หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1266

ตอนที่ 1266

บทที่ 1266 พลังอำนาจของลั่วหลี
ร่างเงาก่อตัวขึ้นด้านหลังลั่วหลี

แสงพริบพราวมหาศาลระเบิดออกรวมตัวกันเป็นเงาร่างตระการตา

ร่างเงานั้นดูเหมือนกับลั่วหลีทุกประการ เพียงแค่มีรัศมีเทพที่ทำให้นางดูราวกับเทพธิดาก็มิปาน

ร่างเงานั้นมีความงดงามหาที่เปรียบมิได้ราวกับว่าคือความงามของโลก

เมื่อแสงแวววาวไร้ขอบเขตระเบิดออกมา ก็ทำให้การโรมรันพันตูโดยรอบสงบลง สายตามั่วเมานับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปที่หญิงสาวที่มีเรือนผมสีเงินยวง

“ช่างเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่งดงามจริงๆ”

ผู้คนนับไม่ถ้วนพึมพำ

แม้แต่เทพจักรพรรดิอัคคีและจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ยังอึ้งไปในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่พวกเขาจะถอนหายใจ “สมกับเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่ลือกันว่างดงามที่สุดในโลก”

ร่างเทพวารีมีชื่อเสียงด้านความงามมาตั้งแต่โบราณกาล

ว่ากันว่ามีข้อกำหนดเข้มงวดในการฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์นี้ ประการแรกผู้ฝึกจะต้องเป็นสาวพรหมจารีพร้อมด้วยพรสวรรค์และรูปลักษณ์ที่ไม่มีใครเทียบได้

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้รับการปลูกฝังแล้ว ร่างเทห์สวรรค์และร่างผู้ฝึกก็จะเปลี่ยนไป

ในสมัยโบราณลั่วเสินพึ่งพิงสิ่งนี้ขึ้นเป็นเทพธิดาแห่งมหาพันภพโดยมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่โดดเด่นมากมายอยู่ใต้อาณัติของนาง ดังนั้นสามารถบอกได้ว่าเทพธิดาแห่งมหาพันภพเปี่ยมเสน่ห์แค่ไหน

ดังนั้นแม้กระทั่งจอมยุทธ์อย่างเทพจักรพรรดิอัคคีและจักรพรรดิสัประยุทธ์ยังอดไม่ได้ที่จะร้องอุทานด้วยความชื่นชม เมื่อพวกเขาเห็นร่างเทห์สวรรค์ของลั่วเสินนี้

ขณะที่พวกเขาร้องอุทานชื่นชม ดวงตาของทุกคนก็จ้องมองหญิงสาวด้วยความมึนเมา อดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำว่า “งดงามจริงๆ”

ขณะที่ทุกคนกำลังปลาบปลื้มกับร่างเทพวารีที่น่าทึ่ง

หลิงเฟยจื่อก็กัดริมฝีปากแน่นมองไปที่ลั่วหลีด้วยความอิจฉาตาร้อน

“ร่างเทพวารี? หึ ก็เป็นแค่ร่างเทห์สวรรค์ที่ชนะแค่รูปลักษณ์ภายนอก ไม่คู่ควรกับอันดับเลย!” หลิงเฟยจื่อเอ่ยเยาะเย้ย

บนตารางทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง ร่างเทพวารีอยู่ในอันดับที่สิบเอ็ดซึ่งเป็นการจัดอันดับที่น่ากลัวอย่างยิ่ง เพราะร่างเทห์สวรรค์ระดับนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่ตำหนักซีเทียนก็ไม่ได้ครอบครอง

ฮึ่ม!

ยามนี้หลิงเฟยจื่อไม่ต้องการให้ลั่วหลีได้รับความสนใจทั้งหมด ดังนั้นนางจึงวาดตราประทับ ทันใดนั้นแสงหลิงนับไม่ถ้วนก็ระเบิดออกมา ก่อร่างเวทสวรรค์ขึ้น

น่าตกใจนักที่ร่างเวทสวรรค์ของหลิงเฟยจื่อก็มีรูปร่างเหมือนสตรีที่มาพร้อมกับดวงจันทร์สุกสกราวประดับอยู่ด้านหลังศีรษะ

“นี่คืออันดับที่สามสิบในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง…ร่างมหาจักรพรรดินีรึ?!”

เมื่อหลิงเฟยจื่อเรียกร่างเทห์สวรรค์ออกมาก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนทันที แม้ว่าอันดับร่างนี้จะด้อยกว่าร่างเทพวารี แต่ก็มีชื่อเสียงอย่างเหลือเชื่อ เนื่องจากอยู่ในอันดับสามสิบ! ซึ่งเป็นสิ่งที่มีเพียงตำหนักซีเทียนเท่านั้นที่จะครอบครองได้

หลิงเฟยจื่อยืนบนร่างมหาจักรพรรดินีพลางก้มมองลั่วหลีด้วยสายตาเย็นชาเอ่ยเย้ยหยัน “วันนี้ข้าจะให้ทุกคนเห็นว่าร่างเทพวารีของเจ้าเป็นเพียงเปลือกเปล่าไม่มีพลังอะไร!”

ฮึ่ม!

โดยไม่ลังเล ฝ่าเท้าของนางก็แตะลงไป ดวงจันทร์ที่แขวนอยู่ด้านหลังร่างมหาจักรพรรดินีก็ระเบิดแสงจันทร์มหาศาล

แสงจันทร์พุ่งทะลุผ่านมิติกวาดไปที่ร่างเทพวารี ในเส้นทางผ่านของแสงที่ดูอ่อนโยนกลับทิ้งร่องรอยมากมายไว้

ขณะที่แสงจันทร์บรรจุด้วยไอสังหารครอบคลุมพื้นที่ ลั่วหลีก็เงยหน้ายกมือขึ้นเบาๆ ร่างเทพวารียกมือขึ้น กลุ่มแสงหลิงเข้มข้นแตกออกเป็นกลีบดอกไม้นับไม่ถ้วน

เมื่อกลีบดอกไม้เหล่านั้นล่องลอยไปมาและสัมผัสกับแสงจันทร์ กลีบดอกไม้ก็กลายเป็นดอกไม้ตูมล้อมแสงจันทร์เอาไว้

ในเวลานี้ภาพกลีบดอกไม้ตระการตาฉายบนท้องฟ้า

ผู้คนอุทานออกมาในการเผชิญหน้าที่สวยงามเช่นนี้ แต่พวกเขารู้ว่านี่อันตรายแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นกลีบดอกไม้หรือแสงจันทร์ก็เต็มไปด้วยไอมรณะอย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่อหลิงเฟยจื่อเห็นว่าลั่วหลีสามารถแก้ไขการโจมตีของนางได้อย่างง่ายดาย ใบหน้านางก็ดิ่งลงหลายส่วน แม้ว่าหัวใจจะเต็มไปด้วยความอิจฉา แต่นางก็ไม่ใช่คนโง่ การปะทะก่อนหน้าทำให้นางเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นแล้ว

“ดูเหมือนว่าทักษะทั่วไปจะไม่สามารถทำอะไรกับนางได้”

หลิงเฟยจื่อขบฟันพร้อมกับไอเย็นยะเยือกวาบผ่านในดวงตา นางไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างมหาจักรพรรดินียื่นมือเรียวบางออกมา ทว่าไม่ได้เคลื่อนที่ไปในทิศทางของลั่วหลี แต่เอื้อมไปยังดวงจันทร์ที่ส่องสว่างอยู่ด้านหลัง

เมื่อมือสัมผัสกับดวงจันทร์รัศมีเย็นเยือกน่าอัศจรรย์ก็ปะทุออกมา ราวกับอาวุธเทพที่สามารถแยกสวรรค์และโลกออกเป็นสองส่วน

คว้าดวงจันทร์อยู่ในมือ หลิงเฟยจื่อก็วาดกระบวนท่าเร็วรี่ก่อนที่เสียงเย็นจะเปล่งสะท้อนออกมา “ทักษะเทห์สวรรค์ เทพธิดาจันทรา!”

ชี่!

ร่างมหาจักรพรรดินีกุมดวงจันทร์ไว้แล้วเหวี่ยงลง แสงจันทร์ปกคลุมทั่วบริเวณ รัศมีใบมีดกว้างนับหมื่นจั้งพวยพุ่งออกมาจากดวงจันทร์ซัดเข้าใส่ลั่วหลี

ภายใต้รัศมีแหลมคม กระทั่งมิติก็ถูกเฉือนแยกออกเป็นชิ้นๆ จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนรู้สึกถึงความเย็นเยือกเจาะกระดูก ใบหน้าของแต่ละคนเปลี่ยนไป

รัศมีคมชัดราวกับสายฟ้าฟาด ปรากฏที่เบื้องหน้าร่างเทพวารีในอึดใจต่อมา

ลั่วหลียังคงมีท่าทางสงบนิ่งโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้จะเกิดการโจมตีที่น่ากลัว ความสง่างามนี้ทำให้นางดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น

เมื่อรัศมีคมชัดฟันลงมา ร่างเทพวารีก็วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว แสงหลิงระเบิดออกที่เบื้องหน้า แม่น้ำระยิบระยับไหลลงไปเกิดเป็นคลื่นเชี่ยวกรากปะทะกับรัศมีคมชัด

ปัง!

แผ่นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น คลื่นถูกฉีกออกขณะที่รัศมีแหลมคมก็แตกสลายไป

แววตาของหลิงเฟยจื่อเย็นเยือกลง นางหมุนมือ อึดใจต่อมารัศมีแหลมคมหลายร้อยสายก็ระเบิดออกมาราวกับพายุฝนที่มาพร้อมกับไอสังหารล้อมรอบลั่วหลี

ซ่า ซ่า!

คลื่นที่ไม่มีที่สิ้นสุดของแม่น้ำแสงยังคงไหลออกมาจากมือร่างเทพวารีแล้วรวมตัวกัน ก่อร่างเป็นแม่น้ำที่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่ารัศมีคมชัดจะเฉือนลงมาอย่างไร ก็ถูกคลื่นซัดทำลายจนไม่เหลือหลอ

ในเวลาไม่กี่นาทีหลิงเฟยจื่อก็ปล่อยกระบวนท่านับร้อยแล้ว แต่ละครั้งก็สามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้เลยทีเดียว

แต่สุดท้ายการโจมตีเหล่านั้นก็ไม่สามารถเจาะผ่านแม่น้ำที่ปกคลุมรอบร่างเทพวารีได้

สายตาตกตะลึงใจพุ่งตรงไปที่การต่อสู้ดุเดือดระหว่างหญิงสาวสองคน การโจมตีเช่นนี้เป็นสิ่งที่ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายยังมีท่าทางเปลี่ยนไป หญิงสาวทั้งสองคนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแน่นอน มากจนสามารถเผชิญหน้ากับระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้เลยทีเดียว

แต่ตัดสินจากสถานการณ์ตอนนี้ แม้การโจมตีของหลิงเฟยจื่อจะทรงพลัง แต่ก็ไม่สามารถผ่านการป้องกันของร่างเทพวารีได้

“แกรู้จักแต่วิธีป้องกันเท่านั้นรึ?”

เมื่อเห็นว่าความพยายามของตนไร้ประโยชน์ ใบหน้าของหลิงเฟยจื่อก็ไม่น่าดู นางไม่คิดว่าร่างเทพวารีจะมีการป้องกันที่แข็งแกร่งเช่นนี้ แม้แต่การโจมตีของนางก็ไม่สามารถผ่านการป้องกันนั้นได้

“ข้าแค่ต้องการทดสอบความแข็งแกร่งของร่างมหาจักรพรรดินีน่ะ” ลั่วหลียิ้มขณะพูดต่อ

“แต่ดูเหมือนว่าถึงจะไม่ธรรมดาก็ไม่มีอะไรที่น่าทึ่งเลย”

หลิงเฟยจื่อรู้สึกโมโหจนต้องหัวเราะ “นังหน้าด้าน!”

ลั่วหลียิ้มไม่ใส่ใจที่จะเถียงกับหลิงเฟยจื่อ มือของนางเริ่มวาดกระบวนท่า

ซ่า ซ่า

แม่น้ำแสงพราวไหลบ่าราวกับมังกรวารีขนาดใหญ่ขดตัวไปรอบๆ ร่างเทพวารี

ร่างเทพวารียื่นมือออกมาอย่างช้าๆ คว้าแม่น้ำที่ส่องประกาย ก่อร่างเป็นกระบี่ยาวทันที

เมื่อร่างเทพวารีวาดกระบี่ รัศมีกระบี่คมชัดก็ทะยานสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า แม้แต่ภูเขาที่อยู่เบื้องล่างก็แยกออกเป็นสองส่วน!

“ให้มาไม่ให้กลับจะเสียมารยาท ในเมื่อเป็นแบบนี้เจ้าก็รับเพลงกระบี่ของข้าด้วย หากเจ้ารับได้ ข้าจะยอมรับความพ่ายแพ้เอง” ลั่วหลียิ้มบางพูดด้วยท่าทางสง่างามและมั่นใจ

“งั้นก็เตรียมพ่ายแพ้ได้เลย!”

หลิงเฟยจื่อหัวเราะด้วยความโกรธ ก่อนที่จะกัดฟันเยาะเย้ย

แม้จะพูดไปแบบนั้น ดวงตานางก็เคร่งเครียดลง เนื่องจากนางรู้สึกถึงอันตรายร้ายแรงในขณะนี้

ลั่วหลียิ้มสดใจก่อนที่กระบี่ยาวจะเสือกแทงออกมาพร้อมกับแสงกระบี่ไร้ขอบเขตกวาดไปทั่วสวรรค์และโลก

“ทักษะเทห์สวรรค์ กระบี่แม่น้ำลั่ว!”

ในอดีตลั่วหลีฝึกฝนวิทยายุทธเทพที่รู้จักกันในชื่อเพลงกระบี่ลั่วเสิน แม้ว่าชื่อจะคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันมาก

เมื่อเสียงของลั่วหลีดังก้อง แสงกระบี่ไม่มีที่สิ้นสุดก็เปล่งประกายออกมา ทั่วทั้งฟ้าดินเหมือนเต็มไปด้วยเสียงน้ำสดชื่น ทว่าในเสียงนี้ก็อัดแน่นด้วยรัศมีคมกริบที่น่ากลัวอย่างยิ่ง

ทุกคนที่เฝ้ามองก็สีหน้าเปลี่ยนแปลงรุนแรง เมื่อพวกเขามองไปที่คลื่นเชี่ยวกราก หัวใจก็สั่นไหว

รัศมีกระบี่กินพื้นที่สามหมื่นลี้ แสงกระบี่สาดส่องไปทั่ว

ยามนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมร่างเทพวารีถึงอยู่ในอันดับสิบเอ็ดบนทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท