หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1268

ตอนที่ 1268

บทที่ 1268 แบ่งสรรการชำระล้าง
ในจัตุรัส

เมื่อลั่วหลีปรากฏตัว ความโกลาหลขนาดใหญ่ก็เปลี่ยนเป็นเงียบงัน สายตาลุ่มหลงนับไม่ถ้วนมองไปที่หญิงสาว

นอกจากนี้หลังจากผ่านการต่อสู้ในสนามรบเมื่อสักครู่ ทุกคนรู้ว่านางไม่เพียงแต่มีความงามเกินใครเทียบเคียง แต่ยังมีความสามารถเทียบเท่ากับความงามที่มี

รัศมีใสกระจ่างของนาง ทำให้หลายคนรู้สึกละอายใจที่ดูต่ำต้อย

เผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางก็ยังสงบนิ่งขณะที่มองไปรอบๆ เมื่อเห็นมู่เฉินอยู่กับลั่วเทียนเสิน นางก็ยิ้มกว้าง

รอยยิ้มของนางทำให้ทุกสรรพสิ่งหม่นหมอง สายตาอิจฉาพุ่งตรงไปที่มู่เฉินด้วยความเกลียดชัง

ถ้ามู่เฉินไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่น่าตกใจละก็ คงมีบางคนขยับเข้าใส่เขาในตอนนี้แล้วก็ได้

มู่เฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ตอบสนองสายตาเหล่านั้น ยามนี้เขาเข้าใจถ่องแท้ว่ามีหญิงสาวประเภทหนึ่งในโลกที่มีความงามเป็นหายนะ

ลั่วหลีขจัดความไร้เดียงสาที่มีมาแต่ก่อนก้าวสู่ความงามเลิศล้ำ หลังจากนางฝึกฝนร่างเทพวารี

โชคดีที่ความงามนี้เป็นของเขาแล้ว… ดังนั้นเขาจะแบกรับภัยพิบัตินั่นเอง!

“อะแฮ่ม!”

ทันใดนั้นเสียงกระแอมไอก็ดังก้องจากบัลลังก์ ทำลายช่วงเวลางดงามของมู่เฉินและลั่วหลี ทุกคนกวาดสายตาไปก็เห็นใบหน้าไร้ความริ้วอารมณ์ของจักรพรรดิสัประยุทธ์ พวกเขาสามารถบอกได้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่ได้รู้สึกดีใจในตอนนี้

แน่นอนว่าก็ไม่มีใครมีความสุขหลังจากเห็นตำแหน่งสองในสามหายวับไปกับตา

ทว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็ไม่สามารถทำอะไรกับลั่วหลีได้ ในเมื่อนางทำตามขั้นตอน เข้าร่วมโดยใช้คุณสมบัติของตระกูลลั่วเสิน นอกจากนี้ลั่วหลียังแข็งแกร่งกว่าหลิงเฟยจื่ออย่างแท้จริง

ระงับความทุกข์ในใจลง เสียงของเขาก็ประกาศก้อง “นักรบทวีปซีเทียนได้รับการพิจารณาแล้ว”

“สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม หลิงตง”

“สนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย มู่เฉิน”

“และสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น ลั่วหลี”

สิ้นเสียงประกาศของจักระพรรดิสัประยุทธ์ ร่างสามร่างก็ปรากฏขึ้นที่ใจกลางจัตุรัส เสียงโห่ร้องดังสะเทือนเลื่อนลั่น แม้ว่าจะมีผู้ชนะเพียงสามคน แต่ในฐานะผู้ชมที่ได้เห็นการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาก็ให้ความเคารพต่อทั้งสามคน

บนจัตุรัส หลิงตงที่มีรูปลักษณ์ชายเฒ่าไม่มีอะไรน่าดูเลย ดังนั้นสายตาส่วนใหญ่จึงมองไปที่มู่เฉินกับลั่วหลีเป็นหลัก

ชายหนุ่มยืนตัวตรงพร้อมด้วยริ้วอ่อนโยนในแววตา แต่เมื่อเขาหรี่ตาลงก็จะมีรัศมีสังหารที่ไม่สามารถประเมินได้กระจายออกมา

หญิงสาวสวมเสื้อผ้าสีดำซึ่งเผยรูปร่างทรงเสน่ห์ ริมฝีปากสีแดงชาดคลี่ยิ้มราวกับราชินีผู้สูงศักดิ์

ชายหนุ่มหญิงสาวที่โดดเด่นคู่นี้เปรียบได้กับกิ่งทองใบหยก ช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก แม้แต่เทพจักรพรรดิอัคคียังพยักหน้าด้วยรอยยิ้มกับคู่รักที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้

“ในเมื่อพวกเจ้าสามคนได้รับชัยชนะก็มีคุณสมบัติเป็นนักรบทวีป ตอนนี้ข้าจะพาพวกเจ้าไปรับการชำระล้างจากพลังงานทวีป” จักรพรรดิสัประยุทธ์เอ่ยขึ้น

เมื่อพูดจบไม่เพียงแต่ดวงตาของลั่วหลีกับมู่เฉินจะสว่างวาบ แม้แต่ใบหน้าของหลิงตงก็สั่นสะท้านด้วยความกระหายที่ไม่อาจปกปิดได้

จอมยุทธ์ในระดับหลิงตงอีกก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน แต่ความยากลำบากนั้นสูงเทียมฟ้าเลยทีเดียว

ในมหาพันภพ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็เป็นจอมยุทธ์ชั้นยอดที่สมบูรณ์แบบแล้ว แต่มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่จะรู้จักในนามยอดยุทธ์

ตราบใดที่พวกเขาก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน พวกเขาก็จะสามารถครองทวีปมีจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนอยู่ภายใต้คำสั่ง เช่นเดียวกับทวีปซีเทียน จำนวนของจอมยุทธ์ที่คล้ายคลึงกับหลิงตงสามารถนับได้ด้วยสองมือ หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดิสัประยุทธ์ช่วยผลักดันละก็ เขาคงมีความเสี่ยงสูงกว่าที่จะได้ตำแหน่งมา

ความแตกต่างระหว่างระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มและระดับเทียนจื้อจุนต่างกันราวกับสวรรค์และโลก

ดังนั้นการเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนจึงเป็นความฝันของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มที่เหมือนกับหลิงตง แต่เขารู้ว่าด้วยพรสวรรค์ของตนเองไม่สามารถก้าวขึ้นไปได้ถ้าไม่มีโอกาสที่ดี

และตอนนี้การชำระล้างจากพลังงานทวีปเป็นโอกาสสำหรับเขา!

แม้ว่าไม่ใช่นักรบทวีปทุกคนที่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้ แต่โอกาสของพวกเขาก็สูงกว่ามาก แค่นี้ก็เพียงพอที่จะล่อลวงผู้อาวุโสตง

ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของจักรพรรดิสัประยุทธ์ แม้แต่หลิงตงก็ระงับความตื่นเต้นในใจไว้ไม่ได้

ผู้ชมต่างมองร่างเงาของผู้ชนะทั้งสามบนจัตุรัสด้วยความอิจฉาเนื่องจากโอกาสหายากในรอบหลายร้อยปีอยู่ในมือพวกเขาทั้งสาม

“เทพจักรพรรดิอัคคีสนใจจะไปดูการชำระล้างของทวีปซีเทียนไหม?” จักรพรรดิสัประยุทธ์หันไปมองเซียวเหยียนพลางเอ่ยถาม

เมื่อได้ยินเซียวเหยียนก็ส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “การชำระล้างแต่ละทวีปเป็นความลับ ดังนั้นข้าไม่ขอเข้าไปยุ่ง”

พื้นที่ดังกล่าวคือการบรรจบกันของพลังงานทวีป ซึ่งสามารถพิจารณาได้ว่าเป็นรากฐานของทวีป ดังนั้นโดยทั่วไปจะไม่ให้คนนอกเข้าเนื่องจากนี่เป็นความลับ

“ขอบคุณสำหรับคำเชิญจักรพรรดิสัประยุทธ์ หากมีโอกาศภายภาคหน้าแวะมาที่แคว้นหวู่จิ้งฮั่วของข้าได้นะ” เซียวเหยียนยิ้ม

“ข้าได้ยินชื่อเสียงของแคว้นหวู่จิ้งฮั่วมานานแล้ว ถ้ามีโอกาสข้าจะไปเยี่ยมแน่นอน” จักรพรรดิสัประยุทธ์พยักหน้า แม้ว่าพวกเขาจะเป็นขั้วอำนาจสูงสุดเช่นเดียวกัน แต่เขาก็รู้ว่ารากฐานของแคว้นหวู่จิ้งฮั่วไม่ใช่สิ่งที่ตำหนักซีเทียนจะสามารถนำมาเปรียบเทียบได้

เซียวเหยียนยิ้มจากนั้นก็มาปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉินและลั่วหลี “มู่เฉิน ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก”

มู่เฉินประสานมือด้วยความเคารพ ขณะที่ลั่วหลีก็ทักทายด้วยมารยาทเช่นกัน

“หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสเซียว ข้ากลัวว่าจะไม่ได้รับสิทธิ์เช่นนี้ ผู้น้อยคนนี้จะจดจำบุญคุณเอาไว้ไม่ลืมแน่นอน” มู่เฉินกล่าวอย่างจริงจังเนื่องจากเขารู้ว่าหากไม่ใช่เซียวเหยียน จักรพรรดิสัประยุทธ์คงไม่อนุญาตให้เขาเข้าร่วมการประลองอย่างแน่นอน

เซียวเหยียนโบกมือยิ้มให้ “อย่าแกล้งเด็กขณะที่เขายังเด็ก นี่คือสิ่งที่ข้าประสบมากับตัว ดังนั้นแล้วข้าจะผิดพลาดได้อย่างไร? มู่เฉินข้าเชื่อว่าสักวันเจ้าจะยืนอยู่ที่ระดับเดียวกับข้า”

เมื่อเห็นความสำคัญที่เซียวเหยียนวางไว้ให้ มู่เฉินก็เขินอายเล็กน้อย แม้ว่านั่นจะเป็นเป้าหมายของเขาก็ตาม

“ในเมื่อการแข่งขันจบลงแล้ว ข้าก็ต้องกลับไปแคว้นหวู่จิ่งฮั่วแล้ว หากเจ้าสนใจก็สามารถไปเยี่ยมเยือนที่แคว้นข้าได้ ข้าเชื่อว่าเซียวเซียวคงดีใจที่ได้พบเจ้า” เซียวเหยียนยิ้ม คำเชิญของเขานั้นเป็นกันเองยิ่งกว่าที่เขาพูดกับจักรพรรดิสัประยุทธ์เสียอีก

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่นก็พยักหน้า

เซียวเหยียนไม่คิดอ้อยอิ่งอยู่ต่อ เขาโบกมือก่อนที่ร่างจะเลือนหายไป

“ตามข้ามา”

หลังจากที่เห็นเทพจักรพรรดิอัคคีไปแล้ว จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็กวาดมองผู้ชนะทั้งสามแล้วโบกมือ แสงหลิงก็ล้อมรอบตัวทั้งสามคน อึดใจร่างทั้งสี่คนก็หายไป

เมื่อทั้งสี่คนไปแล้ว เสียงถอนหายใจก็ดังก้องทั่วบริเวณ ทุกคนเริ่มแยกย้ายไปเช่นกัน ดังนั้นบอกได้ว่าข่าวศึกนักรบทวีปจะแพร่กระจายไปอย่างไร บางทีคงไม่ใช้เวลานานสำหรับชื่อทั้งสามที่จะดังก้องไปทั่วมหาพันภพ

เมื่อวิสัยทัศน์ชัดเจนขึ้น

มู่เฉินก็ตระหนักได้ว่าสภาพแวดล้อมมืดสนิทราวกับท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว ความเงียบช่างน่ากลัวอย่างยิ่ง

สัมผัสเย็นฉ่ำยื่นเข้ามาจับมือเขาเบาๆ มู่เฉินก็จับมือนั้นไว้ก่อนที่จะหันไปมองลั่วหลีที่อยู่ข้างกาย

ตอนนี้ความมืดเริ่มจางหาย เบื้องหน้าพวกเขาสามารถมองเห็นท้องฟ้าพร่างพราวเต็มไปด้วยดวงดาว

ท้องฟ้านี้ดูแปลกประหลาดมาก บางครั้งมีวาฬขนาดใหญ่ กระเรียนใหญ่และต้นไม้ใหญ่โต ทั่วทั้งบริเวณราวกับอยู่ในโลกดึกดำบรรพ์

ในที่แห่งนี้มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานหลิงบริสุทธิ์โบราณที่ไม่เหมือนโลกภายนอก ราวกับว่าคลื่นหลิงมีต้นกำเนิดมาในยุคโบราณ

เก่าแก่และบริสุทธิ์

“นี่คือจุดรวมคลื่นหลิงของทวีปซีเทียน ฉากนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการรวมกันหลายร้อยปีและการชำระล้างก็จะเกิดขึ้นที่นี่”

“ตอนนี้เจ้าสามคนจะเข้าไปซึมซับ สำหรับผลลัพธ์นั้นขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกเจ้าเอง” จักรพรรดิสัประยุทธ์เอ่ยเสียงแผ่วเบา

มู่เฉินไม่ได้รู้สึกอะไรเมื่อจักรพรรดิสัประยุทธ์กล่าวสิ่งนี้ แต่สายตาลั่วหลีกลับวูบไหวพูดขึ้นว่า “จักรพรรดิสัประยุทธ์กำลังบอกว่าเราต้องพึ่งพาความสามารถของตนเองในการรับการชำระล้างหรือ?”

จักรพรรดิสัประยุทธ์พยักหน้าตอบ

สายตาของลั่วหลีวาวโรจน์ด้วยความโกรธ นางขมวดคิ้วเข้าหากัน “จักรพรรดิสัประยุทธ์ไม่ทำเกินไปหน่อยเหรอ?”

เมื่อมู่เฉินสังเกตเห็นท่าทางของลั่วหลี เขาก็ขมวดคิ้วฉับ สายตาจับจ้องที่จักรพรรดิสัประยุทธ์ดูเหมือนชายคนนี้กำลังวางแผนบางอย่างอีกแล้ว

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท