หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1245

ตอนที่ 1245

บทที่ 1245 เผยแพร่ชื่อเสียง
มู่เฉินยิ้มกริ่มในมือมีม้วนคัมภีร์สีแดง

ตอนนี้ราชันเมฆเพลิงหายไปแล้ว เขาถูกเตะออกจากการแข่งขันเนื่องจากการสูญเสียป้ายสัประยุทธ์ไป

ด้วยการข่มขู่จากมู่เฉิน ทำให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย เขาได้รับวิชาเพลิงกระโจนมาตามต้องการ

นี่ไม่ยากเกินไปที่จะทำสำเร็จ เนื่องจากชะตากรรมของราชันเมฆเพลิงอยู่ในมือเขา ในสมรภูมิแบบนี้ความตายเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นไม่มีใครสามารถพูดอะไรได้แม้ว่ามู่เฉินจะฆ่าคนก็ตาม

บางทีราชันเมฆเพลิงอาจมีไพ่ตาย แต่เขาคงต้องจ่ายราคาด้วยการได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือแม้กระทั่งมีผลสะท้อน ดังนั้นเมื่อเลือกระหว่างชีวิตกับคัมภีร์วิชา ราชันเมฆเพลิงเลือกชีวิตแบบไม่ต้องคิดเลย

“วิชาเพลิงกระโจน…”

มู่เฉินเทคลื่นหลิงลงไปในม้วนคัมภีร์ ข้อมูลมหาศาลก็หลั่งไหลเข้ามาในห้วงจิต วิชานี้เป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นต่ำเท่านั้น ในแง่ของการจัดลำดับก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้มู่เฉินถูกล่อลวง ทว่าวิชานี้มีความเร็วและความสามารถทะลวงผ่านปราการของค่ายกลได้ นี่ทำให้มู่เฉินเกิดความสนใจอย่างมาก ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่บีบเอามาจากราชันเมฆเพลิงหรอก

ต้องมีคลื่นหลิงที่มาจากไฟเพื่อฝึกฝนวิชานี้ โชคดีคลื่นหลิงของมู่เฉินหลอมรวมกับเพลิงอมตะแล้ว ซึ่งนี่ถือว่าเหมาะเหม็งเลยทีเดียว

มู่เฉินเก็บม้วนคัมภีร์รู้สึกค่อนข้างพอใจกับการเก็บเกี่ยวครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เขาได้ป้ายสัประยุทธ์สองป้าย เขายังได้รับอาวุธมหสวรรค์ขั้นต่ำและวิชาเพลิงกระโจนอีกด้วย

“ป้ายสัประยุทธ์สามป้าย ป้ายหนึ่งเป็นของข้า ดังนั้นหมายความว่าข้าต้องการอีกสองป้ายเพื่อแลกเปลี่ยนกับค่ายกลรบสามกำลัง” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง

“แต่ตอนนี้ในเมื่อข้ามีสามป้ายก็คงไม่จำเป็นต้องไปหา ปล่อยให้พวกเขามาหาข้าเอง ดังนั้นข้าแค่เตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรอคนมาเท่านั้น…”

มู่เฉินยิ้มกริ่มก่อนที่เหาะเหินขึ้นไปบนท้องฟ้าบินออกไปไกล สถานที่นี้วินาศสันตะโรอย่างมีนัย ดังนั้นจึงไม่เหมาะที่จะตั้งค่ายกล เขาต้องมองหาสถานที่อื่น

เมืองซีเทียนจั้น

เมื่อฉากการต่อสู้ของมู่เฉินจบลง หน้าจอเหนือจัตุรัสก็หายไป ทว่าผู้คนยังคงจ้องมองอย่างอึ้งทึ่งอยู่ที่จุดที่หน้าจอหายไป

ไม่กี่อึดใจก่อนหน้าพวกเขายังเห็นราชันเมฆเพลิงไล่ล่ามู่เฉิน แต่ใครจะคิดว่าจะกลับตาลปัตรแบบนี้ มู่เฉินใช้ค่ายกลทรงพลังบังคับให้ราชันเมฆเพลิงต้องถอยตัวโก่งแล้วหนีไป แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดมู่เฉินยังออกจากค่ายกลไล่ตามอีกฝ่ายไป ด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นที่มี!

ตอนที่เห็นฉากนี้ ผู้คนจำนวนมากเยาะเย้ยมู่เฉินเพราะเขาประเมินความสามารถของตัวเองมากเกินไปและมองข้ามจุดที่ได้เปรียบ แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้พูดเยาะอะไรเพิ่ม ดวงตาของพวกเขาก็แทบถลน เมื่อเห็นราชันเมฆเพลิงไร้พลังในกำมือของมู่เฉินในสิบกว่าอึดใจเท่านั้น…

ไม่นานหลังจากหน้าจอหายไป พวกเขาก็ฟื้นจากอาการตะลึงงัน พากันแลกเปลี่ยนสายตาก็เห็นริ้วความเคร่งเครียดและความกลัวอยู่ในแววตาของกันและกัน

หากก่อนหน้าพวกเขายังรู้สึกว่ามู่เฉินใช้อุบายบางอย่างเพื่อเอาชนะสงป้า จากการต่อสู้ครั้งนี้คนเดียว มู่เฉินแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่สามารถคุกคามคุกคามจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้

“ไม่คิดว่ามู่เฉินจะเชี่ยวชาญสูงในศาสตร์ค่ายกล… ค่ายกลเมื่อครู่อยู่ในระดับจงซือขั้นกลางแน่นอน” บางคนแอบถอนหายใจ จากข้อมูลที่ได้รับมาพวกเขารู้ว่ามู่เฉินเคยแสดงศักยภาพทางศาสตร์ค่ายกลที่ไม่ธรรมดาตอนที่อยู่ในตระกูลลั่วเสิน แต่ตอนนี้พลังของมู่เฉินเพิ่มขึ้นทบทวีอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับก่อนหน้า

“ชายคนนี้แปลกจริงๆ เขามีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น แต่กลับมีความสามารถไม่ได้ด้อยกว่าขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ไม่แปลกใจที่เขากล้ากระโดดเข้าร่วมสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายนี้”

“ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นม้ามืดตัวจริง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถไปไกลได้แค่ไหน เพราะดูจากสถานการณ์ตอนนี้เขายังค่อนข้างห่างจากกลุ่มคนอันดับต้นๆ…”

“ใช่แล้ว หลิงจั้นจื่อได้รับป้ายสัประยุทธ์หกป้ายแล้วตอนนี้…”

“…”

เสียงซุบซิบดังก้อง แต่คราวนี้ไม่มีเสียงพูดเยาะเย้ยอีกแล้ว เนื่องจากทุกคนเข้าใจแล้วว่ามู่เฉินมีคุณสมบัติที่จะอยู่ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้

ลั่วเทียนเสินรู้สึกโล่งใจในตอนนี้ แม้ว่าเขาจะรู้เกี่ยวกับวิธีของมู่เฉินบ้าง แต่เขาก็ค่อนข้างตกใจเมื่อเห็นว่ามู่เฉินเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้

จากการคาดการณ์ กระทั่งเขายังมีโอกาสสูงที่จะพ่ายแพ้มู่เฉินเลย

การคาดการณ์นี้ทำให้เขายิ้มขมขื่น หวนคิดถึงหลายปีก่อนตอนที่พบกับมู่เฉินครั้งแรก ชายหนุ่มไม่มีอะไรโดดเด่นในสายตาของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ดูถูก แต่ก็ไม่ได้เอามู่เฉินมาใส่ใจ

แต่ใครจะคาดได้ว่าไม่กี่ปีต่อมาชายหนุ่มที่ทำอะไรไม่เป็นคนนั้นจะเติบโตได้ไกลขนาดนี้

ลั่วเทียนเสินถอนหายใจ ระงับอารมณ์ที่ซับซ้อนในหัวใจ ก่อนที่จะพึมพำ “ต่อไปก็ต้องดูว่าเจ้าหนุ่มนี่จะไปได้ไกลแค่ไหน…”

บนบัลลังก์เบื้องหน้าตำหนัก จักรพรรดิสัประยุทธ์จ้องมองหน้าจอที่แสดงฉากการต่อสู้ของมู่เฉินก็ยิ้มบาง “มิน่าล่ะเทพจักรพรรดิอัคคีถึงให้มู่เฉินเข้าสู่สมรภูมิตี้จื้อจุนขั้นปลาย ที่แท้ตัวเขาเป็นหลิงเจิ้นต้าซือขั้นตี้ด้วยนี่เอง”

“แต่นั่นพิสูจน์ได้ว่าเขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายทั่วไปได้เท่านั้น ข้ากลัวว่าเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะคว้าชัยชนะ”

น้ำเสียงของจักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่แยแส หากตัวตนของหลิงเจิ้นจงซือขั้นตี้เป็นไพ่ตายสำหรับมู่เฉินแล้ว งั้นเขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับตำแหน่งนักรบทวีปแน่นอน

เนื่องจากหลิงจั้นจื่อและคนอื่นๆ ต่างเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในหมู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ดังนั้นแม้ว่ามู่เฉินจะสามารถพึ่งพาค่ายกลเพื่อจัดการกับราชันเมฆเพลิง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะคุกคามหลิงจั้นจื่อและคนอื่นๆ

เมื่อได้ยินคำพูดของจักรพรรดิสัประยุทธ์ เซียวเหยียนก็ยิ้ม “ข้ารู้สึกว่ามู่เฉินจะไม่ปล่อยให้ข้าสูญเสียยาเทวะมังกรหงส์เปล่าประโยชน์แน่นอน”

จักรพรรดิสัประยุทธ์หรี่ตามองที่หน้าจอพลางพยักหน้าด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “งั้นขอข้าดูหน่อย หวังว่าเจ้าเปี๊ยกนี่จะไม่ทำให้เทพจักรพรรดิอัคคีผิดหวังนะ…”

ในมุมมองของเขาดีมากแล้วถ้ามู่เฉินสามารถคงอยู่จนถึงช่วงสุดท้าย แต่ถ้าคิดจะคว้าชัยชนะ ฮ่าๆ เทพจอมยุทธ์ทั้งสามของตำหนักซีเทียนจะสอนมันให้รู้ถึงขอบเขตของตัวเอง

หลังจากมู่เฉินออกจากพื้นที่ก่อนหน้า

เขาก็ค่อยๆ ชะลอตัวลง จำนวนป้ายสัประยุทธ์สามป้ายทำให้ตำแหน่งของเขาปรากฏบนป้ายของผู้เข้าแข่งขันคนอื่น เขารู้สึกถึงความผันผวนของคลื่นหลิงหลากหลายที่พุ่งมาในทิศทางของเขา ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง

“มาเร็วดีแฮะ”

มู่เฉินพูดพึมพำก่อนที่จะพลิ้วตัวลงมาอย่างรวดเร็ว แขนเสื้อของเขาสะบัดพรึบพรับ สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนก็บินฉวัดเฉวียนออกมายราวกับผีเสื้อ รวมเข้ากับมิติทันที

แม้ว่าเขาจะสามารถตั้งค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารที่สมบูรณ์แบบได้สำเร็จ แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดความผิดพลาดได้ ดังนั้นเขาจะต้องเตรียมการล่วงหน้า ศัตรูคงไม่ให้เวลาเขาในการจัดการตอนที่ต่อสู้หรอก

ตามคาดมู่เฉินผิดพลาดสองครั้งก่อนที่จะสามารถจัดตั้งค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารได้สำเร็จอีกครั้ง

เขานั่งอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารเริ่มหมุนคว้าง ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังเล็ดลอดออกมา ทำให้ระลอกคลื่นคำรามเสียงลั่น

คราวนี้เขาไม่ได้ซ่อนค่ายกลเหมือนที่ทำเมื่อก่อนหน้าในการล่อราชันเมฆเพลิง แต่ครั้งนี้ศัตรูมาเคาะประตูหน้าบ้านแล้ว

พวกเขาจะต้องระมัดระวังมาก ดังนั้นค่ายกลยิ่งใหญ่นี้จะถูกค้นพบไม่ว่าจะพยายามซ่อนขนาดไหนก็ตาม

ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องซ่อน เขาเผยให้รู้ทันทีเพื่อดูว่าใครกล้าพอที่จะท้าทาย

หลังจากที่ตั้งค่ายกลเสร็จ มู่เฉินก็หลับตารอศัตรูเข้ามา

การรอคอยไม่ได้กินเวลานาน เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังสี่สาย ซึ่งกวาดข้ามมาจากสี่ทิศทางที่แตกต่างกัน ก่อนที่พวกเขาจะหยุดในท้องฟ้าที่ห่างไกล

พวกเขาทั้งสี่รู้สึกถึงกันและกัน ดังนั้นแต่ละคนก็เฝ้าระวังกัน ในการแข่งขันทุกคนถือเป็นศัตรู

พวกเขาถอนสายตาอย่างรวดเร็ว มองไปที่มู่เฉินในป่าจากนั้นก็อึ้งไป

“ระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น?”

“ไอ้นอกคอก มู่เฉิน…”

“เขาตั้งค่ายกลไว้รอบตัว ที่แท้เขาเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นตี้ด้วย ไม่แปลกใจที่เขากล้าที่จะเข้าสู่สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย”

เมื่อพวกเขาเห็นมู่เฉิน สายตาก็วูบไหวด้วยความคิดที่แตกต่างกัน

“ใครอยากได้ป้ายสัประยุทธ์ของข้า ก็เข้ามาแย่งได้เลย”

ขณะที่ผู้มาใหม่จ้องมองมู่เฉินจากระยะไกล เขาก็เปิดตาขึ้นพร้อมกับระเบิดหัวเราะเสียงสดใสดังกังวาน

เมื่อได้ยินคำพูดท้าทายของมู่เฉิน ทั้งสี่ก็ขมวดคิ้ว แต่ไม่มีใครกล้าขยับตัวเพราะพวกเขารู้สึกถึงไอคุกคามที่มาจากค่ายกลทรงพลังรอบตัวมู่เฉิน

นอกจากนี้พวกเขายังรักษาระวังซึ่งกันและกัน กลัวว่าจะมีคนรอเก็บผลประโยชน์ขณะที่คนอื่นทำงานอยู่

“ถ้าไม่มีใครกล้าก็ออกไปอย่ามาเสียเวลา” เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่มีท่าทางเคลื่อนไหว มู่เฉินก็โบกมือ

“ฮึ่ม ไอ้จอมหยิ่ง!”

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ชายเสื้อคลุมสีม่วงก็หัวเราะเสียงเยือกเย็น สายตาจับจ้องไปที่ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารรอบร่างมู่เฉิน ก่อนที่จะมองจอมยุทธ์อีกสามคน “ถ้าพวกเจ้าไม่มีความตั้งใจที่จะเคลื่อนไหว งั้นข้าขอแล้วกันนะ แต่ว่าพวกเจ้าคงต้องออกไปก่อน”

ทั้งสามคนกะพริบตาก่อนที่จะยิ้ม “นี่คงเป็นเจ้าสำนักจื่อซัน พวกข้าได้ยินชื่อเสียงมานานแล้วว่าเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำลายค่ายกล ในเมื่อเจ้าหมายตาเขาไว้ ก็เอาไปเลย”

พูดจบทั้งสามก็ถอยออกไปทันที เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่ามู่เฉินแกล้งทำหรือไม่ หากเป็นเรื่องจริงพวกเขาคงไม่มีเวลาง่ายดายแน่นอน หากเป็นเรื่องโกหกพวกเขาก็ใช้เจ้าสำนักจื่อซันปะทะกับมู่เฉิน รอจนกระทั่งทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บ…

ทว่าทั้งสามกระจ่างแจ้งว่าเจ้าสำนักจื่อซันจะต้องกันพวกเขาทั้งสามคนไว้แน่ ดังนั้นพวกเขาจึงไปจากที่นี่ตามที่สัญญา

เมื่อสัมผัสได้ว่าคลื่นหลิงสามสายเคลื่อนตัวห่างไกลออกไปแล้ว เจ้าสำนักจื่อซันก็มองมู่เฉินอย่างเยือกเย็นเค้นเสียงขึ้นว่า “ไอ้เด็กโง่ แกคิดจริงๆ หรือว่าค่ายกลนี้สามารถปกป้องตัวเองได้? ข้าจะให้แกดูว่าข้าคนนี้จะทำค่ายกลของแกยังไง!”

พูดจบก็พุ่งเข้าไปในค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร ภายใต้รอยยิ้มไม่เชิงยิ้มของมู่เฉิน

จอมยุทธ์สามคนหยุดเคลื่อนไหวหลังจากอยู่ไกลออกมาก่อนที่ปิดตา พวกเขาสัมผัสถึงความผันผวนของคลื่นหลิงรุนแรงพวยพุ่งมาจากสถานที่แห่งนั้น

“เจ้าสำนักจื่อซันเคลื่อนไหวแล้ว ไอ้เหลือขอนั่นซวยแน่นอน…”

ทั้งสามยิ้มรอคอยให้เจ้าสำนักจื่อซันได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะหาโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์

การรอเวลาของพวกเขาใช้เวลาหนึ่งก้านธูป ก่อนที่การแสดงออกจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย เนื่องจากพวกเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงรุนแรงกำลังหายไปอย่างรวดเร็ว

“เสร็จแล้วรึ? รวดเร็วขนาดนี้เชียวเหรอ?”

ทั้งสามตกใจไปก่อนที่ใบหน้าจะมืดครึ้มลง ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะแกล้งข่มขู่พวกเขาแล้ว

“สิ่งที่เป็นประโยชน์ตกไปในมือเจ้าสำนักจื่อซันเลย” ทั้งสามสาปแช่ง ก่อนที่จะเพิ่มความเร็วพุ่งเข้าไปเพื่อดูว่าตนเองจะได้รับประโยชน์ใดๆ บ้าง

ไม่นานพวกเขาก็เข้าใกล้ป่าบริเวณนั้น พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกทำลายเป็นวงกว้าง แต่ละคนยืนอยู่บนท้องฟ้าก่อนที่จะยกสายตาไปข้างหน้า ฉับพลันดวงตาก็แคบลง

พวกเขาเห็นเงาร่างนั้นนั่งเงียบๆ บนต้นไม้ใหญ่ แม้ว่าค่ายกลรอบตัวจะขาดรุ่งริ่งไปบ้าง แต่ก็ยังคงหมุนคว้าง

เมื่อทั้งสามคนเห็นชายหนุ่ม แววหวาดผวาก็วาบขึ้นในดวงตา พวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะเป็นคนที่ยืนอยู่ที่นี่!

ในทางกลับกันไม่มีร่องรอยของเจ้าสำนักจื่อซัน นั่นหมายความว่าการดวลนี้มู่เฉินเป็นผู้ชนะ!

ความกลัวและเคร่งเครียดลุกลามขึ้นมาในดวงตาทั้งสาม

พลังของพวกเขาทัดเทียมกับเจ้าสำนักจื่อซัน ในเมื่อมู่เฉินสามารถจัดการกับเจ้าสำนักจื่อซันได้อย่างรวดเร็ว นั่นก็หมายความว่าคงจะใช้เวลาไม่นานสำหรับเขาที่จะจัดการกับพวกเขาเช่นกัน

“เจ้าสามคนอยากลองดูด้วยหรือ?” มู่เฉินเล่นป้ายสัประยุทธ์ที่เพิ่งได้มาในมือ ขณะที่ยิ้มให้ทั้งสามคน

ทว่าขณะที่เขาเผยรอยยิ้มก็ต้องตะลึงไปเพราะจอมยุทธ์ทั้งสามหนีไปโดยไม่ลังเลใดๆ พริบตาก็หายไปในเส้นขอบฟ้าแล้ว

เมื่อมองทั้งสามที่หนีไป มู่เฉินก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่จะยืนขึ้นมองไปที่ป้ายสัประยุทธ์ในมือพร้อมถอนหายใจ

“ต่อไปคงไม่ง่ายที่จะเจอพวกโง่แล้ว…”

เขารู้ว่าทั้งสามคนนี้จะเผยแพร่ชื่อเสียงให้กับเขาในสนามรบแห่งนี้แน่นอน

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท