หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1249

ตอนที่ 1249

บทที่ 1249 วิญญาณสงครามเต่าดำ
ครืนๆๆๆ!

ท่ามกลางค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร คลื่นหลิงที่แปรปรวนรุนแรงกวาดออกมาขณะที่มังกรพยายามดิ้นรนต่อสู้ ทว่าพวกมันก็ถูกผูกมัดไว้อย่างแน่นหนาด้วยโซ่ตรวน แสงเย็นเยือกวูบวาบบนหนามแหลมกลืนกินคลื่นหลิงในร่างของมังกรเหล่านั้นไป

ขณะที่ถูกกลืนกิน ทุกคนสามารถรู้สึกได้ว่าค่ายกลก็อ่อนกำลังลง

ในตอนนี้มู่เฉินที่ถูกเสี่ยหลิงจื่อโรมรันพันตูไม่หยุดก็ไม่สามารถแบ่งสมาธิออกมาควบคุมค่ายกลได้ ทำให้อาจารย์ผีพบช่องโหว่และทำลายค่ายกลได้ง่าย

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้คงอีกไม่นานค่ายกลก็จะแตกเป็นเสี่ยงๆ

เมื่อมู่เฉินเห็นก็ขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าเสี่ยหลิงจื่อเทหมดหน้าตักและตัดสินใจที่จะจัดการเขา แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นภัยคุกคามต่อเขาไม่น้อย

“ทำไมไม่หยิ่งอีกต่อไปล่ะ?” เมื่อเห็นสีหน้าของมู่เฉิน เสี่ยหลิงจื่อก็เยาะเย้ยพร้อมกับความสะใจพลุ่งพล่านในดวงตา

เขายอมจ่ายราคาแพงเพื่อฆ่ามู่เฉิน ดังนั้นนี่บอกได้ว่าเขาเกลียดมู่เฉินขนาดไหน

ทว่าเผชิญกับการเยาะเย้ยของเสี่ยหลิงจื่อ มู่เฉินก็แค่สะบัดแขนเสื้อ การโจมตีของวิญญาณสงครามทั้งสองบ้าคลั่งขึ้น ทำให้ร่างเงาโลหิตอมตะสั่นสะเทือนไม่หยุด

ชัดว่ามู่เฉินต้องการฆ่าเสี่ยหลิงจื่อก่อนที่อาจารย์ผีจะทำลายค่าลกลได้

ทว่าร่างเงาโลหิตอมตะไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง มันสามารถเปลี่ยนสถานะของสสารได้ หากได้รับการโจมตีรุนแรงก็จะเปลี่ยนเป็นภาพลวงตาเพื่อลบล้างความเสียหายบางส่วน

แต่ถ้ามันโจมตีก็จะมีรูปแบบแท้จริง มีความสามารถทั้งรุกและรับยากที่จะจัดการนัก

“ฮ่าๆ แกคิดจะจัดการข้าก่อนเรอะ? เป็นไอ้หนูที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ ร่างเงาโลหิตอมตะของข้าเป็นสิ่งที่แกจะทำลายได้เรอะ?” เสี่ยหลิงจื่อล้อเลียนหลังจากเห็นความตั้งใจของมู่เฉิน

จอมยุทธ์ที่เฝ้ามองโดยรอบก็ส่ายหัว ร่างเงาโลหิตอมตะของเสี่ยหลิงจื่อยุ่งยากเป็นพิเศษในการจัดการ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ยังต้องเผชิญกับความยากลำบาก

แม้ว่ามู่เฉินจะมีวิญญาณสงครามทรงพลังเคียงข้าง แต่ชัดว่ายังไม่ถึงระดับที่สามารถปราบร่างเงาโลหิตอมตะได้

สถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีต่อมู่เฉินมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

มู่เฉินก็รู้สึกเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงโบกมือเรียกอสรพิษและเต่าให้มาอยู่รอบตัว

“จะยอมแพ้รึ?” เสี่ยหลิงจื่อเค้นเสียง ในที่สุดมู่เฉินก็รู้แล้วว่าตนเองพยายามอย่างไร้ประโยชน์

มู่เฉินเหลือบมองเสี่ยหลิงจื่ออย่างไม่แยแส จากนั้นฝ่ามือก็วาดตราประทับ วิญญาณสงครามทั้งสองกวาดลงมากลายเป็นมหาสมุทรพลังหนาแน่น

คลื่นก่อต่อขึ้นเหนือมหาสมุทรอย่างต่อเนื่อง กระแสน้ำวนมหึมาก็ปรากฏ ทุกคนรู้สึกได้ว่ารัศมีจั้นยี่ของกองทัพทั้งสองพยายามรวมเข้าด้วยกันในเวลานี้

ความผันผวนที่น่าอัศจรรย์ของรัศมีก็กระเพื่อมออกไป

“หืม?”

เมื่อเสี่ยหลิงจื่อเห็นฉากนี้ ดวงตาก็หดลงก่อนที่จะเค้นเสียง “ที่แท้แกก็คิดจะหลอมรวมรัศมีจั้นยี่ของกองทัพทั้งสองเข้าด้วยกัน นั่นเป็นความคิดที่ดีทีเดียว แต่แกก็ไร้เดียงสาเช่นกัน”

ผลลัพธ์ไม่ธรรมดาแน่หากรัศมีจั้นยี่ทั้งสองกองทัพสามารถหลอมรวมเข้าด้วยกัน แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้สำเร็จ

ถ้ามู่เฉินเป็นคนที่สร้างกองทัพทั้งสองขึ้นมาเอง อาจเป็นไปได้ที่จะหลอมรวมรัศมีจั้นยี่ของพวกเขาไว้ด้วยกัน แต่เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินไม่มีความสามารถในการสร้างกองทัพดังกล่าว ดังนั้นจึงยากที่เขาจะทำได้

ผู้ชมก็พากันส่ายหัว ชัดว่ามองการกระทำมู่เฉินเป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้ายโดยที่มีโอกาสล้มเหลวสูง

ซ่า ซ่า

ภายใต้ความสนใจ มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ก็กระเพื่อมไหวอย่างต่อเนื่อง รัศมีทั้งสองสายเริ่มติดต่อกัน ทว่าเมื่อใดก็ตามที่เกิดความพยายามที่จะหลอมรวมก็จะเกิดการปฏิเสธซึ่งกันและกัน ทำให้ล้มเหลว

“ดูเหมือนว่าแกจะล้มเหลวแล้ว” รอยยิ้มเย้ยหยันของเสี่ยหลิงจื่อหนาแน่นขึ้น ขณะที่ดวงตาหรี่แคบลง

มู่เฉินยกเปลือกตาขึ้น “จริงเหรอ?”

ทันใดนั้นมือของเขาก็กำแน่น กระบี่แก้วปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นเขาก็เฉือนไปที่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่

“หลอมรวม!”

เสียงคำรามดังก้อง ลำแสงกระบี่ถูกยิงเข้าสู่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ ทำให้มหาสมุทรเดือดพล่านสงบลง พลังงานที่แตกต่างกันสองสายเริ่มหลอมรวมเข้าด้วยกัน ราวกับแม่น้ำสองสายไหลมาบรรจบกัน

ตู้ม!

ช่วงเวลานั้นทุกคนก็ได้เห็นการหลอมรวมของรัศมีจั้นยี่สุดจะพรรณนาพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและปกคลุมทั่วทั้งภูมิภาคด้วยแรงกดดัน

ทุกคนตกตะลึงเมื่อเห็นวังวนรัศมีจั้นยี่หมุนคว้าง ก่อนที่สัตว์ประหลาดตัวมหึมาจะยาตราออกมาอย่างช้าๆ

รูปร่างคล้ายเต่าแต่ช่วงกรามดูเหี้ยมโหดขึ้นมาก ส่วนหางเป็นอสรพิษขดอยู่รอบๆ กระดอง มันส่งเสียงขู่ดังลั่นขณะที่กระจายรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตออกไป

ร่างกายเป็นเต่า หางเป็นอสรพิษ นี่ก็คือเทพอสูรเต่าดำ

ร่างมหึมาของเต่าดำถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายจั้นเหวินที่หนาแน่นซึ่งมีจำนวนถึงหกล้านลาย!

วิญญาณสงครามที่ทรงอำนาจนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายยังเกรงกลัว

เมื่อรัศมีจั้นยี่ของกองทัพสังหารวิญญาณและกองทัพดับปีศาจควบรวมเป็นวิญญาณสงครามใหม่ ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อก็แข็งค้างก่อนที่จะพึมพำด้วยความกลัวและสิ้นหวัง “เป็นไปได้ยัง?! เป็นไปได้ยังไง?!”

เขาไม่เคยคิดว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จ นี่เป็นสิ่งที่มันไม่ควรทำได้!

แต่ต่อให้จะไม่เชื่อขนาดไหน เรื่องมันก็เป็นจริงแล้ว

เสี่ยหลิงจื่อรู้สึกถึงไอคุกคามจากวิญญาณสงครามเต่าดำ แม้แต่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย วิญญาณสงครามที่มีลวดลายจั้นเหวินราวหกล้านลายก็ถือว่าอยู่ในระดับสูงสุด

“อาจารย์ผีทำลายค่ายกลเร็วเข้า!”

เวลานี้เสี่ยหลิงจื่อได้แต่คำรามอย่างรีบร้อน

อาจารย์ผีที่กำลังทำลายค่ายกลอย่างสบายๆ ก็ต้องตกใจ ก่อนที่สีหน้าจะเคร่งเครียดลงหลายส่วน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะบรรลุเป้าหมายเช่นนี้

เขาสูดหายใจเข้าลึกไม่กล้าลากเวลาอีกต่อไป สัญลักษณ์หลิงยิ่งมากมายพุ่งออกมาจากแขนเพิ่มความเร็วในการเจาะทำลายค่ายกล

เขารู้ว่าถ้าเสี่ยหลิงจื่อพ่ายแพ้ในมือของมู่เฉิน ตัวเขาคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายหนุ่มคนนี้

ภายใต้สายตาไม่อยากเชื่อมากมาย มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจเมื่อมองวิญญาณสงครามเต่าดำ ที่จริงก็เป็นไปตามที่เสี่ยหลิงจื่อคาดการณ์ไว้ ปัจจุบันตัวเขายังไม่ได้มีความสามารถในการหลอมรัศมีจั้นยี่ของสองกองทัพเพื่อสร้างวิญญาณสงครามใหม่

แต่โชคดีที่เขามีกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ… และสิ่งนี้มีรัศมีของจักรพรรดิฟ้าเคลือบอยู่ ดังนั้นเขาจึงใช้รัศมีนี้เพื่อบังคับให้เกิดการหลอมรวม

แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ประสบความสำเร็จ

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองเสี่ยหลิงจื่ออย่างเย็นชา อีกฝ่ายไม่มีท่าทางอวดดีโดยที่ใบหน้าซีดเผือดไปหมดแล้ว

“ฉีกมันเป็นชิ้นๆ ซะ!”

มู่เฉินยิ้มเหี้ยม มือโบกลง วิญญาณสงครามเต่าดำแผดเสียงเปิดปากกว้าง กระแสรัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่กวาดออก ซึ่งภายในมีเสียงคำรามแห่งการเข่นฆ่าไม่มีที่สิ้นสุด

“ปราการแม่น้ำโลหิต!”

เผชิญหน้ากับวิญญาณสงครามเต่าดำ เสี่ยหลิงจื่อก็ไม่กล้าชักช้า ตราประทับในมือเปลี่ยนแปลงวูบไหว ร่างเงาโลหิตอมตะก็เปิดปาก แม่น้ำสีแดงเลือดขนาดใหญ่พุ่งออกมากลายเป็นแนวป้องกัน

ตู้ม!

รัศมีจั้นยี่ปะทะกับปราการ ทำให้ปราการละลายเป็นชั้นๆ ทันที จากนั้นก็เจาะทะลุกระแทกร่างเงาโลหิตอมตะจังใหญ่

ในช่วงเวลาวิกฤต เสี่ยหลิงจื่อควบคุมร่างเงาโลหิตอมตะเปลี่ยนแปลงเป็นภาพลวงตาทันที ดังนั้นแม้ว่ากระแสรัศมีจ้นยี่จะปะทะเข้ามา แต่ส่วนใหญ่ก็ทะลุผ่านไป หลังจากที่กลายเป็นภาพลวงตา

ด้วยเหตุนี้กระแสรัศมีจั้นยี่ที่ตอนแรกสามารถทำร้ายร่างเงาโลหิตอมตะได้อย่างหนักหน่วงก็ทิ้งรอยหลุมแผลเอาไว้เท่านั้น ซึ่งมันได้เริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

เมื่อเสี่ยหลิงจื่อเห็นฉากนี้ ร่างกายที่เกร็งเครียดก็ผ่อนลง ดูเหมือนว่ากระทั่งรัศมีจั้นยี่ที่รวมตัวกันก็ไม่สามารถจัดการกับร่างเงาโลหิตอมตะของเขาได้อย่างง่ายดาย

ตู้ม!

ทว่ามู่เฉินยังเผยท่าทางสงบก่อนที่จะสะบัดนิ้ว กระแสรัศมีจั้นยี่ครางกระหึ่มพุ่งออกไปปะทะกับร่างเงาโลหิตอมตะอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเสี่ยหลิงจื่อเห็นการโจมตีนี้ เขาก็เข้าสู่สถานะการป้องกันเปลี่ยนร่างเงาโลหิตอมตะให้กลายเป็นภาพลวงตาเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายร้ายแรง

ตอนนี้เขาต้องลากเวลาให้กับอาจารย์ผีเพื่อทำลายค่ายกล พวกเขาจะได้ร่วมมือกันจัดการ ในเวลานั้นแม้จะมีรัศมีจั้นยี่ มู่เฉินก็ถึงวาระต้องตาย!

รัศมีจั้นยี่ส่งเสียงหวีดหวิวในท้องฟ้า สถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้นมาก ทว่าจอมยุทธ์ที่เฝ้ามองอยู่ก็ต้องขมวดคิ้ว เนื่องจากพวกเขาตระหนักว่าถึงแม้จะมีการครอบงำของเต่าดำ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลกับร่างเงาโลหิตอมตะของเสี่ยหลิงจื่อสักเท่าไร

ด้วยสิ่งนี้เสี่ยหลิงจื่อสามารถลากเวลาออกไปได้ ขณะที่ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารเริ่มทลายลงแล้ว

“ตู้ม!”

เกิดการกระแทกกันอีกครั้ง แต่ร่างเงาโลหิตอมตะที่อยู่ในสภาวะลวงตาก็ส่งผลกระทบออกไปเกือบทั้งหมด เสี่ยหลิงจื่อยืนอยู่ด้านบนอดไม่ได้ที่จะกลั้วเสียงหัวเราะ “ไอ้เด็กเหลือขอ แกจะพยายามอย่างไร้ประโยชน์ไปถึงเมื่อไร? โง่หรือเปล่าเฮอะ?”

ได้ยินเสียงตะเบ็งของเสี่ยหลิงจื่อ รอยยิ้มเย้ยหยันก็โค้งขึ้นบนใบหน้าสงบนิ่งของมู่เฉิน ขณะที่จ้องมองอีกฝ่าย “ไร้ประโยชน์จริงเหรอ?”

เมื่อเห็นรอยยิ้มนั่น เสี่ยหลิงจื่อก็อึ้งไปก่อนที่จะก้มหัวลงมองร่างเงาโลหิตอมตะ แสงหลิงรวมเข้าด้วยกันในดวงตา วินาทีต่อมาใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปรุนแรง เขาเห็นลูกแก้วผลึกแสงนับไม่ถ้วนในร่างเงาโลหิตอมตะ โดยที่เขาไม่รู้ตัว พวกมันบินว่อนคล้ายกับหิ่งห้อย

เมื่อมองไปที่ผลึกเหล่านั้น เสี่ยหลิงจื่อก็คิดบางอย่างออก ใบหน้าซีดเผือดไปเลยทีเดียว

ขณะที่ใบหน้าเขาไร้สี มู่เฉินก็ยิ้มบางก่อนที่จะวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว เสียงดังก้องขึ้นในใจ

“ผนึก”

เมื่อเสียงของเขาจบลง ลูกแก้วผลึกแสงก็เปล่งประกาย ปกคลุมร่างเงาโลหิตอมตะไว้ทั้งหมด อึดใจต่อมาเสี่ยหลิงจื่อก็ต้องตะลึงหวาดหวั่นเมื่อเห็นว่าสูญเสียการควบคุมร่างเงาโลหิตอมตะ ทำให้มันมืดลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังหดตัวไม่ว่าเขาจะพยายามเทพลังงานเข้าไปเท่าใดก็ตาม

“นั่นเป็นคลื่นหลิงที่ผิดปกติของมัน!”

“บุกเข้าร่างเงาโลหิตอมตะตั้งแต่เมื่อไรกัน?”

“ช่วงเวลาที่ทะลุผ่านร่างไปเรอะ?!”

ใบหน้าของเสี่ยหลิงจื่อเปลี่ยนไปรุนแรง ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมมู่เฉินจึงยังโจมตีไม่ยั้งแม้ร่างเงาโลหิตอมตะจะไม่ได้รับผลอะไรก็ตาม ที่แท้มู่เฉินไม่ได้ตั้งใจจะทำลายร่างเงาโลหิตอมตะของเขาโดยรัศมีจั้นยี่ กระบวนท่านี้ เขาแค่ต้องการอัดคลื่นหลิงที่ผิดปกติลงไป!

“ข้าต้องสร้างร่างเงาโลหิตอมตะใหม่!”

เสี่ยหลิงจื่อกัดฟันแน่นตัดสินใจลบการเชื่อมโยงกับร่างนี้อย่างเด็ดขาด ทว่าทันใดนั้นม่านผลึกก็บีบลงมาหาเขา เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเจดีย์ผลึกแก้วใสขนาดใหญ่กดลงมา จากนั้นก็กลืนทั้งเขาและร่างเงาโลหิตอมตะเข้าไป

เจดีย์หดตัวลงอย่างรวดเร็วแล้วลอยลงมาบนฝ่ามือของมู่เฉิน

ผู้ชมต่างตกตะลึงกับฉากนี้ แม้แต่อาจารย์ผีก็สีหน้าเปลี่ยนไปมาก

ไม่มีใครคาดว่าเสี่ยหลิงจื่อและร่างเงาโลหิตอมตะที่ยืนตั้งมั่นก่อนหน้าจะถูกกักขังไว้ในเจดีย์ผลึกแก้วใสของมู่เฉินในพริบตา

มู่เฉินไม่สนใจสายตาเหล่านั้น เขาก้มมองเสี่ยหลิงจื่อที่ตื่นตระหนกอยู่ในเจดีย์ มุมปากเขาเต็มไปด้วยความตั้งใจฆ่าก่อนเสียงจะดังก้อง

“ไอ้หมาแก่ ไหนแกลองวิ่งให้ข้าดูอีกครั้งสิ?!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท