หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1292

ตอนที่ 1292

บทที่ 1292 พบเวินชิงเฉวียนอีกครั้ง
หญิงชราย่างเท้าเข้ามาด้วยใบหน้าเย็นชา

แม้ว่าจะไม่มีความแปรปรวนของคลื่นหลิงรอบตัว แต่ก็ไม่มีใครกล้าดูถูก ใครก็ตามที่สามารถมีชีวิตรอดในสถานที่ที่อันตรายเช่นนี้ ต้องมีสายตาบางอย่าง ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของหญิงชรา

ทว่าสายตามากมายก็ยึดอยู่ที่หญิงชราแวบเดียว ก่อนที่จะหันไปมองเงาร่างเพรียวบาง

นางเป็นสตรีสวมชุดสีม่วงรูปร่างระเหิดระหง โดยเฉพาะช่วงขาที่เดินไข้วไปมาใต้กางเกง ช่างดูงดงามอย่างยิ่ง

รูปลักษณ์ของนางช่างเจิดจรัส ดวงตามีเสน่ห์ดูราวกับดวงดาวเปล่งประกายไม่มีที่สิ้นสุด ผมสีฟ้าถูกเกล้าขึ้นเป็นหางม้า สะบัดไปมาด้วยความมั่นใจขณะที่นางก้าวเดิน

นี่คือหญิงสาวงดงามที่ราวกับวีรสตรี เมื่อนางจือปากก็ช่างเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

สายตานับไม่ถ้วนถูกส่งไปที่หญิงสาวผู้มาใหม่ ถึงแม้ว่าหญิงสาวผมสีเงินจะมีเสน่ห์มากกว่า แต่ความโดดเด่นของหญิงสาวคนนี้ก็น่าดึงดูดเช่นกัน

แต่แม้ว่าพวกเขาจะตกตะลึงกับเสน่ห์นาง แต่ก็ไม่มีใครกล้าล้อเลียนเพราะสายตาของหญิงชราที่กวาดมาราวกับเอาน้ำแข็งราดใส่หัวเลยทีเดียว

มู่เฉินและลั่วหลีก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน เมื่อจ้องมองหญิงสาวคนนั้น

เพราะนี่คือเวินชิงเฉวียนที่ทั้งสองคนร่วมมือกันในศึกเบญจภาคี

“ไม่คิดว่านางจะเป็นสมาชิกจากตระกูลเวิน” ลั่วหลีรู้สึกตกใจตระกูลเวินจากเขตเหนือเติบโตขึ้นในช่วงพันปีที่ผ่านมา ในแง่ประวัติศาสตร์ไม่อาจเทียบกับตระกูลลั่วเสิน แต่ด้วยพลังของตระกูลเวินก็ก้าวขึ้นเป็นขั้วอำนาจสูงสุดของมหาพันภพแล้ว

“ทำไมนางถึงไปที่สำนักศึกษาวั่นหวงทั้งที่มีการสนับสนุนขนาดนี้?” มู่เฉินก็แปลกใจเหมือนกัน

“ข้าได้ยินมาว่าตระกูลเวินจากเขตเหนืออยู่เบื้องหลังสำนักศึกษาวั่นหวงน่ะ” ลั่วหลีตอบ

เท่านี้มู่เฉินก็เข้าใจว่ามีการเชื่อมโยงกัน ไม่น่าแปลกใจเวินชิงเฉวียนถึงได้ไปที่สำนักศึกษาวั่นหวง

ขณะที่พวกเขาพูดคุย กลุ่มผู้มาใหม่ก็เดินมาถึงที่กองสรรหา เวินชิงเฉวียนที่มีท่าทางไม่แยแสมาตลอดทางก็หยุดเดินพร้อมกับสายตาไม่อยากเชื่อจ้องมองมาที่ทั้งคู่

เวินชิงเฉวียนมีผู้ติดตามมาด้วย แต่เห็นได้ชัดเจนว่านางเป็นตัวหลัก ดังนั้นเมื่อนางหยุด พวกเขาก็หยุดตามเช่นกัน

“ชิงเฉวียนเกิดอะไรขึ้นเหรอ?” ชายสวมชุดขาวกล่าวเสียงเบาด้านข้างเวินชิงเฉวียนช่างดูสะดุดตาไม่น้อย ยิ่งเมื่อพิจารณาจากความผันผวนของคลื่นหลิงที่ยิ่งใหญ่ที่แผ่ออกมาจากร่างเขา น่าจะอยู่ในระยะเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มแล้ว เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้ต้องมีตำแหน่งสำคัญในตระกูลเช่นกัน

ทว่าเวินชิงเฉวียนไม่สนใจเขาเลย สายตาจ้องมู่เฉินกับลั่วหลีด้วยความตกตะลึง ก่อนที่นางจะร้องอุทานขึ้น “ลั่วหลี? มู่เฉิน?!

“ชิงเฉวียน ไม่เจอกันนานเลย” ลั่วหลียิ้ม

“ไม่คิดว่าจะได้พบเจ้าที่นี่” มู่เฉินยิ้ม ย้อนกลับไประหว่างการแข่งขันศึกเบญจภาคี พวกเขาจากคนแปลกหน้ากลายเป็นคนรู้จัก ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ผ่านประสบการณ์กันมากมาย

หลังจากจบการแข่งขัน แต่ละคนก็แยกย้ายตามทางของตัวเอง ตอนแรกคิดว่าจะไม่มีวันได้พบเจอกันอีก แต่ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันที่นี่วันนี้

“พวกเจ้าจริงๆ ด้วย!”

ดวงตาของเวินชิงเฉวียนเปล่งประกายด้วยความดีใจ นางพุ่งตัวเข้าใส่กอดทั้งสอง แต่ก่อนที่มู่เฉินจะได้ยื่นมือออกมา เวินชิงเฉวียนก็เปลี่ยนใช้ศอกกระแทกที่หน้าอกเขา

มู่เฉินถอยกลับไปสองก้าวพลางเบ้ปากอย่างช่วยไม่ได้

“คิดฉวยโอกาสข้าเหรอ ฝันไปเถอะ”

เวินชิงเฉวียนกลอกตาให้มู่เฉิน ก่อนจะเหยียดแขนโอบกอดลั่วหลีแน่น “ลั่วหลี เจ้างามมากจนข้าไม่กล้าทักเลย”

นางไม่ได้โกหกเนื่องจากลั่วหลีเปลี่ยนแปลงไปมากเมื่อเทียบกับตอนออกจากสำนักศึกษาเป่ยชาง บวกกับร่างเทพวารีของลั่วเสินทำให้นางมีความงดงามที่โดดเด่นขึ้นอีกหลายส่วน

ลั่วหลีก็เม้มปากยิ้มออกมาเช่นกัน นางรู้สึกมีความสุขที่ได้พบกับเวินชิงเฉวียนที่นี่ เนื่องจากนางมักจะระลึกถึงเวลาที่ใช้ด้วยกันตอนสู้ศึก สหายเหล่านี้สร้างความทรงจำที่มีค่าให้นาง

“ทำไมเจ้าถึงยังอยู่กับมู่เฉินอีก เขาคู่ควรเจ้าซะที่ไหน?!” เวินชิงเฉวียนปรายตามองไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะหันมาพูดกับลั่วหลีด้วยความปวดใจ

เมื่อมู่เฉินได้ยินประโยคนี้ใบหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นดำมืด

ลั่วหลีมองมู่เฉินด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและล้อเล่น

“ชิงเฉวียนนี่เพื่อนเจ้าเหรอ?” ขณะที่เวินชิงเฉวียน ลั่วหลีและมู่เฉินกำลังรำลึกความหลัง เสียงขัดจังหวะจากชายชุดขาวก็ดังขึ้น เขาเดินหน้าเข้ามา มองมู่เฉินและลั่วหลีด้วยรอยยิ้ม

“ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าชื่อเวินจื่อหยู่จากตระกูลเวิน” ชายคนนั้นเปิดเผยสายตาที่อ่อนโยนซึ่งไม่ได้แกล้งทำ ให้ความรู้สึกดีกับผู้อื่น

ขณะที่เขามองเวินชิงเฉวียนอารมณ์ก็ถูกเปิดเผยในดวงตา เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจีบอีกฝ่ายอยู่

มู่เฉินและลั่วหลีรู้สึกประทับใจกับชายคนนี้ ทั้งสองจึงส่งยิ้มให้

“ข้าชื่อมู่เฉิน”

“ลั่วหลี”

เวินชิงเฉวียนเหลือบมองเวินจื่อหยู่ ท่าทางดูไม่สนใจอีกฝ่ายเลย ทำให้อีกฝ่ายยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

หญิงชราก็หันมามองลั่วหลีก่อนจะพยักหน้าพูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ “ช่างเป็นเด็กที่งดงามมาก”

จากนั้นก็มองมู่เฉิน แต่นางไม่ได้พูดอะไรก่อนที่จะละสายตาไป ความไม่ใส่ใจในของนางเห็นได้ชัดมาก

ทว่ามู่เฉินไม่ได้โกรธ เพราะเขารู้สึกได้ว่าหญิงชราคนนี้ไม่ได้ตั้งใจทำเฉพาะเขา แต่นางทำกับผู้ชายทุกคน

“ชื่อเหยียน ครั้งนี้เจ้ามาเร็วนัก” หญิงชรามองอย่างไม่แยแสไปที่ชื่อเหยียน

“เฮ้ ยายเฒ่าเหอ บรรพบุรุษของตระกูลเวินไม่ได้อยู่ในแดนเซิ่งยวน ทำไมพวกเจ้าถึงขยันมาที่นี่ทุกครั้งขนาดนี้?” ชื่อเหยียนยิ้มเสียงประหลาด

“ไม่มีใครเป็นเจ้าของแดนเซิ่งยวน ทำไมตระกูลเวินของข้าถึงจะมาคว้าโอกาสที่นี่ไม่ได้ล่ะ?” แม่เฒ่าเหอเค้นเสียงหัวเราะเย็น

ชื่อเหยียนกลอกตาบน แต่เขาก็ไม่คิดจะทะเลาะกับแม่เฒ่าเหอที่ไม่เป็นมิตรกับชายทุกคน

แม่เฒ่าเหอไม่ได้พูดอะไรมากความกับชื่อเหยียน ก่อนที่จะหันไปหาชายชราที่กองสรรหา “ผู้อาวุโสลู่ทงมอบป้ายสังหารปีศาจให้เด็กพวกนี้ด้วย”

ชายชราชุดเทาพยักหน้าพลางโบกมืออย่างเกียจคร้าน จากนั้นครู่หนึ่งป้ายสังหารปีศาจกลุ่มหนึ่งก็บินมาทางพรรคพวกของเวินชิงเฉวียน

รับป้ายมาแล้ว เวินชิงเฉวียนก็มองมู่เฉินกับลั่วหลี “เจ้าสองคนก็มาเพื่อแดนเซิ่งยวนเหรอ?”

มู่เฉินและลั่วหลีพยักหน้า

“เยี่ยมไปเลย! ไม่คิดว่าหลังจากผ่านไปหลายปี เราจะได้ทำงานร่วมกันอีกครั้ง!” เวินชิงเฉวียนหัวเราะเบาๆ

มู่เฉินมองเวินชิงเฉวียนก็พบว่าตอนนี้นางบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าพลังของนางเติบโตขึ้นหลังจากกลับไปที่ตระกูลเวิน

“ดีจริงๆ ที่มีกองกำลังสุดยอดเป็นกองสนับสนุน” มู่เฉินอดถอนหายใจในใจไม่ได้

แต่ดูเหมือนว่าแดนเซิ่งยวนจะดึงดูดผู้คนจากขุมกำลังมากมาย ตอนนี้แดนเซิ่งยวนยังไม่ปรากฏ ไม่รู้ว่าเมื่อถึงตอนนั้นจะมีกลุ่มทรงพลังโผล่มาเท่าไร

แต่ดูท่าการแข่งขันครั้งนี้จะรุนแรงอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

“ไปกันเถอะ เราไปหาสถานที่พักผ่อนกัน” ชื่อเหยียนหันไปมองกลุ่มมู่เฉินจากนั้นก็โบกมือ เตรียมนำพวกเขาออกไป

มู่เฉินพยักหน้า ขณะที่กำลังจะกล่าวคำอำลากับเวินชิงเฉวียน ความปั่นป่วนก็ดังกึกก้องในหอหมื่นพัน

ความสนใจทั้งหมดในอาคารขนาดใหญ่จ้องมองไปที่ประตูทางเข้าด้วยความตกใจ

มู่เฉินก็สัมผัสได้จึงเงยหน้ามองไปที่คนสามกลุ่มที่เข้ามา ทั้งสามกลุ่มมีท่าทางที่ไม่ธรรมดา จังหวะที่พวกเขาปรากฏตัวแรงกดดันที่มองไม่เห็นก็ปกคลุมทั่วหอ

ภายใต้แรงกดดันนี้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญในทวีปเซิ่งยวนยังแสดงความเคร่งเครียดหลายส่วนในสายตา

มู่เฉินมองไปที่ทั้งสามกลุ่ม จากนั้นดวงตาก็หดเกร็งลง นั่นเป็นเพราะมีลวดลายเจดีย์สีดำบนเสื้อคลุม

ซึ่งเจดีย์นั้นเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคย นั่นคือเจดีย์เก้าชั้น!

ในมหาพันภพมีเพียงเผ่าฝูถู หนึ่งในห้าเผ่าโบราณที่ใช้เจดีย์เก้าชั้นเป็นสัญลักษณ์ของพวกเขา!

เห็นได้ชัดว่ากลุ่มทรงพลังทั้งสามมาจากเผ่าฝูถูแน่นอน!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท