หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1269

ตอนที่ 1269

บทที่ 1269 แย่งส่วนชำระล้าง
เมื่อเสียงโกรธเกรี้ยวของลั่วหลีดังก้อง

บรรยากาศก็แข็งค้างไปพร้อมกับแรงกดดันทรงพลัง ส่งผลให้มิติถึงกับสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

“สามหาว!” ในฐานะที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิสัประยุทธ์ หลิงตงก็คำรามลั่น สายตาคมกล้าจ้องเขม็งไปที่ลั่วหลีที่กล้ารุกรานเจ้านายของตน

มู่เฉินขมวดคิ้ว ปราดเข้ามาปกป้องลั่วหลี หินสลักอักขระโบราณกำไว้ในมือ เมื่อไรที่เขาบดขยี้ของชิ้นนี้ เขาก็จะสามารถเชิญเทพจักรพรรดิสงครามมาได้

แม้ว่านี่จะเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายที่อยู่ในมือ มู่เฉินก็ไม่ลังเล ถ้าจักรพรรดิสัประยุทธ์คิดรังแกพวกเขาจริง เขาก็จะเชิญหลินต้งมาจัดการซะให้เฮี้ยนเต้ไปเลย ในเวลานั้นเขาจะดูว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์จะจัดการปัญหาอย่างไร

จักรพรรดิสัประยุทธ์ท่าทางสงบนิ่งหันมามองลั่วหลี “ข้าคนนี้ทำอะไรเกินไป?”

แม้จะเผชิญหน้ากับจักรพรรดิสัประยุทธ์ผู้เป็นใหญ่ในทวีป ลั่วหลีก็ไม่แสดงอาการหวาดกลัว นางขมวดคิ้ว “ทำไมจักรพรรดิสัประยุทธ์ต้องแสร้งไม่รู้ไม่เห็น? พลังงานการชำระล้างมีปริมาณจำกัด ในอดีตสิ่งนี้ถูกแจกจ่ายตามกฎ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นและขั้นปลายจะได้คนละสามส่วน ขณะที่ขั้นเต็มจะได้สี่ส่วน”

“แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์กลับไม่สนใจเรียกร้องให้เราต่อสู้แย่งชิงกันเอง”

เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วหลีในที่สุดมู่เฉินก็เข้าใจว่าปกติพลังงานการชำระล้างจะได้รับการแบ่งสรรอย่างเป็นธรรมและยุติธรรม เพราะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มแข็งแกร่งกว่าอีกสองคน ดังนั้นถ้าเกิดแย่งชิงพลังงานส่วนใหญ่ก็จะตกเป็นของอีกฝ่าย

ตามการประเมินของมู่เฉิน หลิงตงอาจยึดการชำระล้างได้ถึงหกส่วนและทิ้งสี่ส่วนหรือน้อยกว่านั้นไว้ให้พวกเขา

พลังงานทวีปเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาหลายร้อยปีในการสะสม ดังนั้นความแตกต่างในปริมาณเพียงเล็กน้อยก็จะมีผลที่แตกต่างกันไป

เห็นได้ชัดว่าแม้จักรพรรดิสัประยุทธ์จะยอมรับพวกเขาสองคนที่โผล่มาแย่งพลังชำระล้าง แต่เขาก็ต้องทำอะไรขัดขวางบ้าง

เมื่อได้ยินสิ่งที่ลั่วหลีพูด จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่มีความผันผวนในดวงตาพลางยิ้ม “การจัดสรรแตกต่างกันทุกที่ ผู้ปกครองทวีปเป็นคนตัดสินใจเองเสมอ ดังนั้นข้ามีสิทธิ์ที่จะแจกจ่ายด้วยวิธีนี้ เรื่องนี้ต่อให้เจ้าเรียกเทพจักรพรรดิอัคคีมา ข้าก็มีเหตุผล”

“ในเส้นทางการฝึกยุทธ์ คนอ่อนแอก็จะตกเป็นเหยื่อของคนแข็งแกร่งอยู่เสมอ หากพวกเจ้าไม่สามารถแย่งพลังงานชำระล้างได้อย่างเพียงพอ นั่นหมายความว่าปัญหาเกิดขึ้นที่เจ้าสองคน หากเจ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ ต่อให้เป็นนักรบทวีป เจ้าก็เข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนไม่ได้”

ได้ยินคำพูดน่าทุเรศของจักรพรรดิสัประยุทธ์ ลั่วหลีก็ขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังจะโต้แย้ง นางก็ถูกหยุดลงโดยมู่เฉิน

“แม้เรื่องที่จักรพรรดิสัประยุทธ์ทำจะดูใจแคบ แต่สิ่งที่ท่านพูดสมเหตุสมผลดี” มู่เฉินยิ้ม

เมื่อได้ยินการเสียดสีซ่อนอยู่หลังคำพูดของมู่เฉิน จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เลิกคิ้วขึ้น แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่ม เขาเพียงแค่จ้องมองมู่เฉินอย่างประหลาดใจ “หมายความว่าเจ้าไม่คัดค้านวิธีการจัดสรรของข้าเรอะ?”

มู่เฉินพยักหน้าพลางยิ้ม “ไม่มีความยุติธรรมแท้จริงในโลก คนเราต้องพุ่งไปอย่างหาญกล้าผ่านเส้นทางเพื่อเป็นหนึ่ง หากไม่มีความสามารถเพียงพอจนทำให้เสียโอกาส ก็ทำได้เพียงตำหนิตนเองเท่านั้น”

ลั่วหลีหันไปมองมู่เฉิน แม้นางจะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเห็นด้วยกับการจัดสรรที่ไม่ยุติธรรมนี้ แต่นางก็ยังคงเงียบเพราะเชื่อใจเขา

เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่ค้าน สายตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็วูบไหว เผชิญหน้ากับมู่เฉินที่คาดเดาไม่ได้ แม้แต่เขาก็ไม่กล้าดูถูกชายหนุ่มคนนี้

“ในเมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์ตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดสรรแล้ว งั้นข้ามีคำถามอื่นอีกนิด หากผลลัพธ์ไม่ใช่สิ่งที่ท่านหวัง ท่านจะขัดขวางอีกหรือไม่?” มู่เฉินยิ้ม

จักรพรรดิสัประยุทธ์ขมวดคิ้วพูดด้วยสีหน้าบิดเบ้ “เจ้าคิดอย่างไร?”

หากเขามีเหตุผลเพียงพอที่จะเปลี่ยนกฎการจัดสรรก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรแม้ว่าเรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไป แต่ถ้าเขาแทรกแซงผลที่ตามมาก็ต้องถูกรังเกียจเหยียดหยามแน่นอน ซึ่งเป็นผลกระทบต่อชื่อเสียงเขาอย่างมาก

เมื่อเห็นการตอบสนองนั่น มู่เฉินก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้าก็วางใจ งั้นเรามาเริ่มกันเลยไหม?”

เมื่อไม่เห็นความกังวลใดๆ ในนัยน์ตาของมู่เฉิน จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ได้แต่ขมวดคิ้วแน่นขึ้น เขาไม่รู้หรอกว่ามู่เฉินกำลังแกล้งทำไหม แต่ไม่ว่าอย่างไรจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็ปะทะกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มไม่ได้หรอกมั้ง?

ความคิดนี้เกิดขึ้นในใจ สีหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ดีขึ้น เขามองไปที่หลิงตงที่พยักหน้าตอบมา

หลิงตงเข้าใจความตั้งใจของจักรพรรดิสัประยุทธ์ นั่นคือให้เขาไม่ต้องออมมือ พยายามแย่งชิงพลังให้ได้มากที่สุด เพื่อไม่ให้ประโยชน์ตกอยู่กับมู่เฉิน

เผชิญกับคำขอนี้หลิงตงก็ไม่ได้รู้สึกลำบากอะไร ตรงกันข้ามเขาดีใจในใจอย่างเหลือล้น เพราะโดยปกติการจัดสรรในอดีตตัวเขาจะได้รับสี่ส่วน แต่ถ้าพึ่งพาความสามารถทั้งหมดที่มีละก็ เขามั่นใจว่าจะได้รับเพิ่มอย่างน้อยอีกคนละหนึ่งส่วนจากมู่เฉินและลั่วหลี นั่นหมายความว่าเขาจะสามารถได้รับเป็นหกส่วน นี่เท่ากับส้มทั้งเข่งหล่นลงมาจากท้องฟ้าเลยทีเดียว

บอกเป็นนัยกับหลิงตงแล้ว จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็โบกมือ “ในเมื่อไม่มีปัญหาอะไรงั้นก็เริ่มเลย พวกเจ้าต้องจำไว้ว่ามีเวลาเพียงหนึ่งก้ามธูปในการแบ่งปริมาณชำระล้าง หลังจากการชำระล้างเริ่มขึ้น ภายใต้สภาวะนั้นจะไม่สามารถแย่งชิงได้อีกต่อไป”

สายตาของมู่เฉินวูบไหว นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องกำหนดปริมาณของการชำระล้างภายในเวลาหนึ่งก้านธูป เมื่อถึงเวลาปริมาณพลังที่ครองก็จะถูกชำระเข้าตัว

วาบ!

มู่เฉินกับลั่วหลีแลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนที่ทั้งสองจะทะยานเข้าสู่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว หลังจากนั้นร่างหลิงตงก็ตามมาช้าๆ

ไม่กี่ลมหายใจทั้งสามคนก็ปรากฏตัวในท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว

วาฬว่ายช้าๆ ต้นไม้โบราณสะบัดกิ่งก้านใบ แต่พวกมันก็เป็นเพียงภาพลวงตา เมื่อสัมผัสร่างพวกเขาก็ทะลุผ่านไป

ทว่ามู่เฉินสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานหลิงบริสุทธิ์และเก่าแก่เป็นพิเศษในตัวพวกมัน นี่เป็นสิ่งที่มู่เฉินไม่เคยรู้สึกมาก่อนราวกับว่ามันมีอยู่ในสมัยโบราณเท่านั้น

ฮึ่ม!

ขณะที่มู่เฉินจมลงไปในความรู้สึก กระแสหลิงทรงพลังก็พวยพุ่งเข้าหาทั้งสี่ทิศทาง ความผันผวนกลายเป็นม่านพลังแยกพลังงานในท้องฟ้าออกจากกันทันที

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองหลิงตงที่ปลดปล่อยคลื่นหลิงของตนเพื่อจัดสรรพื้นที่

มู่เฉินและลั่วหลีแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว คลื่นหลิงระเบิดออกมาจากร่างในเวลาเดียวกัน โดยไม่ลังเลก็กระจายคลื่นพลังงานขึ้นสู่ท้องฟ้า

ในเวลาเริ่มต้นพวกเขาไม่ได้ปะทะกับหลิงตง หลีกเลี่ยงอีกฝ่ายเพื่อกางเขตแดนที่หลิงตงไม่ได้แตะต้อง

ภายในเวลาไม่ถึงสิบนาทีทั้งสามคนก็แบ่งเขตแดนเรียบร้อย

ในช่วงเวลานี้หลิงตงครอบครองพลังงานการชำระล้างอย่างหยาบๆ ประมาณห้าส่วน แม้ว่ามู่เฉินกับลั่วหลีจะผสานงานกัน ทั้งสองก็ยังได้รับไว้ห้าส่วนเท่านั้น

“หึ!”

หลิงตงตะเบ็งเสียง คลื่นหลิงเชี่ยวกรากก็พุ่งออกไปในเขตแดนของมู่เฉินกับลั่วหลี

เห็นได้ชัดว่าเขาเริ่มแย่งการจัดสรรของทั้งสองแล้ว

ประจันหน้ากับหลิงตง มู่เฉินกับลั่วหลี่ก็ประสานพลังกัน คลื่นหลิงก่อร่างเป็นม่านพลังพยายามจะสกัดกั้นอีกฝ่าย

ทว่าก็ตามที่จักรพรรดิสัประยุทธ์คาดไว้มู่เฉินกับลั่วหลี่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น การเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แม้ว่าพวกเขาจะรวมพลังเข้าด้วยกัน ก็ยังเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถเผชิญหน้าได้

ดังนั้นการป้องกันของพวกเขาจึงถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีเขตแดนก็ถูกยึดโดยหลิงตง

ในเวลานี้หลิงตงได้รับผลรวมหกส่วนแล้ว!

เมื่อได้เห็นภาพนี้ ความโลภก็วาวขึ้นในดวงตา เขาต้องการมากกว่านี้เพราะนี่จะเพิ่มโอกาสในการบรรลุระดับเทียนจื้อจุน

“ในเมื่อเจ้าสองคนไม่มีโชคชะตาก็ให้ชายชราคนนี้รับแทนแล้วกัน!” หลิงตงเย้ยหยันไม่ลังเลอีกต่อไป คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพัดพาลอนคลื่นไปในทิศทางเขตแดนของมู่เฉินกับลั่วหลี

เผชิญหน้ากับความโลภนี้ ใบหน้าของลั่วหลีก็เย็นชาลง นางเรียกร่างเทพวารีออกมาทันที

สายตาของมู่เฉินเปล่งประกายก่อนที่จะนำร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมา

ทั้งสองสาดสายตาเย็นชาไปยังหลิงตง แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่เขาก็ฝันกลางวันแล้วที่จะยึดสิ่งที่เป็นของพวกเขาไป!

เมื่อเห็นสายตาของทั้งสอง รอยยิ้มเหยียดหยามก็ลุกขึ้นตรงมุมปากของผู้อาวุโสตง

จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสองคนพยายามขัดขวางเขา ช่างไม่ประมาณตนจริงๆ!

“ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าเห็น ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอัจฉริยะแค่ไหน พวกเจ้าก็ทำได้แค่เพียงก้มหน้าต่อพลังเท่านั้น!”

หลิงตงเย้ยหยันพลางกางมือทั้งสองออก ทันใดนั้นคลื่นหลิงเชี่ยวกราก็กวาดออกมา

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท