หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1263

ตอนที่ 1263

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1263 ผู้ชนะเลิศ
ตึง!

หลิงจั้นจื่อเหวี่ยงหมัดออกมา คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็มารวมตัวกัน ก่อร่างเป็นกำปั้นขนาดหมื่นจั้ง อำนาจยิ่งใหญ่ตระการตาสั่นสะเทือนสวรรค์และโลก

ขณะที่แย็บหมัด ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อก็ซีดลงทันที แต่มีความภาคภูมิใจพล่านอยู่ในสายตา เพราะพลังที่อยู่เบื้องหลังกำปั้นนี้มาถึงขีดสุดของเขาแล้ว

การโจมตีครั้งนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายระยะปลายสุดยังต้องหลีกเลี่ยง!

“หลังจากกำปั้นนี้แล้ว แม้ว่าข้าจะหมดเรี่ยวแรงต่อสู้ ข้าก็จะลากมู่เฉินออกจากสนามรบด้วย ในเวลานั้นตำแหน่งก็ยังจะเป็นของตำหนักซีเทียน ข้าเชื่อว่าอาจารย์จะชดเชยความสูญเสียให้อย่างแน่นอน”

สายตาของหลิงจั้นจื่อวูบไหว เขารู้ว่าตนเองไม่สามารถได้รับชัยชนะเหนือกว่ามู่เฉินได้ต่อไป สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือเสี่ยงชีวิตลากมู่เฉินออกจากสนามรบไปพร้อมกัน ในกรณีนี้เขาจะสามารถกำจัดศัตรูที่หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อไม่สามารถเผชิญได้

หากเขาประสบความสำเร็จก็จะมีส่วนสำคัญมาก ในเวลานั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่เพียงแต่จะไม่ตำหนิ ยังจะมอบรางวัลให้สำหรับการกระทำของเขา

ด้วยความคิดนี้ หลิงจั้นจื่อก็มองมู่เฉินอย่างเย็นชา แต่เขากลับเห็นว่ามู่เฉินไม่แสดงอาการหลบหลีก ความเย้ยหยันเยือกเย็นก็ผุดขึ้นที่มุมปาก

“ไอ้ยโส คิดว่าชัยชนะอยู่ในมือตัวเองแล้วรึ?”

เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาเยาะเย้ย มู่เฉินก็ไม่ได้สนใจอะไร เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่าเมื่อมีการสร้างค่ายกลรบสามกำลังขึ้น มู่เฉินชุดดำและชุดขาวก็ตัวสั่นสะท้านและรัศมีจั้นยี่เชี่ยวกรากรุนแรงพวยพุ่งสูงขึ้นบนท้องฟ้า ก่อนที่จะขยายขอบเขตเป็นมหาสมุทรไร้ที่สิ้นสุดเหนือท้องฟ้า

รัศมีจั้นยี่แข็งแกร่งกว่ากองทัพสังหารวิญญาณและกองทัพดับปีศาจรวมตัวกันซะอีก!

“รัศมีจั้นยี่ของสองคนกลับแข็งแกร่งกว่ากองทัพชั้นยอดทั้งสองซะอีก ค่ายกลรบสามกำลังลึกซึ้งอย่างแท้จริง” ดวงตาของมู่เฉินเปล่งประกายด้วยความดีใจ พลังของค่ายกลรบนี้เกินความคาดหมายของเขาไปไกล

ด้วยความปีติยินดีเต็มหัวใจ มู่เฉินก็หัวเราะเสียงดังลั่น เขามองกำปั้นขนาดมหึมาที่ห่อหุ้มเข้ามา มือข้างหนึ่งก็วาดตราประทับขึ้น

ฟู่ ฟู่!

เมื่อตราประทับสร้างขึ้น มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ก็คำรามลั่น ชั่วขณะต่อมาทุกคนก็ต้องตกใจที่เห็นมือขนาดใหญ่เอื้อมคว้าออกมาจากมหาสมุทร

นี่เป็นมือที่มีขนาดใหญ่กว่ากำปั้นของหลิงจั้นจื่อเสียอีก นอกจากนี้สิ่งที่น่าตกตะลึงที่สุดก็คือมันปกคลุมด้วยลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วน

“นั่นคือ…วิญญาณสงคราม?!”

หลิงจั้นจื่ออุทานด้วยความไม่อยากเชื่อ ดวงตาถึงกับหดลง นั่นเป็นเพราะขณะนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้กองทัพทั้งสองที่มี ดังนั้นพลังการต่อสู้ที่ทรงพลังนี้มาจากที่ไหนกัน?

สายตาหวาดผวามองไปที่มู่เฉินอีกสองคน แล้วก็ตระหนักได้ว่ารัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตนั่นมาจากทั้งสอง

“เป็นไปได้ยังไง?! เขาบัญชารัศมีจั้นยี่ของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้ยังไง?!”

ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อราวกับเห็นผี ทุกคนรู้ว่ายิ่งผู้ฝึกมีพลังมากขึ้น รัศมีจั้นยี่ที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งทรงพลัง ทำให้ยากที่จะควบคุมมากนัก

การที่จะสั่งรัศมีจั้นยี่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเป็นสิ่งที่มีเพียงเชียนวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือเท่านั้นที่สามารถทำได้ แต่มู่เฉินไม่ได้อยู่ในระดับนั้นอย่างชัดเจน ไม่อย่างนั้นไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แต่แม้กระทั่งจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ยังต้องหวาดกลัว

ครืน!

เผชิญหน้ากับความหวาดผวาของอีกฝ่าย มู่เฉินไม่คิดจะอธิบายใดๆ ก่อนที่ฝ่ามือจะกวาดลงมา อึดใจกำปั้นของหลิงจั้นจื่อก็ถูกคว้าโดยฝ่ามือภายใต้สายตาตกตะลึงของผู้คนทั้งหมด

พลังสองสายปะทะกัน ทว่าฝ่ามือไม่ได้ขยับเขยื้อนแต่เริ่มบีบแน่น กำปั้นครอบคุลมไปด้วยรอยแตกก่อนที่จะระเบิด

ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ความสิ้นหวังวาบขึ้นในดวงตา เขาไม่เคยคิดเลยว่าการโจมตีเสี่ยงชีวิตของตนจะถูกทำลายอย่างง่ายดายโดยมู่เฉิน

คลื่นกระแทกทรงพลังกวาดออก มู่เฉินไม่แม้แต่จะกะพริบตา เขาสะบัดแขนเสื้อ มือใหญ่โตที่หม่นแสงลงเล็กน้อยก็เคลื่อนไหว พุ่งทะยานไปยังทิศทางของหลิงจั้นจื่อ

ก่อนที่ฝ่ามือจะกดลงบนพื้นดิน แผ่นโลกก็ทรุดตัวลงแล้ว

ความผันผวนที่น่าสะพรึงบีบกดลงมา ทำให้หลิงจั้นจื่อฟื้นคืนจากอาการตื่นตะลึง ร่างกายของเขาเย็นเยือก เขารับรู้ได้ว่ามู่เฉินไม่มีท่าทางที่จะหยุด ถ้าเขาปะทะกับกระบวนท่านี้ได้ตายคาที่แน่!

ขณะที่ความตายคืบคลานในหัวใจ หลิงจั้นจื่อก็เผยความกลัวในสายตา

ตู้ม!

แต่ขณะที่ฝ่ามือนั่นกำลังจะขยี้ลงมา ทันใดนั้นมิติก็แตกออกรอบตัวหลิงจั้นจื่อ ก่อตัวขึ้นเป็นรอยแตกมิติกลืนกินเขาเข้าไป

เมื่อรอยแยกมิติดูดร่างหลิงจั้นจื่อเข้าไป ป้ายสัประยุทธ์ก็บินออกมาพร้อมกับคลื่นละเอียดห่อหุ้มมือขนาดใหญ่ ทำให้มันแตกเป็นเกลียวแสงทันที

สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยกับฉากนี้ นอกจากจักรพรรดิสัประยุทธ์จะมีใครเล่าที่จะช่วยหลิงจั้นจื่อและทำลายการโจมตีของเขาได้

เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่เต็มใจที่จะเห็นศิษย์เอกตายคามือมู่เฉิน

ณ จัตุรัสใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์มืดครึ้ม มิติแตกออกที่เบื้องหน้า ก่อนที่ร่างหลิงจั้นจื่อจะกลิ้งออกมา

เมื่อเห็นฉากนี้ความปั่นป่วนก็ระเบิดออกมา เนื่องจากทุกคนรู้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์เป็นคนช่วยชีวิตหลิงจั้นจื่อเอาไว้

“ไม่ได้เรื่อง!” จักรพรรดิสัประยุทธ์มองหลิงจั้นจื่ออย่างโกรธเกรี้ยว เขาไม่คิดว่าลูกศิษย์คนนี้ที่เขาให้ความหวังสูงจะพ่ายแพ้น่าอนาถ มิหนำซ้ำยังต้องได้รับการช่วยเหลือให้รอดด้วยซ้ำ

ใบหน้าของหลิงจั้นจื่อซีดเผือดพร้อมกับอาการหดหู่

อย่างไรก็ตามจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่คิดสนใจอีกฝ่ายต่อ ดวงตาเขายังคงจับจ้องไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ เขามองไปที่เงาร่างเหมือนกันทั้งสามพร้อมกับแววตาประหลาดใจ “เล่าลือกันว่าในสมัยโบราณจักรพรรดิฟ้ามีวิชาระดับเสินทงขั้นสุดยอดชื่อว่าสามพิสุทธ์ แต่วิชานี้หายสาบสูญหายไปนับหมื่นปี ไม่คิดว่าจะตกอยู่ในมือของมู่เฉิน เขาช่างโชคดีจริงๆ”

จักรพรรดิสัประยุทธ์เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ซึ่งมีประสบการณ์มาก ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดช่วงสั้นๆ เขาก็รับรู้ถึงต้นกำเนิดของร่างพิมพ์ของมู่เฉินได้

ขณะที่พูดเสียงก็ร้อนแรงขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่า วิชาสามพิสุทธิ์เป็นสิ่งที่น่าดึงดูดอย่างยิ่งแม้แต่กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน

“ฮ่าๆ สายตาไม่เลว ตอนที่มู่เฉินได้รับมรดกจากจักรพรรดิฟ้า เทพจักรพรรดิสงครามและข้าก็อยู่ที่นั่น ซ้ำพวกข้ายังได้รับการฝากจากจักรพรรดิฟ้าให้ช่วยดูแลมู่เฉินแทนเขาด้วย” เซียวเหยียนยิ้มบาง

พอได้ยินคำพูดนั่น จักรพรรดิสัประยุทธิ์ก็หัวใจสั่นไหว เขาจะฟังไม่ออกได้อย่างไรว่าเทพจักรพรรดิอัคคีเตือนเขากลายๆ ว่าอย่าได้คิดฉกชิงวิชาสามพิสุทธิ์ของมู่เฉิน มิฉะนั้นจะถือว่าคุกคามทั้งเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม

ในมหาพันภพหากเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามร่วมมือกัน แม้แต่เผ่าโบราณก็ไม่ได้มีช่วงเวลาที่ดี

ดังนั้นไฟที่โหมกระพือในดวงตาของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ค่อยๆ มอดลง ถึงแม้ว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดจะเยี่ยมปานใด เขาก็ไม่มีวาสนาที่จะได้เพลิดเพลิน ถ้าสร้างความไม่พอใจให้กับเทพจักรพรรดิทั้งสอง

แม้ว่าตอนนี้เทพจักรพรรดิอัคคีจะดูอ่อนโยน แต่จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายแค่ให้หน้าเขา ท้ายที่สุดแล้วพลังของตำหนักซีเทียนยังไม่สามารถต่อกรกับแคว้นหวู่จิ้งฮั่วได้

ขณะที่เซียวเหยียนและจักรพรรดิสัประยุทธ์กำลังสนทนากัน ความโกลาหลก็ระเบิดจากในจัตุรัส ผู้คนถอนหายใจกับผลลัพธ์ที่เกินความคาดหมาย

ใบหน้าของลั่วเทียนเสินก็แดงก่ำ เขารู้สึกไม่เชื่อในเวลานี้ นั่นเป็นเพราะเขาไม่ได้คาดหวังว่าหลิงจั้นจื่อจะแพ้มู่เฉิน

“เขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น… หากเขาก้าวเข้าสู่ขั้นปลายละก็ คงไม่มีใครหน้าไหนในขั้นเดียวกันสามารถต่อกรกับเขาได้” ใบหน้าของลั่วเทียนเสินวูบไหวขณะมองเงาร่างของมู่เฉินด้วยสายตาที่ซับซ้อน หลายปีก่อนตอนที่พวกเขาพบกัน เขาไม่เคยคิดเลยว่ามู่เฉินที่อ่อนแอจะก้าวมาเป็นดาวจรัสแสงในช่วงเวลานี้

“สายตาของลั่วหลีดีกว่าตาแก่คนนี้จริงๆ…”

แม้แต่ลั่วเทียนเสินก็ไม่รู้ว่าตนเองพูดประโยคนี้ซ้ำไปกี่ครั้ง

ขณะที่ผู้คนกำลังเผชิญกับความโกลาหลจากความพ่ายแพ้ของหลิงจั้นจื่อ มู่เฉินก็ถอนรัศมีจั้นยี่ออก ยกเลิกค่ายกลรบสามกำลังก่อนที่จะมองไปอีกสองทิศทาง

ตอนนี้หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อยังคงโรมรันพันตูกับซูมู่และฉู่เหมินที่ถูกปราบปรามอย่างสมบูรณ์

ทว่าพวกเขาก็ต้องตัวสั่นเทาเมื่อสายตาของมู่เฉินถูกส่งมา พวกเขาถอยกลับทันทีมองมู่เฉินด้วยความกลัวและหวาดระแวง

สามมู่เฉินเคลื่อนไหวมองไปที่หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “พวกเจ้ายังต้องการสู้อีกเรอะ?”

สายตาจ้องมองอย่างเย็นชาของมู่เฉินสามคน ทำเอาหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อรู้สึกว่าหัวใจเย็นสะท้านไปหมด ในเมื่อพวกเขาได้เห็นความพ่ายแพ้ของหลิงจั้นจื่อแล้ว ดังนั้นความกลัวที่พวกเขามีต่อมู่เฉินเรียกว่าถึงสุดขีดไปเลยทีเดียว

พวกเขารู้ว่าผลลัพธ์ถูกตัดสินตั้งแต่หลิงจั้นจื่อล้มเหลวแล้ว

“แกสองคนก็แค่โชคดี!”

หลิงหลงจื่อและหลิงเจี้ยนจื่อจ้องซูมู่และฉู่เหมินด้วยความฝืนใจ หากไม่ใช่เพราะมู่เฉินพวกเขาก็จะได้รับชัยชนะในการต่อสู้ในอีกไม่ช้า

พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันโยนป้ายสัประยุทธ์ทั้งหมดไว้ถอยออกจากสนามรบไป

เผชิญหน้ากับมู่เฉิน พวกเขาไม่มีความต้องการที่จะต่อสู้เลย

หลังจากเห็นหลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อถอยหนี ซูมู่และฉู่เหมินก็รู้สึกโล่งใจ ก่อนที่จะมองมู่เฉินด้วยสายตาที่ซับซ้อน พวกเขาไม่คิดเลยว่าผู้ช่วยที่พวกเขาได้รับในนาทีสุดท้ายจะดุดันและยังเอาชนะหลิงจั้นจื่อได้

“พี่มู่พิเศษอย่างแท้จริง ครั้งนี้เราเป็นคนที่ได้รับประโยชน์จากเจ้า… ข้าคิดว่าคงมีเพียงคนอย่างพี่มู่เท่านั้นที่สมควรกับตำแหน่ง” ซูมู่และฉู่เหมินเข้าใจสถานการณ์อย่างดี ตำแหน่งมีเพียงหนึ่งเดียว แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่มู่เฉินจะมอบให้กับพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งใจยอมแพ้ ด้วยสิ่งนี้พวกเขาอาจจะสามารถกระชับความสัมพันธ์กับมู่เฉินได้แนบแน่นขึ้น

เมื่อได้ยินคำพูดของทั้งสอง รอยยิ้มอบอุ่นก็กระจายบนใบหน้าของมู่เฉิน เขาเผยยิ้มสุภาพให้ทั้งสอง “หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าสองคน ผลลัพธ์วันนี้ก็ยากที่จะคาดการณ์”

ขณะที่พูดมู่เฉินก็สะบัดนิ้ว ป้ายสัประยุทธ์ที่หลิงเจี้ยนจื่อและหลิงหลงจื่อโยนทิ้งไว้ก็บินไปหาทั้งสอง

“ใช้ป้ายเหล่านี้เลือกสมบัติสำหรับตัวเจ้าเพื่อการเดินทางครั้งนี้จะไม่เปล่าประโยชน์”

ในเมื่อทั้งสองฉลาดเลือก มู่เฉินก็ต้องให้ประโยชน์กับพวกเขา

เมื่อเห็นจำนวนป้ายเหล่านั้น ซูมู่และฉู่เหมินก็เปิดเผยท่าทางยินดีปรีดา เนื่องจากพวกเขาสามารถแลกเปลี่ยนสมบัติบางอย่างที่หมายตาเอาไว้

“ขอบคุณความใจกว้างของพี่มู่!”

ทั้งสองไม่ได้มากมารยาท แต่ละคนใช้ป้ายแลกเปลี่ยนสมบัติในคลังสัประยุทธ์อย่างรวดเร็ว

หลังจากที่ใช้ป้ายทั้งหมดเรียบร้อย ร่างของพวกเขาก็เริ่มเลือนหายไปและถูกส่งออกจากสนามรบ

ขณะที่กำลังจะไปทั้งสองก็ประสานมือให้มู่เฉินด้วยรอยยิ้ม “เราขอแสดงความยินดีกับพี่มู่ที่นี่ที่ได้รับตำแหน่งนักรบทวีป”

เมื่อคำพูดสิ้นสุด พวกเขาก็หายไป

เมื่อพวกเขาจากไป มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจก่อนที่จะเห็นว่ามิติแห่งนี้เริ่มบิดเบือน เขารู้ว่านี่คือสัญญาณของการต่อสู้ที่สิ้นสุดลง

ดังนั้นมู่เฉินจึงเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้ายิ้มบาง “นักรบทวีป… ตอนนี้ข้าตั้งตารอเชียวแหละ”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท