หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1256

ตอนที่ 1256

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1256 พลังอำนาจของหลิงจั้นจื่อ
เงาจอมยุทธ์ทั้งหกยืนประจันหน้ากันในฟ้าดินกว้างใหญ่

พายุทรงพลังกวาดไปทุกทิศทาง ทำให้ท้องฟ้าถึงกับส่งเสียงครวญครางเบาบาง

แรงกดดันอันทรงพลังปกคลุมสวรรค์และโลก ทำให้บรรยากาศตึงเครียดจนถึงจุดที่แม้แต่เสียงโห่ร้องในจัตุรัสยังเงียบลงทันที

ทุกคนพุ่งมองไปที่หน้าจออย่างตื่นเต้น เนื่องจากพวกเขารู้ว่าหลังจากผ่านการคัดออกไปหลายครั้ง สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายก็มาถึงเวลาตัดสิน หนึ่งในหกคนนี้จะได้รับฉายานักรบแห่งทวีปไป

แต่เห็นได้ชัดว่าคนส่วนใหญ่โอนเอียงไปทางเทพจอมยุทธ์ทั้งสาม เพราะไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงหรือความสำเร็จ พวกเขาก็เหนือกว่าพวกมู่เฉิน

สำหรับมู่เฉินที่แทนตำแหน่งหลิ่วซิงเฉิน พวกเขาแค่คิดสั้นๆ และรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่มู่เฉินจะเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อแม้ว่าจะมีไพ่ตายไม่น้อย เพราะขนาดหลิ่วซิงเฉินยังแพ้ให้หลิงจั้นจื่อเลย

ดูเหมือนว่าแค่ตัดสินจากการรวมตัว เทพจอมยุทธ์ทั้งสามคนก็ชนะขาดแล้ว

“เฮ้อ… ดูเหมือนว่าพวกเขาสามคนจะกลับมามือเปล่าแล้ว” บางคนถอนหายใจ เทพจอมยุทธ์ตำหนักซีเทียนทรงพลังเกินไปและหาที่เปรียบไม่ได้ท่ามกลางจอมยุทธ์ขุมพลังเดียวกัน

“สรรพสิ่งในโลกล้วนไม่แน่นอน ใครจะรู้ว่าอาจมีเรื่องคาดไม่ถึงเกิดขึ้นก็ได้… มีเรื่องเหนือคาดมากมายเกิดในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายแห่งนี้แล้ว” แต่ก็มีคนที่มีมุมมองอื่นและไม่คิดว่าเทพจอมยุทธ์จะเป็นฝ่ายชนะแน่นอน เพราะต่อให้เทพจอมยุทธ์จะทรงพลัง แต่พวกมู่เฉินก็ไม่ใช่ว่าจะจัดการได้ง่ายๆ

“แต่ไม่ว่าอย่างไรการต่อสู้ครั้งนี้คงจะต้องเข้มข้นถึงใจ… แค่ไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนสุดท้ายที่ยืนหยัด”

ประโยคนี้ทำให้เหล่าผู้ชมสะท้อนไปด้วย เพียงแค่ความจริงที่ทั้งหกคนสามารถอยู่จนถึงวินาทีนี้ก็พิสูจน์ได้ว่าพวกเขาโดดเด่นขนาดไหน

บนท้องฟ้า

สายตาหกคู่จ้องมองกันพร้อมกับรัศมีเย็นเยือกเจาะกระดูกกำจายออกมา

“ฮ่าๆ ลูกหนูสามตัวมารวมกันที่นี่แล้วสินะ?”

หลิงเจี้ยนจื่อเอ่ยทำลายความเงียบขณะมองศัตรูคล้ายกับนักล่ามองเหยื่อ

“อย่าคิดว่าตัวเองเป็นนักล่าเสมอไป นอกจากนี้แม้แต่นักล่าก็ยังมีโอกาสถูกเหยื่อกัดตาย” ซูมู่ยกเปลือกตาขึ้นมองหลิงเจี้ยนจื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“โอ้? จริงเหรอ?”

หลิงเจี้ยนจื่อยักไหล่ ยิงฟันแสยะยิ้ม “ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็หักแขนขาของเหยื่อซะให้กุด เพื่อที่พวกมันจะไม่มีแรงตอบโต้”

ขณะที่หลิงเจี้ยนจื่อกกับซูมู่เชือดเฉือนวาจาใส่กัน ไอสังหารก็พวยพุ่งในดวงตา เห็นชัดว่าทั้งสองคนเป็นศัตรูคู่แค้นกันอยู่แล้ว

เมื่อหลิงเจี้ยนจื่อและซูมู่เผชิญหน้ากัน หลิงจั้นจื่อก็มองอย่างเฉยเมยมาที่มู่เฉินก่อนจะยิ้ม “ป้ายสัประยุทธ์ของหลิ่วซิงเฉินคงอยู่ในมือเจ้าใช่ไหม”

มู่เฉินพยักหน้าตอบรับอย่างนิ่งเรียบ

“เอามาให้ข้าแล้วไสหัวไป เจ้าเป็นคนที่เทพจักรพรรดิอัคคีเลือก ข้าไม่อยากให้เจ้าสร้างความอับอายขายหน้ากับตัวเองและเขา” หลิงจั้นจื่อแบมือออกแล้วยิ้มให้มู่เฉิน ทว่าไม่มีความอบอุ่นในรอยยิ้มมีแต่ความไม่แยแส

เผชิญหน้ากับสายตาไม่แยแส รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมู่เฉินจากนั้นส่ายหัว “ไม่”

“ฮ่าๆๆๆ!”

คำตอบง่ายๆ ของมู่เฉินทำเอาฉู่เหมินระเบิดเสียงหัวเราะสาแก่ใจ แม้ว่าคำพูดของหลิงจั้นจื่อจะฟังดูอ่อนโยน แต่การดูถูกเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ต้องโกรธ ทว่าการตอบกลับอย่างจริงจังของมู่เฉินได้เปลี่ยนการพูดจาครอบงำของหลิงจั้นจื่อเป็นมุกตลกไป

หลิงจั้นจื่อจ้องมองมู่เฉินพลางพยักหน้า “งั้นก็ห้ามโทษข้าที่ไม่ให้หน้าท่านเทพจักรพรรดิอัคคีซะล่ะ”

“การให้หน้าเทพจักรพรรดิอัคคี… บางทีจักรพรรดิสัประยุทธ์อาจมีคุณสมบัติที่จะพูดคำเหล่านั้น สำหรับเจ้า…แม้ว่าจะเป็นศิษย์ที่ได้รับการดูแลจากจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เหมือนฝุ่นเมื่อเทียบกับเขา” มู่เฉินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

มู่เฉินไม่ชอบน้ำเสียงเสแสร้งของหลิงจั้นจื่อ ดังนั้นเขาจึงหักหน้าไม่ยั้งโดยไม่คิดจะไว้หน้าอีกฝ่ายแต่อย่างใด

สำหรับหลิงจั้นจื่อการโต้แย้งของมู่เฉินปีนเกลียวน่าดู ดังนั้นเขาจึงจ้องเขม็งไปที่มู่เฉินครู่หนึ่งก่อนที่จะนวดหว่างคิ้วตัวเอง “ท่าทางแกรนหาที่ตายนะ”

เสียงของเขาสงบ แต่ใครๆ ก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารในคำพูดนี้

หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์ของหลิงจั้นจื่อ จากนั้นพวกเขาก็มองมู่เฉินด้วยความสงสาร นั่นเป็นเพราะพวกเขาเข้าใจในตัวหลิงจั้นจื่อเป็นอย่างดี เมื่อใดที่หลิงจั้นจื่อคิดจะสังหาร เขาก็จะนวดหว่างคิ้วตัวเอง และผลลัพธ์สุดท้ายของศัตรูเหล่านั้นก็น่าอนาถอย่างยิ่ง

อีกครู่มู่เฉินก็จะรู้ราคามหาศาลที่ต้องจ่ายสำหรับการท้าทายหลิงจั้นจื่อ

“เลือกคนเถอะ”

หลิงจั้นจื่อมองไปที่หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อก็พูดขึ้น

หลิงเจี้ยนจื่อหัวเราะก่อนจะทะยานไปยังภูเขาที่ห่างไกล รัศมีกระบี่คมกริบพุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับเสียงหัวเราะ “ซูมู่มาดูกันสิว่าเจ้าสามารถรักษาชื่อของตัวเองในฐานะกระบี่เทพไว้ได้ไหมหลังจากวันนี้!”

“คิดว่าข้ากลัวเรอะ?!”

ซูมู่เค้นเสียงก่อนที่ทะยานออกไปราวกับกระเรียนยักษ์ รัศมีกระบี่ที่ไร้ขอบเขตพุ่งตรงไปยังเทือกเขา

เมื่อเห็นว่าหลิงเจี้ยนจื่อปะทะซูมู่แล้ว สายตาของหลิงหลงจื่อก็กวาดไปที่ฉู่เหมินที่มีรูปร่างกำยำพลางยิ้ม “เราไปเล่นมั่งไหม?”

“ตามขอ!”

ฉู่เหมินทะยานออกไปพร้อมกับคลื่นหลิงรุนแรงอัดแน่นทั่วบริเวณ

หลิงหลงจื่อก็คำรามแล้วไล่ตามไป

ทั้งสี่หายไป ในป่ากว้างใหญ่ก็เงียบสงบเหลือเพียงมู่เฉินกับหลิงจั้นจื่อยืนเผชิญหน้ากัน ไอสังหารเริ่มก่อตัวในสายตาของพวกเขา

โฮก!

มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ นำกองทัพสังหารวิญญาณและกองทัพดับปีศาจออกมา จากนั้นก็กลั่นรัศมีจั้นยี่ก่อตัวเป็นวิญญาณสงครามเต่าดำ ควบคุมให้พุ่งเข้าใส่หลิงจั้นจื่อ

เผชิญหน้ากับวิญญาณสงครามเต่าดำที่ทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายธรรมดาหวาดกลัว หลิงจั้นจื่อกลับไม่มีระลอกคลื่นใดๆ ในสายตา เขายื่นมือออกมาพลางกระทืบฝ่าเท้าพื้นดิน เงาร่างทะยานออกไป

ตู้ม!

อึดใจเดียวเขาก็ไปปรากฏเบื้องหน้าวิญญาณสงครามเต่าดำ ฝ่ามือทั้งสองยื่นปะทะเข้าไปจังใหญ่

ปัง ปัง!

คลื่นกระแทกรุนแรงที่เกิดจากการเผชิญหน้าของพลังสองสายผันผวนไปทั่วบริเวณ

ดวงตาของมู่เฉินหดลง เนื่องจากเขาเห็นว่าหลิงจั้นจื่อราวกับหินผา ไม่ว่าวิญญาณสงครามเต่าดำจะปล่อยพลังรุนแรงยังไงก็ไม่สามารถผลักอีกฝ่ายกลับไปได้

แคว๊ก!

แขนเสื้อของหลิงจั้นจื่อฉีกขาดจากคลื่นกระแทกเผยให้เห็นรอยลึกนับไม่ถ้วนที่ปกคลุมแขน

เมื่อมองที่ร่องรอยเหล่านั้นหัวใจของมู่เฉินก็สั่นไหว เนื่องจากเขาพบว่านั่นคือลวดลายจั้นเหวินทั้งหมด!

ทว่าลวดลายจั้นเหวินที่ควรปรากฏในวิญญาณสงครามกลับเผยขึ้นบนร่างกายของหลิงจั้นจื่อ!

“เป็นเพราะคลื่นหลิงจั้นของจักรพรรดิสัประยุทธ์เรอะ?” ดวงตามู่เฉินกะพริบวูบไหว ว่ากันว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์สามารถหลอมรวมคลื่นหลิงของตนเองและรัศมีจั้นยี่ให้กลายเป็นคลื่นหลิงที่ไม่เหมือนใครหรือที่รู้จักในชื่อคลื่นหลิงจั้น!

ร่างของหลิงจั้นจื่อเล็กมากเมื่อเทียบกับวิญญาณสงครามเต่าดำขณะที่ทั้งสองปะทะกัน ลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วนแล่นแปลบปลาบบนแขนเขา จากนั้นเสียงคำรามก็ดังก้อง

“ไสหัวไป!”

ขณะที่เขาแผดเสียง แสงก็ระเบิดออก วิญญาณสงครามเต่าสีดำกระเด็นกลับมาสร้างรอยไถลหลายหมื่นจั้งบนพื้น

หลิงจั้นจื่อยืนบนอากาศพร้อมกับคลื่นหลิงที่น่าเกรงขามและดุร้ายซึ่งระเบิดออกจากร่างเขา ยามนี้เขาราวกับเทพสงครามก็มิปาน

สายตาของเขาวูบไหวขณะมองมู่เฉินพูดด้วยเสียงเย็น “เจ้ายังอ่อนไปที่คิดจะใช้รัศมีจั้นยี่กับข้า!”

พูดจบเขาก็ก้าวไปข้างหน้า ร่างกลายเป็นภาพมายาโจนตัวเข้าใส่มู่เฉิน

แต่เมื่อเขาอยู่ห่างจากมู่เฉินหนึ่งพันจั้ง คลื่นหลิงก็คำรามทั่วบริเวณ ค่ายกลขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้น มังกรเก้าตัวทะยานออกมา

ทว่าเผชิญหน้ากับค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร หลิงจั้นจื่อก็ไม่แสดงสัญญาณถอยกลับ เขาซัดหมัดลงไปบนมังกรทุกตัวที่ปรากฏเบื้องหน้า

ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

เสียงระเบิดดังก้อง ทุกเพลงหมัดของเขาทรงพลังน่าสะพรึงกลัว ทำให้มิติแตกสลาย มังกรถูกทำลาย

เมื่อหมัดที่เก้าแย็บออกไป ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก็ถูกทำลาย

ขณะนี้หลิงจั้นจื่อไร้เทียมทานยิ่งนัก!

ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดไปกับภาพตรงหน้า แม้ว่าเขาจะไม่ชอบหลิงจั้นจื่อ แต่ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายถือได้ว่าเป็นจอมยุทธ์ที่มีพลังอำนาจมากที่สุดในบรรดาระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายที่มู่เฉินเคยพบเจอ

เมื่อผู้ชมที่ภายนอกเห็นฉากนี้ พวกเขาก็ตะลึงงัน ชัดว่าตกใจกับการเคลื่อนไหวของหลิงจั้นจื่อที่ซัดวิญญาณสงครามเต่าดำถลาออกไป หลังจากนั้นก็เหวี่ยงหมัดจัดการมังกรอีกเก้าตัวเพื่อทำลายค่ายกล

ขณะนี้ในที่สุดพวกเขาก็รู้ว่าผู้นำในหมู่เทพจอมยุธ์ตำหนักซีทรงพลังเพียงใด!

แม้แต่ใบหน้าของลั่วเทียนเสินยังเต็มไปด้วยความกลัวและความกังวลในสายตา เขารู้ว่าการเผชิญหน้ากับหลิงจั้นจื่อ แม้แต่มู่เฉินก็ตกอยู่ในอันตราย

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท