หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1277 ความนุ่มนวล
ภูเขาด้านหลังวังลั่วเสิน
ตู้ม ตู้ม!
เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องไปทั่วเทือกเขา ฝุ่นควันแผ่กว้าง แผ่นดินสั่นสะเทือน เงาร่างสองร่างกำลังโรมรันพันตู ทุกการปะทะปล่อยระลอกคลื่นทำลายล้างออกมา
ขณะที่ทั้งสองกำลังต่อสู้กันภูเขานี้ก็ถูกทำลายจนราพณาสูร
ปัง!
การปะทะกันดุเดือดอีกครั้ง ก่อนที่ร่างทั้งสองจะกระเด็นออกไปพร้อมกับเท้าลากไปบนพื้น ทำให้ภูเขากลายเป็นกองเถ้าถ่าน
“ฮ่าๆ เยี่ยมสุดๆ!” มู่เฉินยืนนิ่งขณะที่ถูกำปั้นแดงก่ำ รอยยิ้มยินดีปรากฏบนใบหน้า การแลกกระบวนท่าเมื่อครู่สะใจยิ่งนัก
หลงเซี่ยงปรากฏตัวตรงข้ามกับเขา แต่เมื่อเทียบกับความพอใจของมู่เฉินแล้ว สายตาของหลงเซี่ยงเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
นั่นเป็นเพราะในหลายวันที่ผ่านมาขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มของเขาถูกใช้เป็นคู่มือให้กับมู่เฉิน เนื่องจากมู่เฉินเพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ดังนั้นเขาจึงต้องการคู่ต่อสู้เพื่อให้คุ้นเคยกับพลังที่เพิ่มขึ้น ซึ่งตัวเลือกที่ดีที่สุดก็คือหลงเซี่ยง
หลงเซี่ยงเองก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องเป็นคู่ฝึกให้ เพราะเขาต้องการทราบถึงขีดจำกัดพลังของมู่เฉิน
แต่เมื่อลองเขาก็ต้องตกใจ
ตอนแรกเขายังรู้สึกได้ว่าการไหลเวียนของคลื่นพลังมู่เฉินค่อนข้างเชื่องช้า เนื่องจากยังไม่คุ้นชินกับคลื่นหลิงที่แข็งแกร่งขึ้น
ในเวลานั้นหากพวกเขาปะทะกันในแง่ของพลังงาน หลงเซี่ยงอาจยังได้รับข้อได้เปรียบเล็กน้อย
แต่เมื่อเวลาผ่านไป มู่เฉินก็ค่อยๆ ชินกับขุมพลังที่มี ดังนั้นพลังในการต่อสู้ของเขาก็เริ่มเพิ่มขึ้นในอัตราที่น่าตกใจ
ไม่กี่วันหลงเซี่ยงก็ตระหนักว่าในแง่ความบริสุทธิ์ของความแข็งแกร่ง เขาไม่สามารถได้รับประโยชน์อีกต่อไป เมื่อปะทะกับมู่เฉิน
นั่นทำให้เขาตกตะลึงอย่างยิ่งยวด เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นจอมยุทธ์ที่เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม มิหนำซ้ำทักษะการฝึกฝนก็มุ่งเน้นความแข็งแกร่งทางกายภาพ
ดังนั้นต่อให้เป็นบรรดาคู่ต่อสู้ในขุมพลังเดียวกัน เขาก็ไม่ได้อ่อนแออย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้เขากลับถูกปราบปรามโดยจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้นแล้วเขาจะไม่ตกตะลึงได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นมู่เฉินก็ยังไม่ได้เผยไพ่ตายใดๆ… หลงเซี่ยงมีความรู้สึกว่าถ้าเขาปะทะแบบเดิมพันชีวิตกับมู่เฉิน คนที่ตายจะเป็นเขาแน่นอน
“นายน้อยลึกซึ้งยากหยั่งถึงจริงๆ ข้านับถือจริงๆ”
หลงเซี่ยงถอนหายใจ มู่เฉินสามารถทำสิ่งนี้ได้ด้วยขุมพลังที่มี ดังนั้นเขาจึงเชื่อมั่นในตัวมู่เฉินมาก
มองใบหน้าของมู่เฉิน ริ้วความเชื่อมั่นในหัวใจของหลงเซี่ยงก็ยิ่งเกิดขึ้น บางทีด้วยความแข็งแกร่งของมู่เฉิน อาจจะสามารถช่วยเหลือหลิงซีจากเกาะหัวใจหยกได้จริงๆ
ได้เห็นความชื่นชมของหลงเซี่ยง มู่เฉินก็เพียงยิ้มเท่านั้น สาเหตุที่ทำให้เขาต่อกรกับหลงเซี่ยงได้ ไม่เพียงเพราะเกิดจากร่างกายที่ทรงพลังของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง เมื่อเทพอสูรทั้งสองผสานกันก็ปลดปล่อยออกมา ซึ่งนี่ไม่ได้เป็นสมการง่ายๆ ของหนึ่งบวกหนึ่ง
จากการประเมินของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้คลื่นหลิง แต่เขาก็สามารถยืนอยู่บนยอดพีระมิดท่ามกลางจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้ มากยิ่งกว่านั้นหากเขาได้พบกับจอมยุทธ์ขุมพลังเดียวกับหลงเซี่ยง เขาก็ยังสามารถรักษาที่มั่นของตนเองไว้ได้
แน่นอนว่าสิ่งนี้เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะจัดการกับจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
ด้วยความคิดเหล่านี้กวนตัวในใจ มู่เฉินเงยหน้าขึ้นก็เห็นเงาที่คุ้นเคยยืนอยู่บนเนินเขาที่อยู่ไกลออกไป มองมาที่เขา
“นายน้อย ข้าขอตัวก่อน” หลงเซี่ยงยิ้มเมื่อเห็นลั่วหลี
มู่เฉินพยักหน้า “เราจะเดินทางอีกสามวันข้างหน้าไปยังเกาะหัวใจหยก”
“รับทราบ!”
หลงเซี่ยงตอบกลับด้วยความเคารพก่อนหันจากไป
เมื่อเห็นหลงเซี่ยงจากไปแล้ว ร่างของมู่เฉินก็เคลื่อนไหวไปปรากฏตัวต่อหน้าลั่วหลี
วันนี้ลั่วหลีเข้าร่วมประชุม นางจึงสวมชุดสีม่วงงดงามที่ดูสูงศักดิ์และสง่างามนัก
เอวของนางคอดกิ่ว การแต่งกายเช่นนี้ยิ่งเน้นย้ำส่วนโค้งที่น่าประทับใจ รูปร่างหน้าตาสมบูรณ์แบบทำให้คนอื่นต้องหันมาจ้องมองนาง สายลมพัดผ่านเรือนสีเงินก็พลิ้วไหว ยามนี้นางช่างดูงดงามหมดจด
รอยยิ้มอ่อนโยนเผยบนใบหน้าของมู่เฉินเมื่อเห็นหญิงสาวคนรัก แม้แต่ร่างกายเกร็งเครียดของเขาก็ผ่อนคลาย
อยู่ต่อหน้านาง เขาสามารถละทิ้งหน้าที่และรับความสงบสุขที่หายากได้เสมอ
ทว่าสายตาที่มองลั่วหลีก็ร้อนแรงขึ้น
เมื่อรู้สึกถึงสายตาชัดเจนของเขา ลั่วหลีก็รู้สึกสะเทินอายก่อนที่ส่งสายตาค้อนไปให้ แต่ก่อนที่นางจะได้พูดอะไรมู่เฉินก็ก้าวเข้ามา
กลิ่นของมู่เฉินโชยอ่อน ทำให้ลั่วหลีถอยกลับจากปฏิกิริยาตอบสนอง แต่อึดใจนางก็หยุด แขนแกร่งเอื้อมเข้ามาโอบรอบเอวไว้ ดึงตัวนางพุ่งเข้าใส่อ้อมกอดของเขา
สัมผัสคนรักในอ้อมแขน มองใบหน้าที่ขึ้นริ้วแดงของนางพร้อมกับริ้วความประหม่าในดวงตางดงาม มู่เฉินก็กดอารมณ์ในหัวใจไม่ไหว เขาก้มลงจูบนาง
ร่างกายของลั่วหลีแข็งเกร็งไป แต่ไม่ช้านางก็ตอบสนอง เรียวแขนโอบรอบคอมู่เฉินพร้อมกับหลับตาพริ้ม
สายลมอ่อนโยนพัดผ่านมา ขณะที่คู่รักกอดกันแน่น ปลดปล่อยความรักความคิดถึงที่พรากจากกันมานาน
ทั้งสองตระกองกอดกันไว้ไม่รู้นานเท่าไร ในที่สุดลั่วหลีก็แพ้ลงด้วยใบหน้าเขินอายซ่อนตัวอยู่ในอ้อมกอดของมู่เฉินราวกับนกกระจอกเทศ ท่วงท่าเขินอายนี้ไม่เหมือนกับจักรพรรดินีตระกูลลั่วเสินเลยสักนิด
ภาพนี้ทำให้ดวงตาของมู่เฉินลุกโชนยิ่งขึ้น ลมหายใจของเขาเริ่มกระชั้นถี่ มือกดหญิงสาวลงบนพื้นหญ้า
แต่ก่อนที่เขาจะก้าวต่อ มือเรียวก็ยื่นมาดันที่หน้าอกเขา ครั้นเขาก้มศีรษะลงก็เห็นสายตาเอียงอาย
“ไม่เอา” ลั่วหลีกัดริมฝีปากสีแดงชาดแน่น
มู่เฉินได้สติขึ้นมา ไฟปรารถนาในดวงตาก็ลดลง เขายิ้มเนือยๆ เขารู้ว่าอารมณ์ถูกกักเก็บมานานหลายปี ดังนั้นจึงยากจะควบคุม
นี่เป็นภูเขาด้านหลังวังลั่วเสินจะมีหน่วยลาดตระเวณมาตรวจตราเป็นครั้งคราว หากพวกเขาเห็นว่าจักรพรรดิถูกมู่เฉินรังแก พวกเขาอาจมองข้ามความแตกต่างของพลัง พุ่งเข้ามาแบบสู้ตาย
พอเห็นมู่เฉินหยุดการกระทำ มือของนางก็เลื่อนออกจากแผ่นอก ใบหน้างดงามยังคงแดงซ่าน ก่อนหน้านางรู้สึกตกใจไปกับความรู้สึกที่ปะทุของมู่เฉิน ดังนั้นจึงปฏิเสธโดยการตอบสนองตามธรรมชาติ แต่ถ้าเราสองอยู่ในที่รโหฐาน นางอาจไม่มีความกล้าที่จะหยุดมู่เฉิน
แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ทำให้ใบหน้าของนางแดงเป็นหัวผักกาด
เมื่อมองท่าทางน่ากินของนาง มู่เฉินก็ถอนหายใจ “ข้าดันปล่อยเนื้อหงส์ให้บินออกจากปากซะนี่”
ลั่วหลีที่ได้ยินคำพูดของเขาก็กำมือทุบหลังไหล่ของมู่เฉินรัวๆ นางกัดฟันก่อนที่จะพูดเสียงต่ำ “ระ…รอจนกว่าเจ้าจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนและช่วยมารดาเจ้าได้ ขะ…ข้า…จะให้เจ้าทำตามที่ปรารถนา”
เมื่อพูดถึงตอนท้าย แม้กระทั่งน้ำเสียงก็ยังสั่นเทา ชัดว่าเขินอายสุดขีด
มู่เฉินเบิกตา เขาไม่เคยคิดว่าลั่วหลีจะใช้วิธีนี้เพื่อล่อลวงเขา ดังนั้นเขาจึงเชิดหน้าขึ้นพูดว่า “ข้าดูเหมือนจะเป็นคนหื่นกามงั้นเหรอ?”
ทว่าเลือดที่เดือดพล่านและผิวแดงก่ำพิสูจน์ได้ว่าเขาพูดโกหก
ด้วยความรู้ทันของลั่วหลี นางสามารถบอกได้ว่าเขาแกล้งทำ ดังนั้นนางจึงเบ้ปาก ผลักเขาออกไป ลุกขึ้นนั่งกอดเขาพลางปัดเส้นผมที่ระบนใบหน้าออก “ก็ได้ งั้นถือว่าข้าไม่เคยพูดมาก่อนละกัน”
“เอ่อ”
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะพูดเสียงตะกุกตะกักว่า “เจ้าคือจักรพรรดินีแห่งตระกูลลั่วเสิน คำพูดกษัตริย์มีน้ำหนักมหาศาล จะเปลี่ยนแปลงอย่างง่ายดายได้ยังไง”
ขณะที่พูดเขาก็สังเกตเห็นรอยยิ้มหยอกเย้าบนริมฝีปากของนาง ดังนั้นจึงกระโจนใส่ทันที
“เจ้ากล้าหลอกข้าเหรอ!”
“คิกๆ!”
บนผืนหญ้าทั้งคู่กลิ้งเกลือกไปมาพร้อมกับเสียงหัวเราะสดใส พวกเขาเครียดตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและนี่เป็นช่วงเวลาที่หายากยิ่งสำหรับทั้งสอง
สิ่งนี้กินเวลานานพอสมควร ก่อนที่พวกเขาจะลุกขึ้นไปนั่งบนเนินเขามองพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน
“เจ้าตั้งใจจะไปเกาะหัวใจหยกใช่ไหม?” ศีรษะของลั่วหลีเอนซบลงบนไหล่ของมู่เฉิน
มู่เฉินพยักหน้า “พี่หลิงซีอยู่ที่นั่น ข้าต้องไปช่วยนาง”
แม้ว่าเกาะหัวใจหยกจะเป็นถ้ำเสือ แต่มู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกนอกจากมุ่งหน้าไป เพราะหลิงซีเคยช่วยเหลือเขามามาก ไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างพวกเขา
“เจ้าจะไม่บอกมั่นถัวหลัวให้รู้หน่อยเหรอ?”
ถ้ามั่นถัวหลัวไปด้วยจะทำให้การเดินทางนี้ปลอดภัยยิ่งขึ้น
ทว่ามู่เฉินกลับส่ายหัว “ตำหนักมู่เพิ่งก่อตั้ง แม้ว่าเราจะปกครองภูมิภาคเหนือทั้งหมด แต่ก็ยังมีกองกำลังชั้นยอดมากมายในทวีปเทียนหลัวที่จับตาเรา ดังนั้นมั่นถัวหลัวต้องอยู่ที่นั่น ไม่เช่นนั้นอาจมีความเป็นไปได้ที่ภูมิภาคทางเหนือที่เพิ่งเป็นปึกแผ่นจะถูกแยกอีก”
ลั่วหลีพยักหน้าพลางยิ้ม “งั้นครั้งนี้ข้าจะไปด้วย”
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะมองลั่วหลี ตอนแรกเขาคิดว่าลั่วหลีจะออกจากตระกูลลั่วเสินไม่ได้ เพราะตอนนี้ตระกูลลั่วเสินต้องการนาง
ทั้งสองแยกจากกันเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นเขาจึงอยากจะอยู่กับนางตลอด ทว่าเขารู้ว่าบางทีตนเองก็ต้องแบกรับความเหงาเพื่อปกป้องคนที่รัก
ในเมื่อลั่วหลีตัดสินใจไปกับเขาครั้งนี้ ชัดว่านางให้ความสำคัญกับเขาเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นสายตาประหลาดใจที่จ้องมองมาของมู่เฉิน ลั่วหลีก็ยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ “ตอนนี้ตระกูลลั่วเสินมีความมั่นคงแล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากนี้…ในอดีตเจ้าแบกรับคนเดียวมาตลอด ครั้งนี้ข้าอยากช่วยแบ่งเบาภาระบ้าง”
มู่เฉินรู้สึกซึ้งใจกับคำพูดของนาง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธด้วยเหตุผลว่ามีอันตราย เพราะนั่นไม่ได้มีผลกับหญิงสาวคนนี้
ดังนั้นเขาเอื้อมมือออกกอดเอวนางพร้อมกับเสียงหัวเราะสะท้อนก้อง
“เอาล่ะ งั้นไปดูกันเถอะว่าถ้ำเสือจะจับเราไว้ได้ยังไง!”