หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1259

ตอนที่ 1259

บทที่ 1259 ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ปะทะร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์
ฮึ่ม ฮึ่ม!

ที่เบื้องหลังร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ลูกทรงกลมแสงทั้งสามระเบิดริ้วแสงนับไม่ถ้วน ทำเอามู่เฉินตกตะลึงไปเมื่อได้เห็นร่างเงาในลูกทรงกลมนั่น…

“นั่นคืออะไร?!”

ม่านตาของมู่เฉินหดแคบลงขณะที่เขาจ้องมองไปที่รูปทรงกลมสามลูก คลื่นหลิงรวมตัวกันในดวงตา ก่อนจะเพิ่มวิสัยทัศน์ในการมอง

ซี้ด!

หลังจากเห็นชัดเจน มู่เฉินก็หายใจลึก เนื่องจากพบว่าลูกทรงกลมทั้งสามเต็มไปด้วยร่างเงาในชุดเกราะหนัก พวกเขานั่งอยู่ภายในรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตอันพลุ่งพล่าน

นี่เป็นกองทัพขนาดใหญ่!

“รูปทรงกลมนี้ก่อตัวเป็นมิติขนาดเล็กที่สามารถเก็บกองทัพทหารจำนวนมากไว้รึ?” ใบหน้ามู่เฉินเปลี่ยนไปเมื่อสังเกตเห็นว่าร่างเหล่านั้นมีพลังชีวิตเล็ดลอดออกมา ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขาไม่ใช่หุ่นเงา!

“ที่แท้นี่ก็คือความลึกซึ้งของร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์!”

“โดยการเก็บกองทัพไว้ในลูกทรงกลมเหล่านั้น กองทัพก็จะจัดเตรียมรัศมีจั้นยี่เพื่อหลอมรวมเข้ากับคลื่นหลิงของผู้ใช้ ผลิตคลื่นหลิงจั้นที่ไม่มีวันสิ้นสุด!”

ตอนนี้มู่เฉินเข้าใจแล้วว่าทำไมหลิงจั้นจื่อถึงสามารถครอบครองรัศมีจั้นยี่ทรงพลังได้ แม้ว่าจะไม่ได้บัญชากองทัพ ที่แท้เขาก็ซ่อนกองทัพไว้ในลูกทรงกลมเหล่านั้นนี่เอง!

“ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์สมคำร่ำลือจริงๆ” มู่เฉินถอนหายใจในใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นร่างเทห์สวรรค์ที่อัศจรรย์ใจเช่นนี้

หลิงจั้นจื่อยืนอยู่บนหัวของร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ เขารู้ว่ามู่เฉินมองเห็นความลึกซึ้งของร่างเวทสวรรค์ของเขา เมื่อเห็นมู่เฉินจ้องมองไปที่ลูกทรงกลมเขม็ง

“ตาแหลมดี”

น้ำเสียงไม่แยแสดังก้องกังวานโดยไม่มีเจตนาที่จะซ่อน เขากระทืบเท้าริ้วแสงที่ซ่อนกองทัพก็ค่อยๆ หายไป เผยด้านในให้เห็น

“ในมิตินี้ ข้ามีทหารจำนวนหนึ่งล้านคนที่จะให้รัศมีจั้นยี่ไม่มีที่สิ้นสุด…” หลิงจั้นจื่อตอบเบาๆ

แม้ว่าคุณภาพหนึ่งล้านนี่จะไม่อาจเทียบกับกองทัพสังหารวิญญาณและกองทัพดับปีศาจของมู่เฉิน แต่ก็มากด้วยปริมาณ นอกจากนี้พวกเขายังเพาะบ่มพลังในมิติร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์เป็นประจำ ดังนั้นรัศมีจั้นยี่จึงเข้ากันได้กับหลิงจั้นจื่อมาก อำนาจนี้สามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายยังรู้สึกหวาดกลัว

“ในปัจจุบันมีไม่กี่คนหรอกที่สามารถบังคับให้ข้าเปิดเผยความลึกซึ้งของร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ได้…” หลิงจั้นจื่อจ้องมองมู่เฉิน ไม่มีระลอกคลื่นใดในสายตา ทว่าไอสังหารกลับเข้มข้นขึ้น

“แต่ทุกคนที่เห็นสุดท้ายก็ใช้หัวเป็นรางวัลของข้าและแกก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น!”

เมื่อสิ้นเสียงหลิงจั้นจื่อ กองทัพทหารล้านคนก็ระเบิดด้วยเสียงคำรามทำเอาแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง ดวงตาเต็มไปด้วยความต้องการสู้ รัศมีจั้นยี่ทรงพลังพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

รัศมีจั้นยี่ของพวกเขาเทเข้าไปในร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ เมื่อเกิดการผสมผสานของรัศมีจั้นยี่แล้ว ร่างต้นก็เริ่มปกคลุมไปด้วยลวดลายจั้นเหวิน แรงกดดันสุดพรรณนาครอบครองไปทั่วบริเวณนี้

มู่เฉินหดตาลงกะทันหันเมื่อรู้สึกได้ว่าร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

ก่อนหน้าหลิงจั้นจื่อยังไม่เต็มใจที่จะเผยให้เห็นการดำรงอยู่ของทหารเหล่านี้ แต่ขณะนี้เขาไม่ใส่ใจอะไรแล้ว ดังนั้นภายใต้การควบคุมอย่างเต็มที่ เขาจึงเร้ากำลังเต็มของกองทัพออกมาเลยทีเดียว

ความกดดันน่าสะพรึงกลัวปกคลุมดินแดนนี้ พื้นดินเบื้องล่างเริ่มพังทลาย ต้นไม้ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ แล้วสลายกลายเป็นกองขี้เถ้า

แรงกดดันน่าตกตะลึง กระทั่งสี่คนที่กำลังต่อสู้อยู่ห่างออกไปก็ได้รับผลกระทบ สายตาของพวกเขากวาดมองมายังทิศทางนี้ด้วยความตกใจ

เมื่อหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อเห็นสถานการณ์ของหลิงจั้นจื่อ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ พวกเขาประหลาดใจที่หลิงจั้นจื่อถูกบังคับให้เปิดเผยความลับทั้งที่แค่ต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น

ในฐานะศิษย์เอกของจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน พวกเขารู้ดีว่าร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ทรงพลังเพียงใด ทว่าพวกเขาทั้งสองคนไม่ประสบผลในการฝึก ในบรรดาศิษย์ทั้งสี่คนมีเพียงหลิงจั้นจื่อที่ประสบความสำเร็จไปได้

ในอดีตจอมยุทธ์ที่บังคับให้หลิงจั้นจื่อมาไกลถึงขนาดนี้ล้วนอยู่ในระดับตี้จื้อจุนเข้าใกล้ขั้นเต็ม แต่ครั้งนี้ศัตรูเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น…

“มู่เฉินเป็นเสือที่แกล้งเป็นเหยื่อจริงๆ!” ดวงตาของหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อวูบไหว จากนั้นก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ถ้ามู่เฉินไม่ได้จัดการยาก ไม่มีทางที่หลิงจั้นจื่อจะเปิดเผยความลับของร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์

เมื่อเปรียบเทียบกับความตกใจของพวกเขา แม้ว่าซูมู่และฉู่เหมินจะตกตะลึงกับความแข็งแกร่งที่มู่เฉินเปิดเผย แต่พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจในใจ ก่อนหน้านี้พวกเขากังวลว่ามู่เฉินอาจจะพ่ายแพ้แบบนกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำ เวลานั้นหลิงจั้นจื่อจะเข้ามายุ่งในการปะทะของพวกเขาเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ไล่พวกเขาทั้งสองออกจากสนามรบไป

แต่ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะจัดการกับหลิงจั้นจื่อจนอยู่หมัด

“ต้องใช้เวลานี้รีบตัดสินผลแพ้ชนะ” ความคิดเดียวกันปรากฏขึ้นในใจของซูมู่และฉู่เหมิน ในเมื่อมู่เฉินช่วยพวกเขาซื้อเวลาได้ พวกเขาก็ต้องจัดการคู่ต่อสู้ของตนแบบเบ็ดเสร็จ จากนั้นก็จะสามารถไปช่วยเหลือมู่เฉินได้

เห็นได้ชัดว่าพวกเขายังไม่คิดว่ามู่เฉินสามารถเอาชนะหลิงจั้นจื่อได้

ด้วยความคิดนี้ซูมู่และฉู่เหมินก็ปลดปล่อยคลื่นหลิงออกมาเต็มพิกัด การโจมตีของพวกเขาคมชัดขึ้นในขณะนี้

“ฮ่าๆ คิดจะจัดการให้เร็วเพื่อไปช่วยไอ้เด็กเหลือขอนั่นเหรอ?” หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อเข้าใจความตั้งใจนี้ทันที พวกเขาจึงเอ่ยล้อเลียน

“ดูเหมือนว่าการอุ่นเครื่องของพวกข้า ทำให้แกคิดว่าพวกข้าเป็นคนอ่อนแอ ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกข้าก็จะแสดงให้เห็นว่าความจริงที่โหดร้ายนั้นเป็นอย่างไร!”

เผชิญหน้ากับการโจมตีรุนแรงของซูมู่และฉู่เหมิน หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อก็หัวเราะร่วน ขณะที่พวกเขาเริ่มการตอบโต้แรงขึ้น คลื่นหลิงบ้าคลั่งครอบคลุมทั่วบริเวณ ร่างทั้งสี่ปะทะกันอย่างดุเดือด

มู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับความผันผวนภายนอก

ความสนใจของเขามุ่งเน้นไปที่หลิงจั้นจื่อและร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ หลังจากที่หลิงจั้นจื่อควบคุมกองทัพล้านคนและหลอมรวมรัศมีจั้นยี่เชื่อมกับคลื่นหลิง ก็ทำให้ร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์เกิดการเปลี่ยนน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นจนถึงจุดที่มู่เฉินรู้สึกว่าเป็นอันตรายร้ายแรง

แม้แต่มู่เฉินก็ต้องยอมรับว่าหลิงจั้นจื่อเป็นคู่ต่อสู้ที่ต่อกรยาก

ฮา

มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกนั่งลงบนไหล่ของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ จากนั้นก็วาดกระบวนท่า เผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อที่ดุดัน เขาก็ต้องสู้เต็มที่แล้ว

หลิงจั้นจื่อมองมู่เฉินอย่างเฉยเมย เมื่อพลังของร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์พุ่งสูงขึ้นจนถึงขีดสุด ในที่สุดเขาก็เริ่มเคลื่อนไหว

เขาสะบัดแขนเสื้อ ร่างต้นจักรพรรดิก็ระเบิดออกมาด้วยแสงแวววาวนับไม่ถ้วน ก่อนที่จะเปิดปาก รัศมีจั้นยี่ไม่รู้จบก่อร่างเป็นเสาแสงขนาดใหญ่พุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า

ในเวลาเดียวกันลวดลายจั้นเหวินบนร่างกายมันก็แยกตัว ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าพุ่งเข้าใส่เสาขนาดใหญ่

เหมือนจะมีคลื่นทำลายล้างเล็ดลอดออกมาเลือนราง

ผู้ชมในจัตุรัสตกใจเมื่อเห็นเสาแสง แม้ว่าจะมองผ่านหน้าจอ พวกเขาก็ยังรู้สึกถึงความผันผวนที่น่ากลัว

ใบหน้าของหลิ่วซิงเฉินเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดกับฉากนี้ ตอนที่เขาพ่ายแพ้ หลิงจั้นจื่อยังไม่ได้ใช้กระบวนท่านี้ เห็นชัดที่มันไม่คิดว่าเขาหลิ่วซิงเฉินมีคุณสมบัติที่จะใช้

แต่นั่นหมายความว่ามู่เฉินจะตกอยู่ในอันตราย เนื่องจากหลิ่วซิงเฉินไม่คิดว่ามู่เฉินจะมีโอกาสเผชิญหน้ากับการโจมตีของหลิงจั้นจื่อ

สายตาประหลาดใจจ้องมองมาจากข้างนอก แต่หลิงจั้นจื่อกลับมองมู่เฉินอย่างไม่แยแส ก่อนที่ฝ่ามือจะเริ่มวาดตราประทับช้าๆ

ฮึ่ม!

เมื่อสร้างตราประทับเสร็จ เสาสูงตระหง่านก็เปลี่ยนเป็นดัชนีขนาดมหึมากำจายด้วยรัศมีโบราณ

ดัชนีนี้ดูสมจริงอย่างไม่น่าเชื่อ ครอบคลุมไปด้วยลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วน รัศมีจั้นยี่ที่เชี่ยวกรากกวาดไปทั่วสวรรค์และโลก แม้แต่ท้องฟ้าก็มืดและสั่นสะเทือนจากแรงกดดัน

สายตามืดครึ้มมองไปที่มู่เฉิน รอยยิ้มน่าขนพองสยองเกล้าผุดขึ้นตรงมุมปากของหลิงจั้นจื่อ อึดใจต่อมาเสียงของเขาก็ดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน

“ทักษะเทห์สวรรค์ ดัชนีจักรพรรดิฉีกฟ้า!”

“มู่เฉิน วันนี้เป็นวันตายของแก!”

ตู้ม!

เมื่อเสียงของเขาดังก้อง ชั้นเมฆก็ยุบตัวลงท้องฟ้าถูกฉีกขาด หลุมดำก่อตัวขึ้นพร้อมด้วยสะเก็ดมิติ ราวกับว่าดัชนีนี้สามารถทำลายทุกสรรพสิ่ง

บริเวณที่มู่เฉินยืนอยู่ก็ทรุดตัวลงเช่นกัน เขาเงยหน้าขึ้นมองไปทางดัชนีขนาดใหญ่ด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งเครียดลงหลายส่วน จากนั้นเขาก็หายใจลึกๆ ตราประทับในมือเปลี่ยนไปเร็วรี่

ฮึ่ม ฮึ่ม!

พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของตราประทับ ริ้วแสงสีม่วงทองก็รวมตัวกันในร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ก่อตัวเป็นรหัสสิบห้าลายในไม่กี่อึดใจ

เมื่อมองไปที่รหัสเทพ มู่เฉินก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะเขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อต้านกระบวนท่าของหลิงจั้นจื่อ ด้วยรหัสเทพอมตะสิบห้าลายเหล่านี้

ผลึกแสงวาววับในดวงตาของมู่เฉิน ก่อนที่เจดีย์ผลึกแก้วใสจะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจากภายในร่างกาย ดึงคลื่นหลิงของเขาออกมาเพื่อแปลงและทำให้แข็งแกร่งขึ้น

การดึงคลื่นหลิงอย่างบ้าคลั่ง ทำให้แม้แต่มู่เฉินยังรู้สึกเจ็บปวดจากกล้ามเนื้อ

แต่ภายใต้การสกัดที่รุนแรงนี้ แสงสีม่วงทองก็ระเบิดออกมาจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์พร้อมกับการก่อร่างของรหัสอมตะ

สิบหก…สิบแปด…ยี่สิบ…ยี่สิบสาม!

เมื่อก่อร่างรหัสเทพได้ยี่สิบสามลาย ดวงตาของมู่เฉินก็เริ่มมืดดำ ชัดว่าเขามาถึงขีดจำกัดแล้ว

“แต่…ก็น่าจะพอแล้ว”

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองดัชนี รหัสเทพอมตะยี่สิบสามลายเป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ในตอนนี้แล้ว

“มาดูกันว่าทักษะเทห์สวรรค์ของร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ของเจ้ากับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของข้า ใครจะยืนหัวเราะเป็นคนสุดท้าย!”

มู่เฉินพึมพำ จากนั้นด้วยเจตจำนง รหัสเทพยี่สิบสามลายก็พวยพุ่งออกมา ริ้วแสงสีม่วงทองทำให้เกิดประกายระยิบระยับไปทั่วขอบฟ้า ยามนี้รหัสเทพทั้งยี่สิบสามลายก่อตัวเป็นดัชนีเช่นกัน

“รหัสเทพอมตะ ดัชนีอมตะแปรเปลี่ยน!”

ขณะที่เสียงคำรามดังกึกก้องจากในหัวใจของมู่เฉิน ดัชนีก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยรัศมีลึกลับอันเป็นอมตะ จากนั้นก็ปะทะกับดัชนีขนาดใหญ่ที่กดลงมา ภายใต้สายตาหวาดผวานับไม่ถ้วน

ในเวลานี้แม้แต่เวลาก็เหมือนถูกแช่แข็ง

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท