หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1252

ตอนที่ 1252

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1252 กวาดผ่าน
หลังจากการต่อสู้ระหว่างเสี่ยหลิงจื่อและมู่เฉิน

ชื่อเสียงของมู่เฉินก็ขจรขจายทั่วสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ทำให้เกิดคลื่นความตื่นตระหนกยิ่งใหญ่กว่าครั้งก่อนเสียอีก

เนื่องจากครั้งนี้มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายต้องทิ้งลมหายใจไปนิรันดร์!

ในมหาพันโลกทุกคนรู้ซึ้งถึงพลังชีวิตแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน บางทีถึงแม้พวกเขาจะพ่ายแพ้ แต่การฆ่าพวกเขายากเกินกว่าอะไร เว้นแต่ว่าถูกปราบปรามไว้อย่างสมบูรณ์

ทำไมเทพจอมยุทธ์ทั้งสามของตำหนักซีเทียนจึงมีชื่อเสียง? เหตุผลหลักๆ ก็เพราะพวกเขาประสบความสำเร็จในการฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มไม่ใช่รึ?

แต่ตอนนี้สิ่งนี้กลับทำสำเร็จโดยจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น

ดังนั้นความตกใจครั้งนี้จึงยิ่งใหญ่กว่าของเทพจอมยุทธ์ทั้งสามเสียอีก

เพราะเหตุนี้ไม่มีใครกล้ามาแหยมมู่เฉิน คำพูดเพื่อปราบปรามคนนอกจากเขาก็หายไปในขณะนี้

ล้อเล่นรึเปล่า? เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินเป็นคนโหดเหี้ยมกระทั่งฆ่าเสี่ยหลิงจื่อโดยไม่ลังเล เขาเป็นคนชำระหนี้แค้นด้วยตัวเองแน่นอน คงต้องทุกข์ทรมานแน่ถ้าไปยั่วยุเขา

ดังนั้นในเวลาสองสามวันต่อมาจึงไม่มีใครไปหาเรื่องมู่เฉินอีก

เวลานี้มู่เฉินจึงสามารถศึกษาค่ายกลรบอย่างสงบ ค่อยๆ เข้าใจในรายละเอียด เพราะความยากลำบากในการสร้างค่ายกลไม่ได้ยากมาก แค่มีข้อกำหนดที่เข้มงวด

หลังจากได้รับการควบคุมขั้นต้นของค่ายกลรบ มู่เฉินก็ก้าวเข้าสู่สมรภูมิอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่ได้ตั้งค่ายกลเพื่อรอเหยื่ออีกแล้ว เขาเลือกที่จะโจมตี

เขานำพากองทัพสังหารวิญญาณและกองทัพดับปีศาจยาตราไปทั่วสนามรบ ทุกที่ที่ก้าวผ่านจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายที่เขาพบจะถูกกวาดล้างจากรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตที่เข้ามามีส่วนร่วมในการต่อสู้

ทว่าการต่อสู้ส่วนใหญ่จบลงด้วยมู่เฉินชนะ เพียงแค่กองทัพทั้งสองอย่างเดียวก็ทำให้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้แล้ว

ในการต่อสู้เขาได้ใส่คลื่นหลิงผลึกใสลงในร่างศัตรู เมื่อถึงเวลาศัตรูของเขาตอบสนอง พลังงานส่วนหนึ่งจะถูกผนึกไว้ ดังนั้นทุกคนจึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้เท่านั้น

เผชิญหน้ากับคนแพ้ มู่เฉินก็ไม่ได้โหดเหี้ยมมากเหมือนกับตอนที่ทำกับเสี่ยหลิงจื่อ เนื่องจากชายคนนั้นเป็นศัตรูคู่อาฆาตของลั่วหลี ซ้ำยังพยายามใช้แผนอุบาทว์เพื่อจัดการเขาหลายครั้ง ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่ยอมอ่อนข้อให้โดยธรรมชาติ

ทว่าสถานการณ์ไม่ได้เป็นแบบเดียวกันกับคนอื่นๆ เขาไม่มีความแค้นเคืองกับพวกเขาและก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แม้ว่าเขาจะฆ่าคนเหล่านี้ไป เพราะตำหนักมู่ไม่ได้อยู่ในทวีปซีเทียน แต่ขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังจอมยุทธ์เหล่านี้จะมีปัญหากับตระกูลลั่วเสินอย่างแน่นอน เวลานั้นตระกูลลั่วเสินจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่

นี่เป็นสิ่งที่มู่เฉินไม่ต้องการเห็น

ดังนั้นหลังจากที่อีกฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้ มู่เฉินก็แค่ยึดป้ายสัประยุทธ์ปล่อยให้พวกเขาออกจากสนามรบอย่างปลอดภัย

ภายใต้การกวาดล้างนี้ชื่อเสียงดุร้ายของมู่เฉินก็ทวีความรุนแรงขึ้นไปจนถึงจุดที่คนอื่นๆ จะแตกฮือทันทีเมื่อพวกเขาได้เห็นรัศมีจั้นยี่จากระยะไกล

ขณะนี้ทุกคนบอกได้เลยว่ามู่เฉินคือม้ามืดแห่งสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ซึ่งจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเผชิญหน้ากับเขาได้

ตู้ม!

รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกวาดปกคลุมทั่วท้องฟ้าทำให้ทั่วบริเวณสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นด้วยคลื่นจากรัศมีจั้นยี่

เป้าหมายของรัศมีจั้นยี่คือชายสวมชุดสีฟ้าอมเขียว เขาไม่คิดเลยว่าตนเองจะโชคร้าย ครึ่งวันก่อนเขาปะหน้ากับหลิ่วซิงเฉินเจ้าตำหนักแสงดาว เขากลัวจนต้องรีบเผ่นหนี ท้ายที่สุดก็หนีมาได้ แต่ดันต้องมาเผชิญหน้ากับยมทูตตัวนี้ต่อ

ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนนั้นปลายยามนี้ ทุกคนรู้ว่ามู่เฉินควบคุมกองทัพสองกองทัพที่จัดการจอมยุทธ์ที่เข้าร่วมการแข่งขันไปไม่น้อยกว่าสิบคน ความสำเร็จน่าอัศจรรย์ใจนัก

ชายชุดฟ้าอมเขียวนี้ก็เป็นคนมีชื่อเสียงในทวีปซีเทียนอยู่บ้าง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับรัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขต เขาก็รู้ว่าตัวเองไม่มีโอกาสมากนัก

นอกจากนี้เขายังสัมผัสได้ว่ามีคลื่นผันผวนที่อันตรายยิ่งกว่าซ่อนอยู่ในมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ นั่นไม่ใช่รัศมีจั้นยี่ แต่เป็นพลังที่ครอบงำยิ่งกว่า

ดังนั้นหลังจากความพยายามซัดกระบวนท่าออกไปสองสามครั้ง เขาก็รู้ตัวว่าไม่สามารถหลุดพ้นจากมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไปได้ จึงยกมือขึ้นยอมแพ้ประกาศว่า “ข้ายอมแพ้!”

เมื่อเสียงสิ้นสุดลง มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ก็แยกออกจากกัน ร่างเงาสูงโปร่งเดินออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

ชายชุดฟ้าอมเขียวยิ้มขมขื่นก่อนจะส่ายหัว เขาไม่คิดพูดมากโยนป้ายสัประยุทธ์ทั้งสี่ให้มู่เฉินไป

พอได้รับป้ายมามู่เฉินก็ประสานมือให้อีกฝ่าย “ขอบคุณสำหรับชัยชนะ”

“เจ้าแข็งแกร่งนัก ไม่ใช่ความอยุติธรรมที่ข้าแพ้ แต่แค่ไม่รู้ว่าเจ้าจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องไปเปรียบกับเทพจอมยุทธ์ทั้งสามแห่งตำหนักซีเทียน รวมทั้งหลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมิน… เจ้าจะต้องต่อสู้กับพวกเขาแน่นอน ข้าจะรอดูการดวลนี้อยู่ข้างนอก” ชายชุดฟ้าอมเขียวไม่ได้ยึดติดกับเรื่องนี้มากนัก เมื่อรู้ว่าไม่มีโอกาสในการชิงตำแหน่งก็เอ่ยยิ้มๆ

หลังจากที่พูดจบเงาร่างของเขาก็เริ่มจางหายไปอย่างรวดเร็ว

มู่เฉินหรี่ตาลง ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปจำนวนผู้แข่งขันในสนามรบก็ลดลง ทุกคนที่เหลืออยู่ที่นี่เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงทั้งสิ้น

จอมยุทธ์หกคนที่ถูกกล่าวถึงโดยชายชุดฟ้าอมเขียวเป็นตัวเกร็งในการแข่งขันศึกนักรบทวีปครั้งนี้ ความแข็งแกร่งของพวกเขาเป็นสิ่งที่แม้แต่มู่เฉินยังยำเกรง

ยิ่งไปกว่านั้นคงไม่ง่ายที่เขาจะคว้าตำแหน่งจากมือพวกเขา

ด้วยความคิดที่แล่นพล่านอยู่ในใจ มู่เฉินก็ส่ายหัวสงบใจลงก่อนที่จะโบกมือหน้าจอสว่างปรากฏขึ้นตรงหน้า

มีตารางการจัดอันดับปรากฏบนหน้าจอ อันดับหนึ่งหลิงจั้นจื่อตำหนักซีเทียนจำนวนป้ายสัประยุทธ์สามสิบป้าย!

รองลงมาก็คือหลิ่วซิงเฉินเจ้าตำหนักแสงดาวจำนวนป้ายสัประยุทธ์ยี่สิบห้าป้าย

จากนั้นก็เป็นเทพจอมยุทธ์สองคนของตำหนักซีเทียน ซูมู่และฉู่เหมิน จำนวนป้ายสัประยุทธ์ไม่แตกต่างกันเท่าไร

ส่วนมู่เฉินอยู่อันดับสิบเจ็ดจำนวนป้ายสัประยุทธ์สิบแปดป้าย

“คนพวกนั้นไล่ตามยากจริง”

มู่เฉินมองหน้าจอ เหลือเพียงสิบคนเท่านั้น นั่นหมายความว่าหากการกำจัดยังคงดำเนินต่อไป ในไม่ช้าเขาจะเผชิญหน้ากับทั้งหกคน

นั่นจะเป็นการต่อสู้ดุเดือดเลือดพล่านแน่

ทว่ามู่เฉินไม่มีความกลัวในดวงตาสักริ้ว ตรงกันข้ามดวงตาของเขากลับสว่างไสวด้วยไฟการต่อสู้ บางทีพวกเขาทั้งหกอาจมีชื่อเสียงในทวีปซีเทียน แต่เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างมู่เฉินจะยอมแพ้

นั่นเพราะเขายังมีไพ่ตายที่ยังไม่เปิดเช่นกัน

ทันทีที่เขาเปิดเผยวิชาสามพิสุทธิ์ มู่เฉินมั่นใจว่าต่อให้ไม่ได้ใช้กองทัพหรือค่ายกล เขาก็ยังมีความแข็งแกร่งที่จะก้าวข้ามขอบเขตการต่อสู้กับบางคนที่มีขุมพลังสูงกว่า

“หืม?”

ขณะที่ความคิดแล่นอยู่ในหัว จู่ๆ มู่เฉินก็รู้สึกถึงบางอย่าง เขาเงยหน้าขึ้นเห็นร่างแสงพุ่งออกมาจากระยะไกล ก่อนที่จะหยุดอยู่ตรงหน้า

นี่เป็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีดำปักภาพดวงดาว ผมของเขาเป็นสีขาว รูปลักษณ์เหมือนบัณฑิตทรงภูมิที่เปล่งรัศมีอบอุ่น

เมื่อจ้องมองไปที่ชายคนนั้น มู่เฉินก็หดตาลงรัศมีจั้นยี่รอบตัวคำราม เนื่องจากชายวัยกลางคนนี้ก็คืออันดับสองของตารางยอดนิยม—หลิ่วซิงเฉินเจ้าตำหนักแสงดาว

ทว่าขณะที่มู่เฉินเข้าสู่สภาพพร้อมรบ หลิ่วซิงเฉินก็ก้มศีรษะลงมองไปที่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขต รอบตัวมู่เฉินด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น

สัมผัสถึงความตั้งใจเป็นมิตรที่มาจากหลิ่วซิงเฉิน มู่เฉินก็อึ้งไปก่อนที่จะเก็บรัศมีจั้นยี่เข้าไปเล็กน้อย

หลิ่วซิงเฉินไม่พูดอะไร เขาประสานมือให้มู่เฉินก่อนที่จะมองไปอีกทิศทางหนึ่ง จากนั้นร่างก็ขยับกลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในระยะทาง

มองร่างที่กำลังจากไป มู่เฉินก็ขมวดคิ้ว

วาบ!

ทว่าก่อนที่เขาจะไขปริศนาจากการกระทำของหลิ่วซิงเฉินได้ ความผันผวนกวาดมาจากระยะไกล มู่เฉินก็เห็นภาพเงาพุ่งเข้ามา อึดใจเดียวก็มาปรากฏที่เบื้องบน ชายคนนี้มีรูปร่างหน้าตาธรรมดา แต่กลับมีรัศมีอันตรายเล็ดลอดออกมาจากร่างกาย

เมื่อเห็นอีกฝ่าย ดวงตามู่เฉินก็หดลง

เพราะนั่นคือหลิงจั้นจื่อเทพจอมยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน!

เมื่อหลิงจั้นจื่อปรากฏตัวขึ้นก็มองไปที่มู่เฉิน แต่เขาไม่ได้กระโจนเข้าใส่ ร่างทะยานออกไปทิ้งร่องรอยไว้เบื้องหลัง ไล่ตามหลิ่วซิงเฉินไป

เมื่อเห็นปฏิกิริยาจากทั้งสองใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

งานนี้เห็นชัดว่าหลิงจั้นจื่อกำลังไล่บี้หลิ่วซิงเฉิน

การต่อสู้ของอันดับหนึ่งและสองกำลังเริ่มขึ้นในไม่ช้า

นั่นก็หมายความว่าศึกนักรบทวีปกำลังดำเนินถึงขั้นคัดออกช่วงสุดท้ายแล้ว

เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนหัวเราะคนสุดท้ายระหว่างหลิงจั้นจื่อกับหลิ่วซิงเฉิน

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท