หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1262

ตอนที่ 1262

บทที่ 1262 พลังอำนาจวิชาสามพิสุทธิ์
ปัง!

ร่างหลิงจั้นจื่อทะยานออกจากหลุม จากนั้นก็มองไปยังมู่เฉินด้วยความไม่อยากเชื่อ

เขาไม่เคยคิดว่าในวิกฤตสุดท้ายมู่เฉินจะปลดปล่อยคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตออกมาได้เช่นนี้!

สายตามองข้ามเส้นขอบฟ้าก่อนที่ดวงตาจะหยุดลงตรงไหล่ร่างสีม่วงทอง ฉับพลันรูม่านตาของเขาก็หดลง

นั่นเป็นเพราะภายใต้ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำมีเงาร่างสามร่างที่มีรูปลักษณ์เหมือนกันอยู่บนไหล่ร่างสีม่วงทอง!

มู่เฉินสามคน!

“ร่างดวงจิต?”

หลิงจั้นจื่ออุทานด้วยความไม่เชื่อ แต่ไม่ช้าเขาก็ลบล้างสิ่งนี้ออกไป เนื่องจากเขาสามารถรู้สึกได้ว่าความผันผวนของคลื่นหลิงจากเงาสีดำและสีขาวไม่ได้อ่อนแอไปกว่าร่างหลักอย่างมู่เฉิน!

เป็นไปไม่ได้ที่ร่างดวงจิตจะบรรลุถึงระดับนั้น

แต่ถ้าพวกเขาไม่ได้เป็นร่างดวงจิต แล้วพวกเขาจะเป็นอะไร? ตอนนี้แม้แต่หลิงจั้นจื่อยังรู้สึกสมองว่างเปล่าไปหมดแล้ว

ขณะที่ผู้คนนับไม่ถ้วนกำลังตกตะลึง มู่เฉินในชุดสีขาวก็ก้มมองหลิงจั้นจื่อด้วยรอยยิ้มบาง “คิดจะแย่งป้ายสัประยุทธ์…”

มู่เฉินในชุดสีดำยิ้มแจ่มใสพูดต่อ “เจ้าถามพวกข้ารึยัง?”

“แกสองคนเป็นใคร! ที่นี่ไม่อนุญาตให้มีคนมาช่วยจากภายนอก!” ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อเขียวคล้ำขณะที่พูด

เขาไม่สามารถยืนยันตัวตนของมู่เฉินชุดดำและชุดขาวได้ ดังนั้นเขาจึงบอกได้แค่ว่าพวกเขาเป็นความช่วยเหลือจากภายนอก… หรือว่าจะเป็นพี่น้องฝาแฝด?

เผชิญหน้ากับคำพูดของหลิงจั้นจื่อ มู่เฉินชุดดำและชุดขาวก็ยิ้มแล้วเหยียดมือออกแล้ววางลงบนไหล่ของมู่เฉิน ทันใดนั้นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตในร่างกายก็หลั่งไหลเข้าไปในร่างของมู่เฉิน

เมื่อคลื่นหลิงเทเข้ามาในร่าง ม่านตาที่หมองหม่นของมู่เฉินก็แวววาวขึ้นพร้อมกับคลื่นหลิงผันผวนทรงพลังที่ค่อยๆ กำจายออกมาจากร่างของเขา

เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่พลุ่งพล่านภายในร่างกาย มู่เฉินก็ยืนขึ้นมองหลิงจั้นจื่อที่กำลังตกตะลึงด้วยรอยยิ้มอ่อน “ดูเหมือนว่าแกไม่ใช่คนหัวเราะตอนจบนะ”

“แก!”

หลิงจั้นจื่อมองไปที่มู่เฉินที่ฟื้นพลังอย่างรวดเร็วด้วยความไม่อยากเชื่อ นั่นเป็นเพราะพลังงานในร่างกายของผู้อื่นอัดแน่นไปด้วยเจตจำนงของเจ้าของ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกดูดซับและใช้โดยผู้อื่น ทว่ามู่เฉินสามารถดูดซับคลื่นหลิงจากพรรคพวกทั้งสองเพื่อเติมเต็มตนเอง

นั่นหมายถึงว่าทั้งสามคนเป็นหนึ่งเดียว

พวกเขาไม่ได้มาจากภายนอก แต่เป็นสิ่งที่มู่เฉินสร้างขึ้น!

“แต่…เป็นไปได้ยังไง?” หลิงจั้นจื่อยังคงไม่เชื่อกับความจริงข้อนี้ ด้วยทักษะนี้หมายความว่ามู่เฉินสามารถแยกตัวออกเป็นสามคน โดยที่ทั้งสามคนมีขุมพลังเหมือนกันหรือ? หากเป็นเช่นนี้ถ้าใครต่อสู้กับมู่เฉิน ก็จะเท่ากับการเผชิญหน้ากับมู่เฉินที่ทรงพลังสามคนรึ?

แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ทำเอาหลิงจั้นจื่อปวดกบาล มู่เฉินแค่คนเดียวเขาก็ตึงมือไปหมดแล้ว แต่นี่มีมู่เฉินถึงสามคน เขาจะจัดการกับไอ้ตัวพวกนี้อย่างไร?

แม้อารมณ์จะแปรปรวน หลิงจั้นจื่อก็หายใจลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์ “ไม่คิดว่าแกจะยังคงมีไพ่ตายที่น่าตกใจอยู่บนในแขนเสื้อ… แต่ไม่รู้ว่านี่ดูปลอมและฉูดฉาดเกินไปหรือไม่!”

ไพ่ตายใบนี้น่ากลัวเกินกว่าจะยอมรับได้ ดังนั้นหลิงจั้นจื่อไม่มีทางเลือกนอกจากสงสัยว่ามู่เฉินกำลังเล่นเหลี่ยมอะไรกับเขาและพยายามข่มขู่คู่ต่อสู้ให้ยอมแพ้

สามมู่เฉินแลกเปลี่ยนสายตา รอยยิ้มประหลาดยกขึ้นบนริมฝีปาก “งั้นก็ต้องให้แกมาช่วยตรวจสอบหน่อยแล้วล่ะ”

ตู้ม!

หลังจากพวกเขาพูดจบก็เร้าพลังออกมาในเวลาเดียวกัน ร่างกลายเป็นลำแสงสามสายพุ่งเข้าหาหลิงจั้นจื่อ

เมื่อเห็นทั้งสามคนทะยานเข้ามา หลิงจั้นจื่อก็ไม่กล้าลังเล เขาผลักฝ่ามือออกไป คลื่นหลิงบรรจบกันในฝ่ามือราวกับพายุกลายเป็นมังกรคลื่นหลิงพุ่งเข้าหามู่เฉินทั้งสาม

ครืน!

มู่เฉินชุดดำและชุดขาววาดกระบวนท่าในเวลาเดียวกัน ผลึกคลื่นหลิงกวาดออกไป จากนั้นก็ปะทะกับมังกรคลื่นหลิง

ปัง!

ทั้งสองฝ่ายปะทะกันผลึกคลื่นหลิงก็แตกกระจาย ทำลายกระบวนท่าของหลิงจั้นจื่อ

“อะไรน่ะ?!”

เมื่อเห็นว่ากระบวนท่าถูกลบล้างไปทันที หลิงจั้นจื่อก็ตกใจ แม้ว่ามู่เฉินจะมีกลยุทธ์มากมาย แต่ก็ยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาดวลกันก็เป็นมู่เฉินที่ยากลำบากในแง่ของพลังงาน แต่เมื่อปะทะกันตอนนี้คนที่ลำบากกลับเป็นเขา

“บ้าเอ้ย นี่เป็นไปได้ยังไง?! แม้ว่าไอ้ชุดดำชุดขาวจะมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะมาร่วมมือกันลบล้างการโจมตีของข้าได้อย่างง่ายแบบนี้!”

หลิงจั้นจื่อเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายระยะปลายสุด ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสองคน ต่อให้เพิ่มอีกหลายคนก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเผชิญหน้ากับเขา แต่ตอนนี้เพียงมู่เฉินสองคนก็ทำสำเร็จ ทำให้เขาเสียเปรียบไป

“อย่าเพิ่งฟุ้งซ่านไปตอนนี้”

ขณะที่หลิงหลิงจั้นจื้อสติหลุด เสียงหัวเราะเบาๆ ก็ดังก้องจากด้านหลัง ร่างหลักมู่เฉินปรากฏตัวขึ้น เขาเหวี่ยงหมัดเรียบง่ายออกไป

“หมัดปีศาจพลีชีพ!”

คลื่นหลิงระเบิดออกทันทีพร้อมกับรัศมีเสียสละตนเองที่ทำให้หลิงจั้นจื่อรู้สึกว่าหนังหัวด้านชาไปหมด ทว่าเขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนกมาก เขากระแทกฝ่ามือออกไปพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขต ก่อนหน้านี้ต้องใช้มู่เฉินสองคนเพื่อทำลายการโจมตี แต่ตอนนี้มีมู่เฉินแค่คนเดียว

ปัง!

กำปั้นและฝ่ามือซัดกัน คลื่นหลิงรุนแรงที่สร้างหายนะก็กวาดออก แต่ทันทีที่ปะทะก็ทำให้ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อเปลี่ยนไปอย่างมาก เนื่องจากเขารู้สึกว่ามู่เฉินแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก!

คลื่นกระแทกกวาดออกไป ร่างของมู่เฉินก็สั่นไหวก่อนจะถอยกลับไปหลายก้าว ส่วนหลิงจั้นจื่อถึงกับสะบักสะบอมก้าวไปหลายสิบก้าวเลยทีเดียว ทิ้งรอยเท้าลึกลงไว้บนพื้นทุกย่างก้าว

“แก! แกแข็งแกร่งขึ้นแบบนี้ได้ยังไง?!” หลิงจั้นจื่อมองไปที่ร่างหลักของมู่เฉินด้วยความหวาดผวา คลื่นหลิงของมู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่าจากตอนเริ่มการต่อสู้!

มู่เฉินยิ้ม หลังจากที่ร่างรองของเขามาถึง พวกเขาก็สร้างการเชื่อมโยงเข้าด้วยกันเพื่อให้หนึ่งในนั้นสามารถปลดปล่อยพลังของทั้งสามคนรวมกันได้ บวกกับที่ร่างหลักและร่างรองของเขาเชื่อมต่อกันในระดับลึกการขยายคลื่นพลังก็ยิ่งน่าตกใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวที่จะปะทะกับหลิงจั้นจื่อในแง่ของคลื่นพลังงานอีกต่อไป

ตู้ม!

ทว่าไม่จำเป็นที่มู่เฉินต้องบอกอะไรกับหลิงจั้นจื่อ เมื่อคิดมู่เฉินทั้งสามก็กระโจนออกมาพร้อมด้วยคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขต ห่อหุ้มหลิงจั้นจื่อเอาไว้

แม้ว่าหลิงจั้นจื่อจะใช้ทุกอย่างที่มี แต่เขาก็ยังต้องถอยจากการต่อสู้กับมู่เฉินทั้งสามอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดูน่าอนาถและเสียเปรียบนัก

ปัง!

การปะทะกันของคลื่นพลังงานเกิดขึ้นอีกครั้ง หลิงจั้นจื่อกระเด็นออกไป ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปรุนแรง ก่อนที่เขาจะตะเบ็งเสียงลั่น “หลิงเจี้ยนจื่อ หลิงหลงจื่อมาช่วยข้าตอนนี้เลย!”

ในเวลานี้เขาไม่สนใจกับชื่อเสียงแล้ว เขาได้แต่หวังว่าหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อจะมารวมพลังจัดการกับมู่เฉินร่วมกับเขาได้

เมื่อหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อได้ยินเสียงแผดลั่น ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป จากนั้นกัดฟันเตรียมจะพุ่งไปให้ความช่วยเหลือ เพราะพวกเขารู้ว่าถ้าหลิงจั้นจื่อแพ้ พวกเขาก็จะไม่สามารถขัดขวางมู่เฉินได้

ทว่าซูมู่และฉู่เหมินก็เข้ามาขัดขวางทันควัน เมื่อพวกเขากำลังจะไปช่วย

“ฮ่าๆ ถามพวกข้ายังว่าจะให้ไปรึเปล่า?” ซูมู่และฉู่เหมินรู้สึกดีจนแทบบ้า เนื่องจากก่อนหน้านี้พวกเขาถูกทั้งสองเยาะเย้ย แต่เมื่อเห็นสถานะปัจจุบันพวกเขาก็รู้สึกสะใจอย่างมาก

หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อไม่ได้พูดอะไร แต่การโจมตีดุเดือดขึ้นทันที ตอนนี้พวกเขาไม่สนใจที่จะเก็บงำปล่อยไพ่ตายทั้งหมดออกมา ทำให้สามารถปราบซูมู่และฉู่เหมินไว้ แต่ทั้งสองก็กัดฟันรับแรงกดดันพยายามขัดขวางแม้จะต้องจ่ายด้วยราคาบาดเจ็บหนัก

อีกฝั่งสถานการณ์ของหลิงจั้นจื่อก็อันตรายอย่างยิ่ง

ตู้ม!

พายุคลื่นหลิงกวาดออกไป เส้นผมของหลิงจั้นจื่อยุ่งเหยิงไปหมด รอยเลือดไหลออกมาจากมุมปาก ขณะเขามองไปที่มู่เฉินทั้งสามที่ย่างสามขุมเข้ามาหา ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันที คล้ายกับสัตว์ที่ถูกบีบให้จนมุม

“มู่เฉิน ต่อให้วันนี้ข้าจะต้องพ่ายแพ้ ข้าก็ไม่ยอมให้แกมีช่วงเวลาดีๆ แน่!”

หลิงจั้นจื่อคำราม ริ้วโหดเหี้ยมวาววับในดวงตา เขากัดลิ้นเลือดกลั่นพุ่งออกมา ก่อตัวเป็นเปลวไฟสีแดงเข้มห่อหุ้มเขาไว้

ฟู่ ฟู่!

เปลวไฟเหล่านั้นจุดชนวนเลือดในร่างกายอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างเขาลุกโชติช่วง คลื่นหลิงรุนแรงพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับสัญญาณควัน

“จุดชนวนแก่นเลือด?”

สายตาของมู่เฉินกะพริบกับฉากตรงหน้า หลิงจั้นจื่อเป็นคนที่โหดเหี้ยมไม่เพียงแต่กับศัตรู แต่กลับตนเองก็เช่นกัน การที่เขาจุดชนวนแก่นเลือดก็หมายความว่าจะใช้เวลาอีกนานสำหรับเขาที่จะกู้คืนสภาพเดิม นอกจากนี้ยังทิ้งผลกระทบไว้เบื้องหลัง ขัดขวางการพัฒนาในอนาคต

“มู่เฉิน แกต้องออกจากสนามรบไปกับข้า! ตำแหน่งนี้จะต้องเป็นของตำหนักซีเทียนเท่านั้น!”

หลิงจั้นจื่อหัวเราะราวกับคลุ้มคลั่ง เขาละทิ้งชีวิตเพื่อลากมู่เฉินออกจากสนามรบ เมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อที่จะเอาชนะซูมู่และฉู่เหมิน

ตู้ม!

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตครางกระหึ่มรอบร่างหลิงจั้นจื่อก่อตัวเป็นพายุทอร์นาโด เขาดูราวกับเทพปีศาจ สายตาจับจ้องไปที่มู่เฉิน ทันใดนั้นเขาก็วาดตราประทับแล้วซัดหมัดออกมา

“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็ม หมัดจักรพรรดิสัประยุทธ์!”

เมื่อเขาเหวี่ยงกำปั้นออกไป ท้องฟ้าก็มืดมิด กระทั่งเหล่าผู้ชมในจัตุรัสยังมีสีหน้าเปลี่ยนไปมาก หมัดนั่นเป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของหลิงจั้นจื่อ นอกเหนือจากการใช้ร่างเทห์สวรรค์!

เห็นได้ชัดว่าหลิงจั้นจื่อถูกบีบเข้ามุมอับแล้ว

ทว่าขณะที่หลายคนเปลี่ยนสีหน้า พวกเขาก็เห็นมู่เฉินซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าหลิงจั้นจื่อส่งเสียงหัวเราะก้องฟ้า จากนั้นก็ก้าวออกมาขณะที่ร่างรองทั้งสองถอยกลับไป แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะดูสบายๆ แต่พวกเขาก็สร้างค่ายที่ลึกซึ้งขึ้นทันที

มู่เฉินก้าวไปข้างหน้า ราวกับเมินเฉยต่อหมัดของหลิงจั้นจื่อ เสียงเขาดังก้องท่ามกลางพายุที่กวาดล้างฟ้าดิน

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ให้แกเป็นคนแรกที่เสียสละทดลองค่ายกลรบสามกำลังซะเลย!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท