำแบบนี้หลิงจั้นจื่อโกรธแน่นอน มู่เฉินเดือดร้อนในไม่ช้าแน่”

“…”

เสียงกระซิบดังก้องไปทั่ว ทว่าแทบทุกคนมองว่าการได้อันดับหนึ่งของมู่เฉินเป็นภัย เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาได้เห็นความแข็งแกร่งของหลิงจั้นจื่อ แม้แต่จอมยุทธ์อย่างหลิ่วซิงเฉินก็ยังพ่ายแพ้

แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นม้ามืด แต่เมื่อเทียบกับหลิงจั้นจื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชื่อเสียง รากฐานเขาก็ยังด้อยกว่า

ลั่วเทียนเสินมองดูตารางจัดอันดับด้วยคิ้วที่ขมวดกันยุ่ง ตอนแรกเขาคิดว่าด้วยนิสัยของมู่เฉินก็อาจจะรอจนกว่าทั้งหกต่อสู้กันก่อนที่จะเริ่มเคลื่อนไหว

แต่การเปลี่ยนแปลงฉับพลันทำให้มู่เฉินขึ้นสู่จุดสูงสุด นี่จะดึงดูดความเป็นปฏิปักษ์ของหลิงจั้นจื่อทันที

ในฐานะทึ่รู้ว่าหลิงจั้นจื่อทรงพลังเพียงใด แม้ว่าลั่วเทียนเสินจะมีความมั่นใจในตัวมู่เฉิน แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี

“ฮ่าๆ มู่เฉินขึ้นไปที่หนึ่งแล้ว ความประหลาดใจนี้เป็นเรื่องคาดไม่ถึงจริงๆ” เมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์เห็นสิ่งนี้เขาก็ยิ้มเยาะเย้ยให้เซียวเหยียน

บางทีคนอื่นอาจไม่รู้ แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์และเทพจักรพรรดิอัคคีเป็นใคร? พวกเขารู้ดีว่ามู่เฉินไม่ได้สู้กับหลิ่วซิงเฉิน เหตุผลที่มู่เฉินได้รับป้ายสัประยุทธ์มาเพราะโชคดี

แต่บางครั้งการเลือกผลประโยชน์ในสนามรบอาจดึงดูดปัญหา

เมื่อได้ยินคำพูดเยาะเย้ย เซียวเหยียนก็ยิ้ม “มู่เฉินตั้งใจจะเป็นที่หนึ่งตั้งแต่ต้น ดังนั้นเขาไม่มีทางปฏิเสธป้ายสัประยุทธ์ที่มาถึงมือ หากเป็นคนอื่นพวกเขาอาจไม่มีความกล้าที่จะหยิบขึ้นมาก็ได้”

จักรพรรดิสัประยุทธ์หัวเราะพูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่น “หวังว่าเขาจะสามารถรักษาตำแหน่งนั้นไว้ได้”

พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย

ชายที่ดูธรรมดาเปิดหน้าจอก็เห็นชื่อมู่เฉินครอบครองป้ายสัประยุทธ์มากกว่าสี่สิบป้าย คิ้วของเขาขมวดขึ้นหัวเราะเสียงเบา

“น่าสนใจ… ไม่คิดว่าจะมีสักวันที่ข้าหลิงจั้นจื่อจะถูกแย่งผลประโยชน์จากคนอื่น”

ชื่อของหลิ่วซิงเฉินหายไปจากตารางจัดอันดับ ซึ่งหมายความว่าเขาออกจากสนามรบแล้ว ดังนั้นเมื่อครุ่นคิดสักเล็กน้อยก็จะสามารถเข้าใจได้ว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์จากการต่อสู้ระหว่างเขากับหลิ่วซิงเฉินไป

“ฮ่าๆ ไม่คิดว่าเจ้าจะมีวันแบบนี้ด้วย”

เสียงหัวเราะดังขึ้นก่อนที่เงาร่างสองร่างจะทะยานเข้ามาหยุดอยู่ข้างเขา ทั้งสองก็คือเทพจอมยุทธ์ของตำหนักซีเทียน

หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อ

หลิงจั้นจื่อเหลือบมองไปที่ทั้งสองก็ยิ้ม “ข้าได้ยินข่าวลือว่าหลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมินเข้าร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อจัดการกับพวกเรา ตอนนี้หลิ่วซิงเฉินถูกข้าจัดการแล้ว สองคนนั่นพวกเจ้าก็รับผิดชอบเองละกัน”

หลิงเจี้ยนจื่อตอบกลับอย่างสบายๆ ว่า “กระบี่เทพหมาป่า ข้าอยากพบเขามานานแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะมีสีหน้าแบบไหนหลังจากที่ถูกข้าหักกระบี่ทิ้ง”

หลิงหลงจื่อรูปร่างกำยำก็ยิ้มเผยฟันออกมา “ข้าก็อยากทดสอบดาบทรราชเช่นกัน”

หลิงจั้นจื่อหัวเราะ “สนามรบนี้ใกล้ปิดฉากแล้ว ข้าขอแนะนำให้เราจัดการแมลงตัวอื่นๆ ที่นี่ซะ ก่อนที่จะจัดการกับพวกเขาทั้งสามคน จากนั้นพวกเราก็มาสู้กันเพื่อตัดสินผู้ชนะ”

อีกสองคนพยักหน้า แม้ว่าจะเป็นคู่แข่งกัน พวกเขาก็ต้องช่วยกันกำจัดคนอื่นก่อน ไม่งั้นถ้าหากตำแหน่งตกเป็นของคนอื่นละก็ พวกเขาคงต้องรับแรงโกรธเกรี้ยวของจักรพรรดิสัประยุทธ์แน่

หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อดำเนินการอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ตัดสินใจร่างก็ทะยานหายไปในขอบฟ้า

เมื่อมองไปที่ร่างเงาที่หายไป หลิงจั้นจื่อก็มองชื่อบนสุดด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะปล่อยให้แกฝันหวานอีกสักครู่ เมื่อพวกแมลงหมดไป ข้าจะเหยียบเจ้าลงจากตำแหน่งด้วยตัวเองเลย”

พูดจบเขาก็โบกมือ หน้าจอหายไป จากนั้นร่างเขาก็หายไปอย่างช้าๆ

“ที่หนึ่งมาอย่างง่ายดาย…”

ขณะที่ด้านนอกปั่นป่วน มู่เฉินก็ยักไหล่พลางยิ้ม บางทีในสายตาของคนอื่นอันดับของเขาเป็นส้มหล่นแท้จริง

ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก เพราะทุกอย่างจะถูกเปิดเผยว่าเขาพึ่งโชคหรือพลัง

“แบบนี้ข้าก็ไม่ต้องวิ่งยึดป้ายสัประยุทธ์แล้ว รอให้ถึงตอนสุดท้ายก็พอ”

มู่เฉินขยับตัวไปปรากฏบนภูเขาก่อนที่จะนั่งลงอย่างสงบ ช่วงเวลานี้เขาไม่ต้องหาป้ายสัประยุทธ์อีกต่อไป เขารู้ว่าตอนจบจะไม่เริ่มโดยไม่มีเขาไม่ได้

มู่เฉินหลับตาลงดำดิ่งศึกษาค่ายกลรบสามกำลังต่อไป ทว่าก็อยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากเขาสัมผัสถึงคลื่นหลิงสองสายที่พุ่งมาในทิศทางของเขา

เขาเปิดตามองไปในทิศทางนั้นก็เห็นร่างเงาสองร่างยืนอยู่บนท้องฟ้า

หนึ่งในนั้นสวมเสื้อคลุมสีฟ้าอมเขียวสะพายกระบี่ไว้บนหลัง เอิบอาบด้วยรัศมีคมกริบ กระทั่งทำให้ดวงตาต้องเจ็บปวดเมื่อจ้องมองไป

อีกคนรูปร่างกำยำปล่อยผมยาวพลิ้วไหว ท่าทางดูนักเลงและเผด็จการมาก

“กระบี่เทพหมาป่า—ซูมู่ ดาบทรราช—ฉู่เหมิน” มู่เฉินเงยหน้าขึ้นยิ้ม เขาไม่แปลกใจที่ทั้งสองมาหาเขา

“เจ้าเป็นคนที่เอาป้ายสัประยุทธ์ของพี่หลิ่วไปรึ?” ฉู่เหมินมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาคมกริบ

“ข้าบังเอิญพบกับเขามา” มู่เฉินยิ้มบาง

ฉู่เหมินชักรู้สึกหัวร้อนพูดว่า “พี่หลิ่วกำลังรอพวกข้าสองคนมาช่วยฟื้นฟูพลัง ในเวลานั้นพวกข้าจะสามารถต่อสู้กับเทพจอมยุทธ์สามคนของตำหนักซีเทียน แต่เจ้ากลับใช้ความได้เปรียบเรื่องอาการบาดเจ็บเตะเขาออกไป!”

มู่เฉินขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดนั่น “ทุกคนต่างเป็นศัตรูกันในสนามรบ ทำไมข้าต้องปล่อยหลิ่วซิงเฉินไป? ข้อตกลงของพวกเจ้ามาเกี่ยวอะไรกับข้า?”

เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว ดวงตาของซูมู่ก็วูบไหว “ดูเหมือนว่าพี่หลิ่วจะเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังแล้ว”

กวาดมองทั้งสองอย่างรวดเร็ว มู่เฉินตอบว่า “หลิ่วซิงเฉินต่อสู้กับหลิงจั้นจื่อจนได้รับบาดเจ็บรุนแรง เขารู้ว่าตัวเองไม่สามารถเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อได้อีก ดังนั้นเขาจึงส่งป้ายสัประยุทธ์ให้กับข้า แต่เขาไม่ได้ทำด้วยความหวังดี เขาต้องการให้ข้าเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจือ”

“ช่างโอ้อวดจริงๆ!”

ฉู่เหมินแสดงทัศนคติเผด็จการ ใบหน้ามืดครึ้มลง “จองหองจริง พูดแบบนี้จะบอกว่าตัวเองมีคุณสมบัติที่จะต่อสู้กับหลิงจั้นจื่อเรอะ!”

แม้แต่หลิ่วซิงเฉินยังพ่ายแพ้ แต่มู่เฉินมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น ดังนั้นคำพูดของเขาจึงดูตลกนัก

“เจ้าไม่ใช่คนที่จะมาตัดสินคุณสมบัติของข้า” มู่เฉินยิ้ม

“เจ้า!” ฉู่เหมินถึงกับเดือดขึ้นเลยทีเดียว

ซูมู่หันมาหยุดฉู่เหมินแล้วมองไปที่มู่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “พี่มู่ พวกข้าไม่ได้สนใจว่าพี่หลิ่วมอบป้ายให้กับเจ้าหรือเจ้าฉกมา ข้าแค่อยากบอกว่าถ้าพี่มู่ตั้งใจจะแลกเปลี่ยนสมบัติแล้วออกไป พวกข้าคงต้องขอป้ายคืน”

มู่เฉินตอบด้วยเสียงสงบเรียบว่า “เป้าหมายของข้าคือตำแหน่ง”

เมื่อได้ยินคำตอบของมู่เฉิน ซูมู่ก็รู้สึกโล่งใจและยิ้มแย้ม “ในเมื่อเป็นแบบนี้พี่มู่ทราบสถานการณ์ปัจจุบันของการแข่งขันหรือไม่?

“พวกเทพจอมยุทธ์กำลังกวาดล้างผู้คน ถ้าเป็นไปตามที่คาดไว้พวกเขาจะเป็นสามคนสุดท้ายในสนามรบ ถ้าพวกข้าถูกกวาดออกไปพี่มู่จะสามารถต่อสู้กับพวกเขาสามคนด้วยตัวเองหรือไม่? แล้วจะชิงตำแหน่งมาได้ไหม?

ดวงตามู่เฉินวูบไหว “เจ้ากำลังพยายามจะพูดอะไร?”

ซูมู่ยิ้ม “ข้าแค่หวังว่าพี่มู่จะสามารถแทนที่พี่หลิ่ว พวกเราสามคนจะร่วมมือกันเผชิญหน้ากับเทพจอมยุทธ์ ไม่เช่นนั้นเราคงไม่มีโอกาสในตำแหน่งแน่”

“ได้” มู่เฉินพยักหน้าตกลงทันที เนื่องจากเขาต้องการผู้ช่วยเพื่อหยุดเทพจอมยุทธ์อีกสองคนอยู่แล้ว มิฉะนั้นถึงเขาจะใช้วิชาสามพิสุทธิ์ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะต่อสู้กับทั้งสามคน

ซูมู่ไม่แปลกใจที่มู่เฉินเห็นด้วย ตราบใดที่มู่เฉินต้องการรั้งอันดับหนึ่ง เขาก็ต้องการผู้ช่วยเหลืออย่างแน่นอน และในสนามรบตอนนี้มีเพียงเขาและฉู่เหมินเท่านั้นที่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ตามต้องการ

ทันใดนั้นซูมู่ก็ยิ้ม “ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็เยี่ยมมาก… แต่เราจำเป็นต้องยืนยันบางสิ่งก่อน”

“อะไร?” มู่เฉินเงยหน้าขึ้น

ซูมู่ยิ้มกระชับด้ามกระบี่ก่อนที่รัศมีน่าสะพรึงจะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ากวาดล้างไปทั่วบริเวณ

“ตรวจสอบว่า… พี่มู่มีคุณสมบัติที่จะทำงานร่วมกับพวกเราได้หรือไม่”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท