หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1289

ตอนที่ 1289

บทที่ 1289 ทวีปเซิ่งยวน
ทวีปเซิ่งยวนอยู่ทางตะวันตกไกลโพ้นของมหาพันภพ

ในระดับหนึ่งที่นี่ไม่นับว่าเป็นทวีปได้เต็มปาก แต่เป็นพิภพเขตล่างที่พัฒนาขึ้นจนเป็นมิติที่สามารถเชื่อมโยงกับมหาพันภพได้

ในสมัยโบราณทวีปเซิ่งยวนนี้เป็นหนึ่งในสมรภูมิตัดสินเด็ดขาดระหว่างมหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ

ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่ามีจอมยุทธ์กี่คนที่ละร่างไว้ในทวีปเซิ่งยวนแห่งนี้ แม้แต่จำนวนจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็เกินมือสองข้างนับ มีวิทยายุทธระดับเสินทงนับไม่ถ้วน แม้แต่อาวุธมหสวรรค์ก็สูญหายไปในนั้น ตลอดช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ทว่าก็มีคนที่โชคดีได้รับมรดกบางอย่างและเปลี่ยนจากคนไม่มีใครรู้จักเป็นจอมยุทธ์โด่งดัง…

เนื่องจากกรณีนี้ในอดีต ทำให้มีผู้คนมากมายในมหาพันภพต้องการลองเสี่ยงโชคดู…

ทว่าแม้ทวีปเซิ่งยวนจะมีปาฏิหาริย์ แต่อันตรายในนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจจินตนาการได้เช่นกัน เนื่องจากการสงครามสมัยโบราณทำให้มิติที่นี่ไม่มีเสถียรภาพ เกิดสภาพแวดล้อมโหดร้ายทุกประเภท ดังนั้นแม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มที่ประมาทก็อาจถูกทำลายได้

นอกจากนี้ที่อันตรายที่สุดคือยังมีพวกเผ่าปีศาจปรากฏในทวีปแห่งนี้…

ในสมัยโบราณทวีปเซิ่งยวนถูกครอบครองโดยเผ่าปีศาจ ดังนั้นพวกปีศาจจึงมีเส้นทางเข้าไปในทวีปนี้ตามธรรมชาติ

เป้าหมายของพวกมันก็คล้ายกับจอมยุทธ์มหาพันภพ พวกมันก็มีเหล่านักรบชั้นเยี่ยมที่ทิ้งร่างลงในสมัยโบราณ ดังนั้นพวกมันจึงพยายามที่จะค้นหารับมรดกเพื่อทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้ทวีปเซิ่งยวนเป็นสถานที่เชื่อมโยงระหว่างมหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจ ช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายปะหน้ากัน พวกเขาจะฟัดกันไม่ยั้งจนกว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะตาย…

ในระดับหนึ่งทวีปเซิ่งยวนก็ถือว่าเป็นแนวหน้าของมหาพันภพกับเผ่าปีศาจเลยทีเดียว

เมื่อพวกมู่เฉินมาถึงทวีปเซิ่งยวนเวลาสองเดือนก็ผ่านไปแล้ว

ระยะทางที่ยาวนานนี้แม้แต่มู่เฉินก็อึ้งไปเล็กน้อย

ตลอดทางพวกเขาพึ่งพาการข้ามมิติของชื่อเหยียนในการเดินทาง แม้ว่าจะไม่เร็วเท่าการผ่านค่ายกลเคลื่อนย้าย แต่มีข้อดีที่ไม่ต้องวิ่งวุ่นตามหาค่ายกลเคลื่อนย้าย

แน่นอนว่าวิธีการเดินทางนี้มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอย่างชื่อเหยียนที่สามารถทำได้ หากพวกเขาต้องเดินทางด้วยตัวเอง คงต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวอีก

“ที่นี่เหรอทวีปเซิ่งยวน?”

มู่เฉินยืนอยู่บนยอดเขารกร้างขณะมองไกลออกไป มีแต่เพียงความมืดเข้ามาในครรลองสายตา ราวกับว่าบริเวณนี้ถูกบีบกดไว้

คลื่นหลิงระหว่างฟ้าดินเหมือนดิ่งลง ไม่มีชีวิตชีวาเท่ากับทวีปอื่นๆ ของมหาพันภพ

เมื่อเทียบกับมหาพันภพ เป็นเรื่องยากสำหรับทุกคนที่จะซึมซับคลื่นหลิงที่นี่เข้าไป

สายฟ้าสีแดงเข้มแล่นแปลบปลาบในบางครั้ง รอยแตกพล่านไปทั่วพื้นดิน ซึ่งอัดแน่นด้วยความผันผวนรุนแรงที่อาจทำให้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังหวาดกลัวได้

ทวีปแห่งนี้ดูเหมือนจะถูกห่อหุ้มด้วยความรุนแรง เต็มไปด้วยอันตรายทุกฝีก้าว

“เมื่อนานมาแล้วทวีปเซิ่งหลิงเป็นสถานที่ในการฝึกฝน แต่ต่อมาถูกครอบครองโดยเผ่าปีศาจและถูกปนเปื้อนโดยรัศมีปีศาจ แม้ว่ามหาพันภพจะพยายามที่จะชำระล้างหลายครั้ง แต่ก็ยังคงยากมากสำหรับที่นี่ที่จะกลับคืนสู่สถานะเดิม” ชื่อเหยียนถอนหายใจอยู่ข้างๆ

มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ถอนหายใจด้วย จักรวรรดิปีศาจต่างมิติถือได้ว่าเป็นศัตรูของมวลมนุษย์ในมหาพันภพ เนื่องจากวิธีการของพวกมันครอบงำมากเกินไป ภายใต้การปนเปื้อนของไอปีศาจ แม้แต่คลื่นหลิงก็จะสูญเสียไป เมื่อเวลาผ่านไปคลื่นหลิงในมหาพันภพก็อาจจะสูญพันธุ์

“ผู้อาวุโสแดนเซิ่งยวนอยู่ในทวีปนี่เหรอขอรับ?” มู่เฉินถาม

ชื่อเหยียนพยักหน้า “นี่เป็นเพียงชั้นนอกของทวีปเซิ่งยวน ส่วนแดนเซิ่งยวนอยู่บริเวณใจกลางทวีป ซึ่งมิติบริเวณนั้นได้แตกสลายและถูกห่อหุ้มด้วยพายุมิติกาลเวลา เราต้องรอให้พายุอ่อนตัวลงก่อน ข้าถึงจะส่งพวกเจ้าเข้าไปได้”

แม้แต่ชื่อเหยียนก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งเครียดเมื่อพูดเกี่ยวกับพายุนั้น

มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็แอบเดาะลิ้น เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าพายุนั่นทรงพลังเพียงใดถึงทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหวาดผวาได้

“ที่จริงพลังทำลายล้างพายุเป็นเรื่องรองนะ เรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าคือมีความเป็นไปได้ที่จะส่งเราไปยังโลกปีศาจ” ชื่อเหยียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นท่าท่างของทั้งสี่

“ทวีปนี้เป็นจุดตัดระหว่างมหาพันภพกับจักรวรรดิปีศาจ ดังนั้นต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็มีโอกาสตายที่นี่ ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว”

ในเวลานี้มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็รู้ว่าทำไมชื่อเหยียนจึงหวาดกลัว เพราะแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ทรงพลังยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี หากพวกเขาถูกส่งไปยังโลกปีศาจและเผชิญหน้ากับเหล่าราชันปีศาจอีกด้านหนึ่ง

“ลำดับแรกเราแวะที่เมืองเซิ่งยวนก่อน ที่นั่นเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของทวีปเซิ่งยวน”

ชื่อเหยียนโบกมือ คลื่นหลิงก็ห่อหุ้มทั้งสี่คนเอาไว้ ก่อนที่พวกเขาจะเปลี่ยนเป็นลำแสงสีแดงเข้มพุ่งทะลุผ่านสายฟ้าหนาสีแดงเข้มไป

แม้ว่าทวีปเซิ่งยวนจะเต็มไปด้วยอันตราย แต่ตราบใดที่พวกเขาไม่พบกับพายุมิติกาลเวลา ชื่อเหยียนก็สามารถพุ่งทะลุผ่านอุปสรรคนานัปการด้วยความแข็งแกร่งที่มี

ภายใต้การนำของชื่อเหยียน ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงทุกคนก็ค่อยๆ เห็นโครงสร้างของเมืองใหญ่ปรากฏในสายตา

เมื่อฟ้าดินที่มืดมิด ทำให้เมืองนี้ดูราวกับสัตว์อสูรมหึมาหมอบบนพื้น ซึ่งปลดปล่อยแรงกดดันที่ไม่อาจพรรณนาได้

ขณะที่พวกเขาเข้าใกล้ มู่เฉินก็พบว่ามีปราการขนาดมหึมาล้อมรอบเมืองทั้งเมือง ก่อให้เกิดความผันผวนของพลังงานหลิงที่น่าสะพรึงกลัว

“นั่นค่ายกลระดับต้าจงซือ!”

หัวใจของมู่เฉินอดสั่นไหวไม่ได้เมื่อมองปราการ จากความสำเร็จในปัจจุบันของเขาในฐานะหลิงเจิ้นจงซือ เขาสามารถบอกได้ว่านี่เป็นค่ายกลระดับต้าจงซือเพียงแค่เหลือบตามองครั้งเดียว

นอกจากนี้ค่ายกลก็ไม่ได้อ่อนแอ แม้แต่ในระดับต้าจงซือก็ตาม

“ค่ายกลนี้ถูกสร้างขึ้นโดยผู้เฒ่าเทียนเจิ้นในสมัยโบราณ ฮ่าๆ ผู้อาวุโสคนนี้เป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง แม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน เขาก็อยู่ในอันดับต้นๆ”

“ต่อให้ข้าจะใช้กำลังเต็มที่ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายมัน” ชื่อเหยียนยิ้ม

“หลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง?!”

ทั้งสี่คนตกตะลึง โดยเฉพาะมู่เฉินกับหลิงซี ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกศาสตร์ค่ายกลพวกเขารู้ว่าบุคคลที่เรียกว่า ‘หลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง’ น่ากลัวเพียงใด

เพราะระดับหลิงเจิ้นต้าจงซือก็แบ่งออกได้เป็นสามขั้นเหมือนระดับเทียนจื้อจุนได้แก่ หลิง-เซียน-เซิ่ง สำหรับหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเลยทีเดียว

นั่นคือการดำรงอยู่ของจุดสุดยอดในมหาพันภพ

“ไม่น่าแปลกใจที่ข้าจะอนุมานไม่ได้ ถ้าข้าฝืนหัวใจก็จะอ่อนล้าเต็มที” หลิงซีถอนหายใจ ในฐานะหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน นางสามารถหาช่องโหว่ของค่ายกลทั่วไปได้เพียงมองในแวบเดียว ทว่าหากนางฝืนผ่านค่ายกลนี้ นางอาจจะถูกโจมตีกลับ

“ทวีปเซิ่งยวนเป็นจุดเชื่อมต่อกับจักรวรรดิปีศาจ เมืองเซิ่งยวนนี้มีหน้าที่ในการจับตามองและข่มขู่ ดังนั้นจึงต้องใช้พลังปกป้องที่แข็งแกร่งที่สุด” ลั่วหลีพยักหน้าขณะอธิบาย

“ไปกันเถอะ”

ชื่อเหยียนพยักหน้า จากนั้นเขาก็พาทั้งสี่เข้าไปในเมืองใหญ่อย่างรวดเร็ว ผ่านเข้าสู่ปราการแสงที่ปล่อยความผันผวนรุนแรง

ขณะที่ผ่านแถวแสง มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นลึกล้ำสำรวจร่างกายของเขา ภายใต้การสำรวจความลับใดๆ ที่เขาครอบครองก็จะถูกเปิดเผยทันที

มู่เฉินรู้ว่านี่จะต้องเป็นการตรวจสอบ ถ้าพบเผ่าปีศาจเมื่อไรก็จะเกิดการโจมตีทำลายล้างทันที

เมื่อทั้งหมดร่อนลงในเมือง มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ตระหนักว่าเมืองนี้รุ่งเรืองและคึกคักนักจนคาดไม่ถึง ถนนเต็มไปด้วยเสียงที่พวยพุ่งขึ้นสู่ก้อนเมฆ

นอกจากนี้กลุ่มของมู่เฉินยังตระหนักว่ามีคนมากกว่าครึ่งหนึ่งที่มีความผันผวนของคลื่นหลิงที่ทรงพลัง สามารถระบุได้ว่าพวกเขามาถึงระดับตี้จื้อจุนแล้ว…

แต่ในไม่ช้าเขาก็คิดได้ว่าคนที่กล้ามาที่นี่จะอ่อนแอได้อย่างไร?

สายตาของพวกเขากวาดไปที่ใจกลางเมือง แผ่นศิลาโบราณขนาดมหึมายืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ

ศิลากระจายความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง มีอักษรสีแดงเข้มสลักที่จุดสูงสุด วูบไหวด้วยแสงสีแดงสด เปล่งรัศมีเยือกเย็นจนน่าขนลุก

“ที่ประกาศเกียรติคุณ—ศิลาสังหารปีศาจ!”

นอกจากนี้ด้านข้างยังมีตัวอักษรทองคำแถวหนึ่งที่เปล่งออกมาอย่างไม่อาจพรรณนาได้

“จัดตั้งโดยวังมหาพันภพ”

“วังมหาพันภพ?”

สายตาของมู่เฉินสั่นไหวขณะที่พึมพำ “ใช้ชื่อมหาพันภพเลยเหรอ? ขั้วอำนาจอะไรกัน? ครอบงำเชียว”

ชื่อเหยียนเผยรอยยิ้มแปลกประหลาดสายหนึ่งขณะที่มองชื่อวังมหาพันภพแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “แน่นอนพวกเขาครอบงำนัก เพราะในมหาพันภพนี่คือการดำรงอยู่ที่เหนือล้ำยิ่งกว่าทุกขั้วอำนาจและเผ่าโบราณ…”

“ขั้วอำนาจที่ทรงพลังที่สุดในมหาพันภพ…”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท