หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1261

ตอนที่ 1261

บทที่ 1261 ปรากฏ
ตู้ม ตู้ม!

เสียงคำรามของหลิงจั้นจื่อดังก้องราวกับฟ้าฟาดทั่วมิติ พร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตถูกปลดปล่อยอย่างต่อเนื่อง ทำให้มิติโดยรอบผันผวน

ยามนี้ดวงตาของหลิงจั้นจื่อเปล่งประกายแวววาวและดูไม่อ่อนล้าเหมือนเมื่อครู่อีก เห็นได้ชัดว่าเขาใช้ประโยชน์จากการสังเวยการต่อสู้เพื่อฟื้นฟูคลื่นหลิงของตนเอง

พลังงานที่หมดไปเติมเต็มร่างกายของเขาอีกครั้ง

หลิงจั้นจื่อยืนอยู่บนร่างต้นจักรพรรดิสัประยุทธ์จ้องมองไปที่มู่เฉิน ในที่สุดเขาก็เอาชนะได้ในนาทีสุดท้าย เพราะตอนนี้มู่เฉินที่เหนื่อยล้า ไม่เป็นอันตรายในสายตาเขาแล้ว

ผู้ชมส่ายหน้า ใครจะคิดว่าหลิงจั้งจื่อยังมีทักษะนี้ทำให้พลิกสถานการณ์พลิกกลับมาได้อีกครั้ง

“หลิงจั้นจื่อเหี้ยมจริงๆ เขายอมจ่ายราคาดังกล่าวเพื่อตำแหน่ง” บางคนถึงกับถอนหายใจ

“ราคาแค่นั้นไม่นับเป็นอะไรได้ ตราบใดที่เขาเป็นนักรบทวีปและได้รับการชำระด้วยพลังงานทวีปของทวีปซีเทียนก็จะเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงระดับเทียนจื้อจุน เมื่อเปรียบเทียบแล้ว กองทัพล้านคนก็ไม่นับเป็นอะไรหรอก”

“แต่ถ้าแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเป็นเกียรติอะไรแม้เขาจะชนะ มู่เฉินเสียเปรียบตั้งแต่เข้าร่วมในสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายด้วยพลังขั้นต้น ตอนนี้หลิงจั้นจื่อยังใช้วิธีขี้โกงเช่นนี้อีก” ก็เป็นปกติที่จะมีคนรู้สึกไม่ยุติธรรมสำหรับมู่เฉิน เพราะพลังที่อีกฝ่ายแสดงออกมาก่อนหน้าทำให้หลายคนยอมรับเขาแล้ว

“ลิขิตฟ้ามักโหดร้าย ในโลกนี้ไม่มีความยุติธรรม… แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่มู่เฉินจะมาไกลขนาดนี้ด้วยขุมพลังของเขา พรสวรรค์และพลังของเขาจะสร้างโอกาสในอนาคตอย่างแน่นอน”

“…”

ในขณะที่เสียงหลากหลายดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ผู้คนก็อดเสียดายแทนมู่เฉินไม่ได้ เขามีศักยภาพที่ลากทึ้งหลิงจั้นจื่อลงมาจากเจ้าเหนือหัวในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายของทวีปซีเทียน แต่น่าเสียดายที่เขาล้มเหลวในที่สุด

“ดูเหมือนพวกแกจะไม่มีโอกาสแล้ว” มองไปที่หลิงจั้นจื่อ หลิงเจี้ยนจื่อก็ยิ้มเยาะให้กับซูมู่

ใบหน้าของซูมู่มืดครึ้ม เป็นเรื่องเหนือคาดที่มู่เฉินสามารถบรรลุผลสำเร็จได้ขนาดนี้ ทว่าก็ไม่มีใครคิดว่าหลิงจั้นจื่อเหี้ยมเกรียมปานนี้

“ไม่ได้ตำแหน่งก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็สามารถทำลายความเย่อหยิ่งของพวกแกได้ หึ พี่ใหญ่เทพจอมยุทธ์ ศิษย์เอกของจักรพรรดิสัประยุทธ์ถูกบีบให้มาถึงจุดนี้โดยจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น ข้าจะดูสิว่าพวกแกจะยังกล้าผยองต่อชื่อเสียงตัวเองในอนาคตหรือไม่” ซูมู่เค้นเสียงเยาะ

ดวงตาของหลิงเจี้ยนจื่อจมลงในความโกรธ เขารู้ว่าคำพูดของซูมู่ไม่ผิด แม้ว่าหลิงจั้นจื่อจะชนะมู่เฉินในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่นั่นจะไม่เพิ่มชื่อเสียงของเขา กลับฉายแสงให้มู่เฉินแทน

เพราะเป็นเรื่องตกตะลึงมากที่มู่เฉินทำสิ่งนี้สำเร็จด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น

“ผู้ชนะก็คือผู้ชนะ ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร ผลลัพธ์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง” หลิงเจี้ยนจื่อเย้ยหยัน

ขณะที่ทั้งสองเปิดศึกน้ำลายใส่กัน มู่เฉินก็มองหลิงจั้นจื่อ เขาอดไม่ได้ที่จะเบะปาก หลิงจั้นจื่อจัดการยากเย็นจริงๆ

เพื่อจัดการกับคนผู้นี้ มู่เฉินควักไพ่ตายออกมาเกือบหมดแล้ว แต่เขาก็ยังไม่สามารถมีชัยเหนือกว่าได้ ไม่แปลกใจเลยที่หลิงจั้นจื่อเป็นเทพจอมยุทธ์อันดับหนึ่ง ชายคนนี้มีปัจจัยที่โดดเด่นนัก

“สมกับถูกสอนโดยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน” มู่เฉินถอนหายใจ

“ขอบคุณสำหรับคำชม แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ต้องเชิญแกออกจากสนามนี้” หลิงจั้นจื่อตอบอย่างไม่แยแส ตอนนี้เขาปฏิบัติต่อมู่เฉินอย่างจริงจังและรู้สึกครั่นคราม ดังนั้นจึงไม่มีน้ำเสียงดูถูกที่เคยมีอีกแล้ว

ตู้ม!

หลังจากสะบักสะบอมจากน้ำมือมู่เฉิน หลิงจั้นจื่อก็ฉลาดพอที่จะไม่ให้เวลามู่เฉินอีกต่อไป เขากระแทกฝ่าเท้า คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ระเบิดออก ก่อตัวเป็นภาพมายาก่อนจะทะยานออกไป

ทุกคนบอกได้เลยว่าหลิงจั้นจื่อต้องการยุติการต่อสู้แล้ว!

ลำแสงวาบผ่านไปพร้อมด้วยคลื่นหลิงไร้ขอบเขตครอบคลุมพื้นที่ เพียงอึดใจเดียวเงาร่างของหลิงจั้นจื่อก็มาปรากฏต่อหน้ามู่เฉินซึ่งอยู่บนบ่าของร่างเทพสุริยะนิรันดร์

ตอนนี้คลื่นหลิงของมู่เฉินหมดลงอย่างสมบูรณ์ ร่างเทพสุริยะนิรันดร์จึงสูญเสียความสุกสว่าง ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป ดังนั้นเมื่อหลิงจั้นจื่อปรากฏตัวต่อหน้าก็ไม่ได้ทำการโจมตีใดๆ

“เอาป้ายสัประยุทธ์มา!”

หลิงจั้นจื่อคำรามเสียงเย็นพร้อมกับฝ่ามือกระแทกออกไป ทำลายมิติพุ่งไปที่หน้าอกของมู่เฉิน

แม้ว่ามู่เฉินดูเหมือนจะไม่มีพลังในการตอบโต้ แต่หลิงจั้นจื่อก็ยังระวัง ตัดสินใจใช้เพลงฝ่ามือจัดการมู่เฉินให้ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

เฮ้อ เฮ้อ

ทุกคนถอนหายใจกับฉากนี้ ดูเหมือนว่าคราวนี้มู่เฉินจะแพ้แล้ว

ฝ่ามือขยายใหญ่ในดวงตาของมู่เฉิน แต่เขาไม่ได้ตกใจอะไร บนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มจางๆ แทน

เมื่อเห็นรอยยิ้มนั่น ม่านตาของหลิงจั้นจื่อก็สั่นกระเพื่อม ความไม่สบายใจเพิ่มขึ้นในหัวใจ แต่ในฐานะจอมยุทธ์ที่เหี้ยมและเด็ดขาด เขาก็อัดคลื่นหลิงในร่างกายลงไปเพิ่ม ฝ่ามือก็ยิ่งคมชัดมากขึ้น ไม่ว่ามู่เฉินจะเคลื่อนไหวหรือไม่ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหนีจากโจมตีของคลื่นหลิงในระยะแค่นี้

ตึง!

มิติผันผวน พริบตาฝ่ามือของหลิงจั้นจื่อก็ปรากฏเบื้องหน้ามู่เฉิน ทว่าขณะกำลังจะปะทะกับหน้าอก ฉับพลันก็มีมือข้างหนึ่งเหยียดออกกระแทกใส่กับฝ่ามือของหลิงจั้นจื่อ

ตู้ม!

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตแปรปรวน ร่างกายของหลิงจั้นจื่อก็สั่นไหว ฝ่ามือถูกปิดกั้น แต่ไม่รอให้เขาตั้งสติ ลูกเตะที่มาพร้อมกับคลื่นหลิงก็พุ่งเข้าหาหน้าอกเขา

ปัง!

อากาศโดยรอบแตกออก หลิงจั้นจื่อที่ไม่ทันตั้งตัวก็ปลิวถลาไปบนพื้น ทำให้เกิดรอยแยกขนาดใหญ่ทุกที่ที่ผ่าน

การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นโดยฉับพลัน ดังนั้นหลังจากที่หลิงจั้นจื่อกระเด็นออกไปไกล ผู้ชมถึงได้หายจากอาการตกใจ ใบหน้าก็อัดแน่นด้วยความหวาดผวา

“เกิดอะไรขึ้น?”

“มู่เฉินยังมีคลื่นหลิงที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ยังไง?!”

ความปั่นป่วนเกิดขึ้น สายตาไม่อยากเชื่อมองไปยังมู่เฉิน เมื่อเห็นทั่วทั้งจัตุรัสก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ

ทุกคนอ้าปากตาค้างด้วยความตกใจราวกับว่าเห็นผี

เนื่องจากพวกเขาเห็นร่างเงาสองร่างยืนจังก้าอยู่ข้างมู่เฉิน ร่างในชุดสีดำและสีขาวกำจายคลื่นผันผวนทรงพลังรอบตัว

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงที่สุด ไม่ใช่คลื่นหลิงที่ผันผวน แต่เป็นเพราะทั้งคู่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมู่เฉินเปี๊ยบ!

“นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

“ทำไมมีมู่เฉินเพิ่มอีกสองคน! พวกเขาเป็นพี่น้องแฝดกันหรือ?”

“ไร้สาระ พวกเขาต้องเป็นร่างดวงจิตแน่!”

“เป็นไปได้ยังไง?! มู่เฉินอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น เขาจะสร้างร่างพิมพ์ในระดับเดียวกับตัวเขาได้ยังไง!”

“…”

ความปั่นป่วนเกิดขึ้น ทุกคนมีความไม่เชื่อเขียนบนใบหน้า พวกเขาตกตะลึงกับฉากนี้ ตอนแรกพวกเขาคิดว่าการต่อสู้จะจบลงแล้ว แต่ใครจะคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น…

หลิ่วซิงเฉินก็ผงะไปกับฉากนี้ โดยธรรมชาติเขาไม่เชื่อว่าร่างทั้งสองที่คล้ายคลึงกันนั่นจะเป็นพี่น้องแฝดของมู่เฉิน ดังนั้นใจเขาเอนเอียงไปยังแนวคิดเรื่องร่างดวงจิต แต่ที่เขาไม่เข้าใจคือทำไมร่างดวงจิตของมู่เฉินถึงได้ทรงพลังเพียงนี้…

นอกจากนี้ร่างดวงจิตก็ดูสมจริงมาก! พวกเขาไม่ได้แตกต่างจากร่างหลักเลย!

ภายใต้ความปั่นป่วนใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ตื่นตะลึง ก่อนที่เขาจะผุดลุกขึ้นยืนมองดูเงาร่างทั้งสองในทันที

บางทีคนอื่นคงไม่สามารถบอกอะไรได้ แต่เขาในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ดังนั้นเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าทั้งสองไม่ได้เป็นร่างดวงจิต แต่เป็นร่างจริง!

นอกจากนี้ทั้งสามยังมีรัศมีเดียวกัน กระทั่งคลื่นหลิงก็เหมือนกัน ร่างทั้งคู่นั่นไม่มีร่องรอยของการเป็นร่างดวงจิตเลย!

การที่ร่างดวงจิตสมจริงเช่นนี้เป็นสิ่งที่มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่ทำได้ แต่มู่เฉินเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น!

นอกจากนี้พลังของร่างดวงจิตที่สร้างโดยคลื่นหลิงก็จะด้อยกว่าร่างหลักอย่างแน่นอน แต่ร่างดวงจิตของมู่เฉินนั้นมีขุมพลังเหมือนกับร่างหลัก!

นี่คือสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังทำไม่ได้!

เทพจักรพรรดิอัคคีเงยหน้ามองไปที่ร่างเงาของมู่เฉินในเวลานี้ เขาเบ้ปากถอนหายใจในใจ “ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะประสบความสำเร็จในการฝึกได้จริงๆ…”

“หลายหมื่นปีต่อมา ในที่สุดวิชาสามพิสุทธิ์ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง”

เขารู้อยู่ในเรื่องที่มู่เฉินได้รับมรดกของจักรพรรดิฟ้า รวมถึงวิชาสามพิสุทธิ์ที่เป็นคัมภีร์ระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็สามารถฝึกฝนได้ แต่มู่เฉินทำสิ่งนี้สำเร็จ

เมื่อมองไปที่เงาทั้งสามเซียวเหยียนก็หันไปมองจักรพรรดิสัประยุทธ์ตามด้วยเสียงหัวเราะ ทำเอาใบหน้าอีกฝ่ายอดกระตุกไม่ได้

“ดูเหมือนว่าปาฏิหาริย์ยังคงปรากฏในตอนท้ายเสมอ… ฮ่าๆ ข้าต้องขอบคุณจักรพรรดิสัประยุทธ์แทนมู่เฉินกับรางวัลใหญ่ครั้งนี้ด้วย”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท