หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1260

ตอนที่ 1260

บทที่ 1260 สัตว์ประหลาด
ตู้ม!

ดัชนีทั้งสองพุ่งทะลุขอบฟ้าปะทะกันจังใหญ่ ช่วงเวลาที่ชนกันทั่วบริเวณก็เหมือนแช่แข็งไปชั่วขณะ…

คลื่นหลิงในฟ้าดินกระเจิดกระเจิงไปในทุกทิศทาง ราวกับกลัวจะถูกทำลายจากพลังการทำลายล้าง

ตู้ม ตู้ม!

ฟ้าดินค้างสนิท ก่อนที่แสงสว่างแสบตาจะปกคลุมลงมา ส่องไปทั่วทุกมุม

แสงนั้นแสบตามาก กระทั่งผู้ชมที่อยู่ในจัตุรัสนอกสนามรบยังรู้สึกแสบตาจนต้องหรี่ตาลง

ครืนๆ!

หลังจากแสงส่องไปทั่ว พายุคลื่นหลิงที่มองเห็นด้วยตาเปล่าก็กวาดออกจากจุดปะทะอย่างป่าเถื่อน ฉีกพื้นดินในเส้นทางที่ผ่าน

ป่าใหญ่ราพณาสูร ทุกสรรพชีวิตถูกลบล้างภายใต้คลื่นกระแทก…

ทุกคนตะลึงกับพลังแห่งการทำลายล้าง รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายติดอยู่ในคลื่นกระแทกเหล่านี้ พวกเขาก็น่าจะทิ้งชีวิตไว้ภายใน

“นี่…พวกเขาสองคนไม่น่ากลัวไปหน่อยเหรอ? นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายกับขั้นต้น ทำไมถึงได้น่าสะพรึงขนาดนี้?!” มีจอมยุทธ์ที่เฝ้ามองเหตุการณ์นี้ด้วยสีหน้าขมขื่น การเผชิญหน้าในระดับนี้เกินจินตนาการ ทำให้พวกเขารู้สึกใจหายใจคว่ำไปหมดแล้ว

“สัตว์ประหลาด…” ผู้คนถอนหายใจ “แค่ไม่รู้ว่าใครจะเหนือกว่าในการเผชิญหน้ากันครั้งนี้”

“น่าจะเป็นหลิงจั้นจื่อมั้ง ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์น่ากลัวเกินไป มิหนำซ้ำเขายังได้รับการสนับสนุนจากรัศมีจั้นยี่ของกองทัพนับล้าน! แม้ว่าร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินจะลึกลับ แต่เขาก็ยังเป็นแค่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น คงไม่สามารถต้านรับหลิงจั้นจื่อได้”

“ใครจะรู้… มู่เฉินน่ะเป็นสัตว์ประหลาดยิ่งกว่าหลิงจั้นจื่อซะอีก หากมู่เฉินอยู่ในขุมพลังเดียวกัน แม้แต่หลิงจั้นจื่อก็สู้เขาไม่ได้”

ประโยคนี้ทำให้หลายคนตกอยู่ในภวังค์ความคิด พลังการต่อสู้ที่มู่เฉินแสดงออกมาน่าสะพรึงเกินไป ตัวเขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ก็สามารถบังคับให้หลิงจั้นจื่อตกอยู่ในสถานการณ์นี้ ถ้าเขาเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้วจะน่าพรั่นพึงแค่ไหน?

ในเวลานั้นหรือว่าเขาจะสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้ด้วย?

ทุกคนรู้สึกว่าหนังหัวด้านชาไปหมดพลางส่ายหัวกับความคิดนี้ แม้ว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มดูเหมือนจะเป็นเหนือกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายแค่คำเดียว แต่ความแตกต่างระหว่างทั้งสองขั้นรุนแรงมาก

ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเป็นที่รู้จักในฐานะประตูเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน ในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ที่ใกล้เคียงกับระดับตำนาน ทุกคนล้วนไม่ธรรมดา

นี่คือสิ่งที่สามารถเห็นได้จากจำนวนคนในสนามรบทั้งสาม ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นมีผู้แข่งขันหลายร้อยคน ขั้นปลายมีผู้เข้าแข่งขั้นสองร้อยคน และขั้นเต็มมีผู้แข่งขันไม่ถึงสิบคน…

ดังนั้นสามารถบอกได้ว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มน่าหวาดกลัวเพียงใด ตราบใดที่จอมยุทธ์ระดับนี้ไม่ได้แหย่หนวดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน พวกเขาก็ไร้เทียมทานในมหาพันภพ

ดังนั้นหลายคนจึงปฏิเสธความคิดที่ว่ามู่เฉินสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้เมื่อเขามีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย…

ขณะที่ความคิดของผู้ชมกำลังวุ่นวายไปหมด จักรพรรดิสัประยุทธ์และเทพจักรพรรดิอัคคีก็จ้องมองไปที่หน้าจอ…

“มู่เฉินมีความสามารถจริงๆ… ร่างเทห์สวรรค์ของเขาสามารถติดสิบห้าอันดับแรก ไม่แปลกใจที่เขาบีบบังคับให้หลิงจั้นจื่อมาถึงจุดนี้ได้” จักรพรรดิสัประยุทธ์กล่าวอย่างช้าๆ ขณะนี้เขาเห็นแล้วว่าร่างสีม่วงทองนั่นทรงพลังเพียงใด นอกจากนี้ก็เริ่มยอมรับในความแข็งแกร่งของมู่เฉิน

“ในแง่ของร่างเทห์สวรรค์ ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ด้อยกว่าอย่างแท้จริง”

เซียวเหยียนยิ้ม “แล้วเจ้าคิดว่าใครจะชนะ?”

เงียบไปชั่วครู่จักรพรรดิสัประยุทดธ์ก็กล่าวว่า “ในการต่อสู้ครั้งนี้ข้าคิดว่าทั้งสองคนจะไม่มีใครได้เปรียบกัน ผลลัพธ์สุดท้ายน่าจะได้รับบาดเจ็บทั้งคู่…”

แม้ว่าเขาจะไม่อยากยอมรับว่าหลิงจั้นจื่อถูกมู่เฉินบังคับให้มาไกลขนาดนี้ แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่ใช่คนใจแคบอะไรขนาดนั้น เพราะเขารู้ว่าเทพจักรพรรดิอัคคีมองขาดกว่าตนเอง

ทว่าอึดใจเขาก็หรี่ตาลงพูดว่า “แต่ถึงแม้ว่าร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินจะทรงพลัง แต่เขาก็เสียเปรียบในด้านขุมพลัง หลังจากการปะทะกันกระบวนท่านี้คลื่นหลิงของเขาก็จะหมดลง กลับกันหลิงจั้นจื่อยังสามารถสู้อีกต่อไปได้ ดังนั้น… แม้ว่าจะไม่ได้รับชัยชนะอย่างยุติธรรม แต่หลิงจั้นจื่อก็ยังคงยืนหยัดเป็นคนสุดท้ายได้”

จักรพรรดิสัประยุทธ์เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ดังนั้นสายตาจึงเกินกว่าคนอื่นโดยธรรมชาติ ขณะที่คนอื่นยังไม่สามารถตัดสินผลลัพธ์ได้ เขาก็เห็นขาดไปแล้ว

เซียวเหยียนเผยรอยยิ้มบางพลางพยักหน้า “ที่จักรพรรดิสัประยุทธ์พูดมาไม่ผิด… แต่ข้ากลัวว่าการเอาชนะมู่เฉินไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิดน่ะสิ”

เมื่อเห็นรอยยิ้มลึกลับแขวนอยู่บนริมฝีปากของเซียวเหยียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็รู้สึกว่ามุมปากกระตุกไม่หยุดพร้อมกับความไม่สบายใจเพิ่มขึ้นในใจ

หรือว่ามู่เฉินยังมีไพ่ตายอื่นอีก?!

เป็นไปได้ยังไง!

ขณะที่ทุกคนกลั้นหายใจจดจ้องหน้าจอแบบลุ้นระทุก

ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายพายุคลื่นหลิงก็จางหายสถานการณ์เริ่มกระจ่างชัด

สิ่งแรกที่พวกเขาสังเกตเห็นก็คือผืนป่าราบเป็นหน้ากลอง ในรัศมีพันลี้พื้นโดยรอบมีรอยแตกที่น่ากลัวพล่านไปทั่ว

พื้นดินแยกออกเป็นสองส่วน ทางซ้ายมือเป็นร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ที่มีขนาดหมื่นจั้ง ส่วนข้างขวาเป็นร่างเทพสุริยะนิรันดร์…

ร่างเวทสวรรค์ทั้งสองยืนอยู่คนละฝั่ง

ครืนๆ!

ทว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้กินเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทุกคนจะเห็นร่างเวทสวรรค์ทั้งสองหัวเข่าข้างหนึ่งกระแทกลงบนพื้นด้วยเสียงดังก้อง

ทั้งสองร่างมืดมนลงอย่างรวดเร็วจากความอ่อนล้าของคลื่นหลิง

ผู้ชมที่เฝ้ามองก็ต้องตะลึงเพราะนี่หมายความว่าการเผชิญหน้านี้จบลงด้วยทั้งสองได้รับบาดเจ็บ!

เมื่อทั้งสี่คนเห็นมู่เฉินและหลิงจั้นจื่อจากระยะไกล พวกเขาก็ตกใจกับภาพเบื้องหน้า เนื่องจากผลลัพธ์นี้เกินความคาดหมายนัก

ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะสู้กับหลิงจั้นจื่อได้!

“ไอ้หนูนั่นร้ายกาจมาก!”

หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อพึมพำด้วยความกลัวในดวงตา เพราะตอนนี้มู่เฉินยังเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ถ้าเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แม้แต่หลิงจั้นจื่อก็ไม่สามารถต่อสู้กับเขาได้

ภายใต้สายตาที่จ้องมองมานับไม่ถ้วน ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อก็มืดครึ้ม เขายืนบนไหล่ร่างต้นจักรพรรดิสัปประยุทธ์จ้องมองไปที่มู่เฉิน สายตาราวกับใบมีด

ไม่เพียงแต่คนอื่นตกใจเท่านั้น ตัวเขาเองก็ตกใจกับผลลัพธ์นี้

“ร่างบ้าบอนั่นคืออะไร?! ทำไมน่าสะพรึงนัก!” หลิงจั้นจื่อกำหมัดแน่น เขาบอกได้ว่าที่มู่เฉินสามารถสู้กับเขาจนได้ผลลัพธ์นี้ทั้งหมดเป็นผลมาจากร่างเทห์สวรรค์ลึกลับนั้น

สายตาของหลิงจั้นจื่อมืดมน แต่ไม่นานเขาก็คิดได้พลางมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา “ไม่คิดว่าจะมีสักวันที่ข้าหลิงจั้นจื่อจะดูสะบักสะบอมแบบนี้ มู่เฉิน ข้าต้องยอมรับว่าแกแน่จริงๆ”

มู่เฉินที่ยืนอยู่บนไหล่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์มีสีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย การปะทะกันกระบวนท่าเมื่อครู่ทำให้เขาเหนื่อยล้ามาก

เขายิ้มตอบหลิงจั้นจื่อไป “ขอบคุณสำหรับคำชม”

ดวงตาหลุบลง สายตาของหลิงจั้นจื่อเต็มไปด้วยความเย็นชาขณะพูดช้าๆ “แต่แกยังมีคลื่นหลิงเพียงพอที่จะควบคุมร่างเทห์สวรรค์ต่อไหม? ถ้าไม่มีร่างนั่นแกยังสามารถสู้กับข้าได้ไหม?”

“แกเองก็หมดแรงเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” มู่เฉินยิ้มตอบ

หลิงจั้นจื่อพยักหน้าก่อนที่จะเงยหัวขึ้นมองลูกทรงกลมทั้งสาม แสงโหดเหี้ยมสายหนึ่งวาบขึ้นในดวงตา

“สังเวยการต่อสู้!”

หลิงจั้นจื่อกระทืบเท้า กัดที่ปลายนิ้ว จากนั้นก็วาดตราประทับโลหิตในอากาศเบื้องหน้าพลางคำรามลั่น

เมื่อเสียงของเขาดังก้อง กองทัพนับล้านในลูกทรงกลมแสงก็กระแทกอก เลือดไหลออกมาจากปาก

เลือดพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจุดชนวนก่อนจะก่อตัวเป็นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตรวมเข้ากับร่างกายของหลิงจั้นจื่อ

ตู้ม!

ด้วยแก่นโลหิต คลื่นหลิงที่ลดน้อยลงของหลิงจั้นจื่อก็เพิ่มขึ้นทันที เขากลับไปสู่สภาวะสูงสุดในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ

เมื่อผู้คนเห็นสิ่งนี้ใบหน้าของพวกเขาก็หวาดผวา เนื่องจากไม่มีใครคิดว่าหลิงจั้นจื่อจะโหดเหี้ยมปานนี้ เขาใช้วิธีบ้าเลือดที่สุด ดึงพลังงานจากกองทัพเพื่อกู้คืนสภาพ แม้ว่าสิ่งนี้จะทำให้เขาฟื้นฟูพลังได้ แต่กลับสร้างความเสียหายหนักให้กับกองทัพ เขาอาจต้องเตรียมกองทัพใหม่ทั้งหมดก็เป็นได้…

ชัดว่าเพื่อตำแหน่งนักรบทวีป หลิงจั้นจื่อไม่อาจสนใจเรื่องพวกนี้ได้แล้ว

ภายใต้สายตาตกตะลึง หลิงจั้นจื่อก็มองมู่เฉินด้วยดวงตาแดงก่ำ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งอยู่รอบตัวพร้อมกับเสียงคำรามดังก้องไปทั่ว

“มู่เฉิน ครั้งนี้…แกจะสู้กับข้าได้อย่างไรอีก!

“แกยังไม่มีคุณสมบัติที่จะเอาตำแหน่งนักรบทวีปไปจากข้า!

“ดังนั้น…ไสหัวออกจากสนามรบไปซะ!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท