หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1271

ตอนที่ 1271

บทที่ 1271 พิธีชำระล้าง
แสงแวววาวไร้ขอบเขตเบ่งบานบนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว

คลื่นหลิงโบราณไม่ได้อ่อนโยนเหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป พลังที่น่าสะพรึงกลัวเล็ดลอดออกไป ทำให้มิติทั้งหมดแช่แข็ง

ท่ามกลางมิติที่แช่แข็ง เวลาก็เหมือนจะเคลื่อนช้าลง

ร่างกายของหลิงตงแข็งทื่อด้วยความโกรธ ทว่าเนื่องจากมิติแช่แข็งทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

แต่ถึงอย่างนั้นสายตาก็จ้องเขม็งไปที่มู่เฉินด้วยความไม่เชื่อ เห็นได้ชัดว่าเขาตกใจอย่างมากจากการเปลี่ยนแปลงฉับพลันที่เกิดขึ้น

เขาไม่เคยคิดเลยว่าในโค้งสุดท้ายการตอบโต้ของมู่เฉินจะดุร้ายขนาดนั้น กระบี่เล่มนั้นบรรจุรัศมีของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนไว้แน่นอน

ทว่าหลังจากที่ประมือ พลังอำนาจของมันก็ไม่ถึงระดับที่หลิงตงคิดไว้ แม้ว่ากระบี่เล่มนั้นจะทำให้เขาตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง หากประมาทอาจต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส

แต่ก็ยังไม่ถึงระดับที่ทำให้เขาตื่นตระหนก เหตุผลที่เขาตอบสนองเช่นนั้นก็คือเขาถูกทำให้ตกใจจากรัศมีเทียนจื้อจุนที่อยู่บนกระบี่

เขากลัวว่าเทพจักรพรรดิอัคคีจะทิ้งไพ่ตายไว้ให้มู่เฉิน ไพ่ตายที่เตรียมไว้โดยจอมยุทธ์เทพเช่นนั้นเป็นสิ่งที่สามารถจัดการคนอย่างเขาได้อย่างง่ายดาย

ดังนั้นในเวลานั้นเขาจึงถอนคลื่นหลิงทั้งหมด สร้างการป้องกันเพื่อรักษาชีวิตตนเอง

เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้สุดท้ายเขาจะต่อต้านได้ แต่ก็สูญเสียส่วนแบ่งของการชำระล้างที่เขาต่อสู้ มิหนำซ้ำยังสูญเสียเพิ่มไปอีกหนึ่งส่วนด้วย!

ตอนนี้เขามีส่วนแบ่งเพียงสามส่วนเท่านั้น!

นี่ต่ำกว่าที่จัดสรรกันอย่างเหมาะสมซะอีก!

“บ้าเอ้ย! นรกเลย! ไอ้เจ้าเล่ห์นั่น!”

หลิงตงสาปแช่ง ขณะที่รู้สึกเสียใจอย่างมาก เขาไม่ควรหยิ่งผยองมากเกินไป หากเขาเตรียมการไว้ก่อนก็คงไม่ถึงขนาดตกใจกลัวกระบี่ของมู่เฉินจนสูญเสียทั้งหมดไปหรอก

ขณะที่หลิงตงรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง ใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำกับฉากนี้ ในขณะเดียวกันก็จ้องมู่เฉินด้วยสายตาประหวั่นพรั่นพรึง

กระบี่ก่อนหน้าบรรจุด้วยรัศมีเทียนจื้อจุนอย่างแท้จริง

แต่นั่นไม่ได้เป็นของเทพจักรพรรดิอัคคี นี่เป็นรัศมีที่ลึกล้ำและไม่อาจเข้าใจได้… หากเจ้าของรัศมีอยู่ในระดับสูงสุด กระทั่งเขาก็ไม่สามารถแข่งขันกับจอมยุทธ์ระดับนั้นได้

“เทพจักรพรรดิอัคคีบอกว่ามู่เฉินได้รับมรดกของจักรพรรดิฟ้า หากข้าเดาไม่ผิดละก็ กระบี่นั่นจะต้องเป็นของที่จักรพรรดิฟ้าทิ้งไว้ให้และนั่นคือวิธีที่เขานำส่วนแบ่งกลับคืนมาได้” สายตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์วูบไหว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะมีไพ่ตายซ่อนเอาไว้อีก

ยิ่งกว่านั้นความอดทนของมู่เฉินก็น่ากลัวอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับหลิงตง เขาก็ยังคงสงบรอจนถึงวินาทีสุดท้าย ก่อนที่จะปล่อยไพ่ตายดึงส่วนแบ่งที่สูญหายคืน!

ความอดทนแบบนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าอะไร

จักรพรรดิสัประยุทธ์หายใจลึกๆ และถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่ได้สนใจหลิงตงอีกต่อไป หันหลังกลับจากไป

ผลลัพธ์กำหนดแล้ว หลิงตงสูญเสียโอกาสสุดท้าย ดังนั้นแผนการที่เขาวางไว้ก็ถูกแก้ไขโดยมู่เฉินทั้งหมด

พลังงานได้เริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว ดังนั้นหากไม่ได้ใช้พลังของจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนเพื่อขัดขวางกระบวนการ เขาก็ไม่สามารถแทรกแซงการชำระล้างของมู่เฉินได้

แต่ถ้าเขาทำอย่างนั้นก็จะผิดกฎมากไป ซึ่งจะสร้างความเหยียดหยามนับไม่ถ้วนหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ในฐานะที่เป็นคนกังวลมากต่อชื่อเสียง จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่สามารถทนได้หากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

ไม่ต้องพูดถึงว่ามู่เฉินมีเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามหนุนหลัง ดังนั้นถ้าเขาทำอย่างนั้น เขาอาจทำให้เทพจักรพรรดิอัคคีซึ่งพูดคุยกับเขาเมื่อไม่นานหันมาจัดการเขา

ชัดว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่เต็มใจที่จะจ่ายราคานั้นเพื่อจัดการกับมู่เฉิน

“ต่อให้เป็นนักรบทวีปแล้วยังไง? ตำแหน่งนี้แค่เพิ่มโอกาสสูงขึ้นเล็กน้อยในการบุกเข้าไปในระดับเทียนจื้อจุนเมื่อเทียบกับคนธรรมดาทั่วไป แต่คนเก้าส่วนก็ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้”

เมื่อความคิดนี้วูบไหวขึ้นในใจของจักรพรรดิสัประยุทธ์ เขาก็ยิ้มบางแล้วหายไป ตราบใดที่ไม่ใช่ระดับเทียนจื้อจุน ไม่ว่าจะเป็นระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นหรือขั้นเต็ม ก็ไม่ต่างอะไรกับมดในสายตาของเขา

เมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์ออกไป รอยยิ้มเจตจำนงในสายตาของมู่เฉินก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เขาพอใจกับผลลัพธ์นี้จริงๆ

สิ่งที่เขายืมมาก็คือพลังกระบี่เกล็ดจักรพรรดิที่จักรพรรดิฟ้ามอบให้เขาเอาไว้ รัศมีที่จักรพรรดิฟ้าทิ้งไว้บนใบมีดเป็นรัศมีระดับเทียนจื้อจุนที่แท้จริง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่หลิงตงกลัวจนตัวสั่น

ทว่าผู้อาวุโสไม่ทราบว่าพลังงานบนกระบี่ส่วนใหญ่หมดไปแล้ว เมื่อตอนที่จักรพรรดิฟ้าสังหารจอมปีศาจทุนเทียน พลังงานที่เหลือสามารถให้มู่เฉินใช้งานได้ไม่กี่ครั้งเท่านั้น

ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ มู่เฉินจึงเลือกที่จะเคลื่อนไหวในวินาทีสุดท้าย ด้วยวิธีนี้เมื่อถึงเวลาที่s]b’ตงได้สติกลับมา ผลลัพธ์ก็ถูกกำหนดไว้แล้ว

และผลลัพธ์ก็เป็นไปตามความคิดของมู่เฉิน มากจนเกินความคาดหวังของเขาไปด้วย

ตอนแรกเขาคิดแค่จะเอาส่วนของเราสองคนกลับมาเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าจะคว้าอีกหนึ่งส่วนจากหลิงตงมาด้วย

เห็นได้ชัดว่าเขาประเมินการข่มขวัญของรัศมีเทียนจื้อจุนที่มีต่อหลิงตงต่ำไป

แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม ก่อนที่สายตาจะกวาดไปทางลั่วหลี ตอนที่เขายึดเขตแดนกลับมา ลั่วหลีก็แบ่งเขตแดน ทว่านางรับพลังไปเพียงสามส่วนยกสี่ส่วนให้กับมู่เฉิน

“ยัยคนนี้”

มู่เฉินรู้สึกจนหนทาง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นั่นเป็นเพราะเขามีมู่เฉินชุดดำและชุดขาวอยู่ด้วย นี่เป็นสิ่งที่เขาทำโดยมีเจตนา เพราะเขาต้องการให้ร่างรองทั้งสองคนได้รับการชำระล้างด้วย

“เริ่มกันเถอะ”

มู่เฉินหลับตาพลางพึมพำในใจ

ฮึ่ม!

ราวกับว่ามิตินี้ได้ยินเสียงของเขา คลื่นหลิงโบราณก็เริ่มเปล่งประกายแวววาวสดใส ก่อนที่จะกวาดไปทั่วเขตแดนของเขา ห่อหุ้มร่างมู่เฉินทั้งสามไว้

เมื่อแสงครอบคลุม มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงคลื่นหลิงโบราณที่ไหลสู่ร่างกายในทันที ทุกอณูคำรามตอบรับด้วยความตื่นเต้น ขณะที่กลืนกินพลังงานโบราณอย่างเมามัน

คล้ายกับทารกกินนมจากถันมารดาด้วยความกระหายจากส่วนลึกของสัญชาตญาณ

เมื่อพลังงานโบราณเข้ามาในร่างกายของมู่เฉินและสัมผัสกับคลื่นหลิง ก็เป็นความรู้สึกคล้ายกับน้ำหมึกเข้มข้นหยดลงในบ่อน้ำใส ยามนี้มู่เฉินสามารถบอกได้ว่าคลื่นหลิงของตนเองเริ่มข้นหนืดขึ้น

ภายใต้การชำระล้างมู่เฉินรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อ กระดูก เลือดและแม้แต่คลื่นหลิงก็เริ่มเปลี่ยนแปลง

โฮก!

ขณะที่กระบวนการเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้นภายในร่างกาย ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงคำรามของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่ไม่ได้ออกมานานปรากฏในร่างกายเขา

นับตั้งแต่มู่เฉินบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ไม่ได้มีพัฒนาการ ดังนั้นพวกมันจึงไม่สามารถให้ความช่วยเหลืออย่างมีนัยสำคัญในการต่อสู้ ตัวเขาก็เริ่มลืมเลือนไป

แต่ตอนนี้ภายใต้การชำระล้างมังกรและหงส์ฟ้าก็ได้ตื่นขึ้น พวกมันกินอย่างตะกละตะกลาม ขณะที่กลืนกิน มู่เฉินรู้สึกได้ว่าพลังของพวกมันเข้าใกล้ระดับตี้จื้อจุนมากขึ้นเรื่อยๆ

ด้วยความเร็วนี้อาจใช้เวลาไม่นานที่พวกมันจะบรรลุระดับตี้จื้อจุน

เมื่อถึงเวลานั้นประโยชน์ของพวกมันที่มีต่อมู่เฉินก็จะเผยให้เห็นอีกครั้ง

“นักรบทวีปเต็มไปด้วยผลประโยชน์ไม่รู้จบ”

เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในร่างกาย แม้แต่มู่เฉินก็กลั้นความสุขเอาไว้ไม่ได้ ไม่น่าแปลกใจที่หลิงตงวิตกกังวลมาก ที่แท้พลังก็มหัศจรรย์เพียงนี้นี่เอง

“การชำระล้างรุนแรงเกินไป ทำให้มิติแช่แข็งไปเลย ดังนั้นเวลาที่นี่จึงแตกต่างจากภายนอก ตามเวลาที่นี่การรับการชำระล้างอาจกินเวลาเป็นปีแต่ภายนอกคงผ่านไปไม่กี่เดือนเท่านั้น”

ขณะที่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย มู่เฉินก็สัมผัสได้ว่าเวลารอบตัวชะลอตัวลง เห็นได้ชัดว่าพลังงานแห่งการชำระล้างได้เปลี่ยนกฎของเวลาในสถานที่มิตินี้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการชำระล้างครั้งนี้จะยาวนาน

เมื่อพิจารณาถึงข้อเท็จจริงนี้มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจ ความเร็วในการฝึกฝนของเขาเกินกว่าคนธรรมดา แม้ว่าพรสวรรค์ของเขาจะยอดเยี่ยม แต่บางครั้งเขาก็ต้องใจเย็นและขัดเกลาไปทีละน้อย

ไม่ว่าอัญมณีที่ยังไม่เจียระไนจะยอดเยี่ยมเพียงใด ช่างก็ต้องแกะสลักด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด บางครั้งจำเป็นต้องใช้เวลาในการถนอมกล่อมเกลา

ดวงตาของมู่เฉินค่อยๆ ปิดลง จิตใจก็นิ่งสงบเข้าสู่การฝึกฝนลึก ท่ามกลางการชำระล้างนี้ เขาก็ต้องขัดเกลาพัฒนาการของตนดีๆ

ภายใต้การสะสมลึกล้ำเท่านั้นถึงจะทำให้เขาบรรลุได้อีกครั้ง!

แสงไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง เวลาและมิติก็ตกลงสู่จุดเยือกแข็ง มีเพียงเงาทั้งห้าที่ถูกห่อหุ้มด้วยแสงยังคงปล่อยพลังชีวิตออกมา

ส่วนเวลาก็เลื่อนไหลไปภายใต้ความเงียบนี้

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท