หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1241

ตอนที่ 1241

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1241 ผลประโยชน์จากจักรพรรดิสัประยุทธ์
เจดีย์ผลึกแก้วใสในร่างสั่นไหว

แม้ว่าสีหน้ามู่เฉินจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก็มีริ้วความตื่นตะลึงวาบขึ้นในส่วนลึกของดวงตา เขาไม่คิดเลยว่าเทพจักรพรรดิอัคคีจะทรงพลังขนาดนี้ สามารถสัมผัสเจดีย์ในร่างกายของเขาได้เพียงมองปราดเดียว

“จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทุกคนจะสามารถสัมผัสได้หรือ?”

มู่เฉินขมวดคิ้ว นี่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเขาเพราะถ้าสิ่งนี้ไปดึงดูดเผ่าฝูถูก็สร้างปัญหาให้กับเขาไม่น้อย

แต่ในไม่ช้าเขาก็ล้มล้างความคิดออกไป เพราะเขารับรู้ได้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่สามารถตรวจพบการสถิตอยู่ของเจดีย์ในร่างกายของเขาได้

นั่นก็หมายความว่าไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทุกคนครอบครองความสามารถที่น่ากลัวนี้ นอกเหนือจากบุคคลที่อยู่ในระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคี…

ทว่าจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคีมีน้อยมากในมหาพันภพ ดังนั้นจึงไม่ใช่บุคคลที่สามารถพบได้ง่ายๆ

เมื่อคิดแล้ว มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจ เทพจักรพรรดิอัคคีคอยดูแลเขา ไม่น่าที่จะเปิดเผยแม้ว่าจะสัมผัสได้ถึงเจดีย์ในร่างกายของเขาก็ตาม

ขณะที่ความคิดเหล่านี้หมุนวนอยู่ในใจของมู่เฉิน เซียวเหยียนก็ถอนสายตาออกด้วยความประหลาดใจ

“เจดีย์นั่น…ดูเหมือนว่าเป็นวัตถุเอกลักษณ์ของเผ่าฝูถู…” เซียวเหยียนคิดก่อนที่จะยิ้มบางพลางพึมพำในใจ ‘ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะมีภูมิหลังที่น่าสนใจ’

การชำระเจดีย์จะต้องมีสายเลือดของเผ่าฝูถู แต่ไม่มีสมาชิกจากเผ่านี้อยู่รอบตัวมู่เฉิน นอกจากนี้ดูเหมือนว่ามู่เฉินจงใจพยายามหลบซ่อนการมีอยู่ของเจดีย์ไว้โดยเฉพาะ

นี่เป็นการประทำที่ควรต้องไตร่ตรอง

เซียวเหยียนยิ้ม เก็บเรื่องนี้ลงไปในสมอง ในเมื่อมู่เฉินพยายามซ่อนก็ต้องมีเหตุผลสำหรับเขาที่จะทำเช่นนั้น ตนก็จะไม่เปิดเผยโดยไม่ได้รับความยินยอมจากมู่เฉินอยู่แล้ว

“แต่เจดีย์นั่นดูเหมือนจะไม่ธรรมดา…” เซียวเหยียนเคยได้พบกับสมาชิกเผ่าฝูถูมาก่อน เขาแทบไม่เคยเห็นเจดีย์ใดที่มีรัศมีศักดิ์สิทธิ์แบบเดียวกับมู่เฉิน เห็นได้ชัดว่าระดับเจดีย์ของมู่เฉินนั้นไม่ธรรมดา

“ในเดือนเดียวก็มีพัฒนาการเพียงนี้ ดีเยี่ยมจริง” เซียวเหยียนเผยรอยยิ้มพอใจ ดูเหมือนว่าสายตาของเขาจะไม่ถั่วสินะ

“เทพจักรพรรดิอัคคี เจ้าคิดว่าทวีปซีเทียนของข้าเป็นยังไง?” ขณะนี้เองจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ยิ้มให้อีกฝ่าย

เมื่อมองไปที่จัตุรัสและฝูงชนที่ดูหรูหราเป็นพิเศษ เขาก็พยักหน้า “ทวีปซีเทียนเป็นสถานที่ที่มีจอมยุทธ์อัจฉริยะซ่อนเร้น”

จักรพรรดิ์สัประยุทธ์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจ “แต่ก็ยังด้อยกว่าเมื่อเทียบแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว”

เขาพูดจากกันบึ้งของหัวใจ จักรพรรดิสัประยุทธ์อาจจะหยิ่งยโส แต่เขาไม่ใช่คนหยิ่งผยอง ชื่อเสียงและพลังของแคว้นหวู่จิ้งฮั่วในมหาพันภพไม่ใช่สิ่งที่ตำหนักซีเทียนของเขาสามารถนำมาเปรียบเทียบได้

“จักรพรรดิสัประยุทธ์ถ่อมตัวเกินไป” เซียวเหยียนปลอบด้วยรอยยิ้ม

จักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่ได้คงหัวข้อสนทนานี้ไว้ เขามองไปที่จัตุรัสก่อนที่จะเห็นมู่เฉินกับลั่วหลี จากนั้นก็โบกมือ

วาบ!

แสงสี่สายทะยานเข้ามา ทั่งสี่คุกเข่าคำนับเบื้องหน้าองค์จักรพรรดิ “คารวะเจ้าตำหนักซีเทียน!”

ทั้งสี่คนดึงดูดความสนใจของผู้คนในทันที หากหลายคนรู้สึกกลัวหลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมินแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็หวาดผวาในเวลานี้

เนื่องจากทั้งสี่ก็คือเทพจอมยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน

จอมยุทธ์บนตารางยอดนิยมที่ถูกวางตัวจะชนะในศึกนักรบทวีปครั้งนี้

“นั่นคือเทพจอมยุทธ์อีกสามคนเรอะ?”

สีหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลงหลายส่วน เมื่อจดจ่ออยู่กับร่างทั้งสาม เขารู้สึกถึงรัศมีคุกคามมาจากพวกเขา

“เจ้าต้องระวังทั้งสามคนนี้ด้วย” ลั่วหลีเตือนเสียงอ่อนด้วยท่าทางที่เครียดจัด

มู่เฉินพยักหน้า พวกเขาจะต้องมีพลังแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครในเมื่อสามารถเป็นถึงอันดับต้นๆ บนตารางยอดนิยม ซึ่งเป็นบางสิ่งที่สามารถบอกได้จากสายตาที่หวาดกลัวจากผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ

เมื่อมู่เฉินมองไปที่เทพจอมยุทธ์ทั้งสาม หลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมินก็มีสายตาครั่นคร้ามเช่นกัน ก่อนที่พวกเขาจะแลกเปลี่ยนสายตากัน มีแววบางอย่างวาบผ่านในดวงตา จากนั้นก็กดอารมณ์ให้สงบ

“ฮ่าๆ เทพจักรพรรดิอัคคีคิดว่าพวกเขาทั้งสี่เป็นยังไง?” จักรพรรดิสัประยุทธ์มองทั้งสี่ จากนั้นก็หรี่ตาถามด้วยรอยยิ้ม

กวาดสายตามองทั้งสี่ เซียวเหยียนหยุดชะงักที่หลิงจั้นจื่อ ก่อนที่จะพูดว่า “จักรพรรดิสัประยุทธ์สั่งสอนพวกเขาได้ดี ทั้งสี่คนนั้นล้วนไม่ธรรมดา”

สายตาจักรพรรดิสัประยุทธ์เหลือบมองมู่เฉินถามว่า “เทพจักรพรรดิอัคคีคิดว่าพวกเขามีโอกาสที่จะชนะในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายหรือไม่?”

เซียวเหยียนยิ้มเพราะทราบถึงความตั้งใจของจักรพรรดิสัประยุทธ์ในการถามคำถามนี้ เขาตอบอย่างนิ่งเฉยว่า “พวกเขาต่างมีโอกาสสูง แต่ทุกเรื่องล้วนมีความไม่แน่นอน บางทีอาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ…”

สายตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์เปล่งประกาย เขาจะไม่รู้สึกถึงความมั่นใจที่เทพจักรพรรดิอัคคีมีต่อมู่เฉินได้อย่างไร ทันใดนั้นเขาก็หันหน้ามาทางเทพจอมยุทธ์ทั้งสามและยิ้ม “ในเมื่อเทพจักรพรรดิอัคคีกล่าวว่าอาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น พวกเจ้าก็จงระวังให้มาก อย่าให้ล้มเหลวล่ะ”

“รับทราบ!”

หลิงจั้นจื่อ หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อเปล่งแสงวาบในดวงตา พวกเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเทพจักรพรรดิอัคคี แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเปิดเผยท่าทางไม่สุขใจใดๆ เมื่อเผชิญกับจอมยุทธ์ระดับนี้

จักรพรรดิสัประยุทธ์พยักหน้ามองไปที่จัตุรัสเสียงเรียบเฉยดังก้อง “บัดนี้ได้เวลาแล้ว ดังนั้นเตรียมตัวเข้าสู่สนามรบได้”

เขาโบกมือ ลำแสงนับไม่ถ้วนก็ทะยานไปตกอยู่เบื้องหน้าผู้เข้าแข่งขันทุกคน

ลำแสงสายหนึ่งพลิ้วลงมาที่เบื้องหน้ามู่เฉิน จากนั้นกลายเป็นรูปแกะสลักของกองทัพยิ่งใหญ่ซึ่งทำให้เกิดความผันผวนอันเป็นเอกลักษณ์

“ทุกคนนี่คือป้ายสัประยุทธ์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของเจ้า หากป้ายของใครถูกยึดก็จะเท่ากับล้มเหลว ต้องออกจากสนามรบ”

“สุดท้ายจอมยุทธ์ที่มีป้ายสัประยุทธ์มากที่สุดก็จะได้รับตำแหน่งนักรบแห่งทวีปซีเทียน”

จักรพรรดิสัประยุทธ์มองทุกคน “นอกจากนี้เพื่อเพิ่มกำลังใจในการต่อสู้ของทุกคน ข้าจะให้ประโยชน์บางอย่างกับพวกเจ้า หลังจากเข้าสู่สนามรบพวกเจ้าสามารถเทคลื่นหลิงลงไปในป้ายสัประยุทธ์เพื่อตรวจสอบคลังสัประยุทธ์ ภายในนั้นมีอาวุธมหสวรรค์ คัมภีร์ระดับเสินทง หรือแม้แต่ภาพค่ายกลให้พวกเจ้าได้เลือก”

คำพูดนี่ทำให้ความโลภพวยพุ่งในสายตาของหลายคนทันที

คลังสัประยุทธ์? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องมีสมบัติล้ำค่ามหาศาลอยู่แน่ ถ้าได้มาสักชิ้นจะทำให้การเดินทางเข้าสู่สนามรบคุ้มค่าเลย

“ในสนามรบหากต้องการแลกสมบัติก็ต้องใช้ป้ายสัประยุทธ์เป็นสิ่งแลกเปลี่ยน… ดังนั้นหากใครต้องการสมบัติวิธีที่ดีที่สุดก็คือยึดป้ายผู้อื่นมา”

“นอกจากนี้เพื่อความสะดวกในการหาเป้าหมาย ตราบใดที่มีคนครองป้ายได้มากกว่าสองป้ายที่ตั้งก็จะปรากฏให้เห็น… ”

พูดถึงจุดนี้ ประกายล้อเลียนก็วูบไหวบนใบหน้า เพราะสิ่งนี้จะจุดประกายการแข่งขันมากขึ้น

ทุกคนสาดความโลภ มองคนอื่นด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

“จักรพรรดิสัประยุทธ์อยากให้ทั้งสนามรบวุ่นวายจริงๆ” มู่เฉินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ อำนาจของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนช่างห่างไกลอย่างแท้จริง คำสั่งจากพวกเขาอาจทำให้จอมยุทธ์อื่นๆ ตกอยู่ในความโกลาหล

ทว่า…คลังสัประยุทธ์… ช่างเป็นเรื่องล่อใจขึ้นมาหน่อยๆ แล้วแฮะ

หลังจากที่โยนสิ่งล่อใจออกไป จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่สนบรรยากาศที่เริ่มเดือดพล่าน เขาโบกมือ ท้องฟ้าก็บิดเบี้ยวรุนแรง วังวนปรากฏขึ้นสามแห่ง

“ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเข้าไป”

เมื่อเสียงจักรพรรดิสัประยุทธ์ดังออกมา ร่างแสงทั้งแปดก็ระเบิดตัวพุ่งเข้าไปในวังวน

“โอ้ มีคู่แข่งแปดคนในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น…” ทุกคนมองไปด้วยความอิจฉา ต้องรู้ว่ามีจอมยุทธ์มากกว่าสองร้อยคนในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายและจำนวนสูงขึ้นในขั้นต้น

แต่ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำได้เนื่องจากจอมยุทธ์ระดับนี้มีจำนวนน้อยยิ่งกว่าน้อยแม้แต่ในตำหนักซีเทียน

“ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย…”

เมื่อสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเปิดออกแล้ว ลำแสงหลายร้อยก็ทะยานเข้าไปในวังวน

“ข้าไปก่อนนะ” มู่เฉินส่งยิ้มให้ลั่วหลี

“สู้ๆ ระวังตัวด้วยนะ” ลั่วหลีพยักหน้าส่งรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ให้มู่เฉิน

มู่เฉินพยักหน้าร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงติดตามผู้แข่งขันคนอื่นก็เข้าสู่วังวน

จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเข้าสู่สนามรบเรียบร้อย จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็เข้ามาในวังวนเป็นลำดับสุดท้าย

เมื่อทุกคนหายตัวไปในวังวนทั้งสามแห่ง จัตุรัสก็เริ่มเดือดพล่าน ผู้คนนับไม่ถ้วนเงยหน้าขึ้นสูง

ลั่วเทียนเสินก็อยู่ท่ามกลางฝูงชน เขามองวังวนที่หายไปก็หายใจลึกพร้อมกับความคาดหวังวูบไหวบนใบหน้าแก่ชรา

ศึกนักรบทวีปได้เริ่มขึ้นแล้ว

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท