หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1301

ตอนที่ 1301

บทที่ 1301 ภูตผีเสื้อโอสถ
เมื่อพวกต่งซันตัดสินใจถอยไป

ความผันผวนของคลื่นหลิงที่พวยพุ่งจากกลุ่มของเวินชิงเฉวียนก็สงบลง ตอนแรกพวกเขาคิดว่าจะมีการสู้รบที่นี่วันนี้แน่ แต่พวกมู่เฉินที่มาถึงพอดีก็ขู่ต่งซันจนจากไปได้

“พวกเจ้าเป็นอะไรไหม?”

มู่เฉินหันกลับมาถามพวกเวินชิงเฉวียนด้วยรอยยิ้ม

เวินจื่อหยู่เผยรอยยิ้มบนใบหน้าพลางประสานมือ “ขอบคุณพี่มู่ที่ช่วยในวันนี้ ไม่เช่นนั้นคงต้องสู้กันจนเลือดตกยางออกแน่”

“หึ ถ้าสู้กันจริงๆ พวกมันจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ” เวินชิงเฉวียนเค้นเสียงเย็นดวงตาเป็นประกายวูบไหวด้วยไอเย็นเยือก เห็นได้ชัดว่านางไม่พอใจต่งซันอย่างยิ่ง

มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ เนื่องจากเขาสามารถบอกได้เลยว่าเวินชิงเฉวียนไม่ได้โอ้อวดแต่อย่างใด ทว่าจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มของพวกนางคือเวินจื่อหยู่ที่อยู่ในขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังอ่อนด้อยกว่าเล็กน้อย หากต้องการเผชิญหน้ากับต่งซัน

นั่นหมายความว่ากลุ่มเวินชิงวียนจะต้องมีไพ่ตาย

เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของมู่เฉิน เวินชิงเฉวียนก็เท้าเอวประกาศอย่างภาคภูมิใจว่า “อย่าดูถูกพวกข้า หากไม่มีไพ่ตายบ้างพวกข้าจะกล้าเข้ามาในแดนเซิ่งยวนโบราณได้ยังไง?”

“แต่เจ้าสิประหลาด… อย่าบอกข้าว่าจะพึ่งพี่หลิงซีกับพี่หลงเซี่ยงเพื่อปกป้องนะ” เวินชิงเฉวียนเอียงศีรษะลงเล็กน้อย ขณะที่มองมู่เฉินแบบทำตาเล็กตาน้อย

แม้ว่าขุมพลังของมู่เฉินจะอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายซึ่งถือว่าค่อนข้างดี แต่จอมยุทธ์ระดับนี้ก็ยังไม่มากพอสำหรับแดนเซิ่งยวน มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้นที่จะสามารถข่มขู่ผู้อื่นได้

ในกลุ่มมู่เฉิน คงมีเพียงหลิงซีเท่านั้นที่มีความสามารถนี้ กระทั่งเวินชิงเฉวียนยังคิดว่าหลิงซีเป็นคนทรงพลังที่สุดในกลุ่มของมู่เฉิน

มู่เฉินกลอกตาบนไม่ได้พูดอะไรแต่ดึงหัวข้อกลับมา “พวกเจ้ากำลังตกเป็นเหยื่อเหรอ?”

กลุ่มมือสังหารก่อนหน้านี้ไม่เพียงแต่ขัดขวางพวกเวินชิงเฉวียนเท่านั้น พวกเขายังมีพรรคพวกซ่อนตัวอยู่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาหมายตาตระกูลเวิน

รอยยิ้มบนใบหน้าของเวินชิงเฉวียนถอนกลับ สายตาเย็นชาลงหลายส่วน “ถ้าข้าเดาถูก พวกมันน่าจะมาจากการยุยงของตระกูลหวู่เขตทะเลทรายฝั่งเหนือน่ะ”

“ตระกูลหวู่เขตทะเลทรายฝั่งเหนือ?” ดวงตาของลั่วหลีหดลงขณะถามต่อ “นั่นเป็นขั้วอำนาจที่ไม่ได้อ่อนแอกว่าตระกูลเวินเลย ชื่อเสียงในมหาพันภพของพวกเขาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน”

เวินชิงเฉวียนพยักหน้า “ที่จริงตระกูลเวินของพวกข้าจ่ายราคาไปมากเพื่อรับข่าวเกี่ยวกับมรดกจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แต่ก็เกิดการเข้ามาแทรกแซงโดยตระกูลหวู่ ดังนั้นพวกมันจึงได้ข้อมูลไปด้วย”

“มีเพียงสองตระกูลเท่านั้นที่มีข่าวนี้ ต่งซันรู้ได้ยังไง มิหนำซ้ำยังมาขัดขวางพวกข้าที่นี่ได้ ผู้บงการจะต้องเป็นตระกูลหวู่แน่”

เวินจื่อหยู่พยักหน้าด้วยเช่นกัน “นอกจากนี้หากไม่มีการสนับสนุนจากตระกูลหวู่ ต่งซันจะกล้าหาญขนาดนี้ได้อย่างไร”

“ตอนนี้กลุ่มตระกูลหวู่จะต้องมุ่งหน้าไปหามรดกจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่เรากำลังพูดถึงแน่”

มู่เฉินพยักหน้าถามว่า “พวกข้าสามารถรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับมรดกได้ไหม?”

มูลค่าของมรดกไม่ต้องพูดถึงเลย หากพวกเขาไม่ได้เวินชิงเฉวียนเป็นแหล่งข่าวก็ยากลำบากมากสำหรับพวกเขาที่จะหา แม้ว่าพวกเขาจะช่วยแก้สถานการณ์ให้กลุ่มเวินชิงเฉวียน แต่มู่เฉินก็ไม่ใช่คนประเภทกอบโกยประโยชน์จากผู้อื่น ดังนั้นน้ำเสียงจึงเต็มไปด้วยความต้องการเจรจา

เขาต้องการข้อมูลเพื่อประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

เวินชิงเฉวียนไม่ได้คิดปิดบังพูดขึ้นว่า “เราเป็นพันธมิตรกัน ดังนั้นข้าจะบอกตามที่รู้มา”

“มรดกตกทอดจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนถูกเรียกว่าภูตผีเสื้อโอสถ”

“ภูตผีเสื้อโอสถ?” มู่เฉินกับลั่วหลีถึงกับหันมามองหน้ากัน

“ใช่แล้วจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนนี้เป็นที่รู้จักในด้านทักษะการเล่นแร่แปรธาตุ ถึงแม้ขุมพลังของนางจะอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเท่านั้น แต่เม็ดยาใดๆ ที่ถูกนางสร้างขึ้นสามารถกวนคลื่นท่ามบรรดาจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้เลย”

“ในสุสานนั้นมีเม็ดยาเหลืออยู่จำนวนมาก เม็ดยาเหล่านั้นล้วนมีมูลค่ามาก แต่ละเม็ดสามารถสร้างความปันป่วนกับพวกจอมยุทธ์ชั้นสูงได้เลยทีเดียว”

“เช่นเม็ดยาเซิ่งหลิงที่ช่วยให้จอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำหรับเวินจื่อหยู่ในครั้งนี้ด้วย”

เวินชิงเฉวียนชี้ไปที่เวินซื่อหยู่ เมื่อพูดถึงเม็ดยาเซิ่งหลิงใบหน้าฝ่ายหลังก็เต็มไปด้วยความโหยหา

แน่นอนว่าไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แม้แต่หลงเซี่ยงก็เหมือนกัน ตัวเขาก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังที่เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ดังนั้นการล่อลวงของเม็ดยาเซิ่งหลิงนี้จึงหอมหวนสำหรับเขาอย่างมาก

สิ่งนี้สามารถช่วยประหยัดเวลาจากการฝึกฝนหลายปี

“ที่จริงเม็ดยาเซิ่งหลิงนี้ไม่ได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ภาคภูมิใจที่สุดของภูตผีเสื้อโอสถ เล่ากันว่าผลิตภัณฑ์ที่น่าภาคภูมิใจของนางคือสิ่งที่เรียกว่า ‘เม็ดยาเซิ่งหวา’ ซึ่งสามารถยกระดับทักษะเทพของผู้ฝึกขึ้นไปอีก กระทั่งวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยมก็ยกระดับได้”

เมื่อมู่เฉินได้ยิน ดวงตาก็หดแคบลงในทันที แม้ว่าจะดูเหมือนธรรมดา แต่ในฐานะของคนที่ครอบครองวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยม เขารู้ว่ายากแค่ไหนในการยกระดับ เช่นร่างเทพสุริยะนิรันดร์ซึ่งตอนนี้มีทักษะสามขั้น

ได้แก่ รหัสเทพอมตะ ดอกบัวอมตะและแปรเป็นตายอมตะ

ทว่าตอนนี้เขาก็ฝึกถึงแค่ขั้นแรกเท่านั้น สำหรับขั้นที่สองคือดอกบัวอมตะ เขายังไม่สามารถแง้มออกได้สักนิด

หากเขาสามารถได้รับเม็ดยาเซิ่งหวาหนึ่งเม็ด นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถคลายทักษะขั้นที่สองของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้เลยหรือ?

แค่คิดแม้แต่หัวใจของมู่เฉินก็ลุกโชติช่วงไปหมดแล้ว

“นอกเหนือจากนี้ภูตผีเสื้อโอสถยังทิ้งเม็ดยาเทพเอาไว้มากมาย ซึ่งเป็นทรัพยากรจำนวนมหาศาลที่แม้แต่ตระกูลเวินของข้าก็ยังถูกดึงดูดอย่างมาก” เวินชิงเฉวียนกล่าว

มู่เฉินพยักหน้า มรดกจากจอมยุทธ์ที่เก่งกาจในการเล่นแร่แปรธาตุถือได้ว่าเป็นหีบมหาสมบัติเลยทีเดียว หากพวกเขาสามารถได้รับแม้แต่ขั้วอำนาจใหญ่อย่างตระกูลเวินก็จะพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย

“ไม่น่าแปลกใจที่ตระกูลหวู่พยายามทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางพวกเจ้า เบื้องหน้าผลประโยชน์ล่อตาขนาดนี้ วิธีการพวกนี้ก็ไม่ได้ดูเกินเหตุ” ลั่วหลีถอนหายใจ หากตระกูลหวู่ได้รับมรดกนี้ ความแข็งแกร่งของตระกูลหวู่ก็จะทะยานขึ้นสูงอย่างแน่นอน ในเวลานั้นทำไมพวกเขาจะต้องไปกังวลเกี่ยวกับการรุกรานตระกูลเวินอีก?

เวินชิงเฉวียนพยักหน้าจ้องมองพวกมู่เฉิน “หากพวกเราประสบความสำเร็จในความร่วมมือครั้งนี้ ก็แบ่งการเก็บเกี่ยวกันคนละครึ่งเลย”

ขณะที่นางพูดทุกคนก็ตกใจ

กระทั่งพรรคพวกที่อยู่ข้างหหลังเวินชิงเฉวียนก็แลกเปลี่ยนสายตากัน เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เกินความคาดหมาย ถึงยังไงตระกูลเวินก็จ่ายราคามหาศาลสำหรับข้อมูลนี้

พูดอย่างไม่เป็นมิตร หากพวกเขาต้องการหาพันธมิตรอื่นๆ ด้วยอัตราส่วนแบ่งนี้ พวกเขาสามารถหากลุ่มที่แข็งแกร่งกว่าพวกมู่เฉินได้ง่ายๆ เลย

ทว่าก่อนที่พวกเขาจะพูดความคิดออกไป พวกเขาก็ต้องหุบปากจากประกายแสงจ้าที่สะท้อนในดวงตาของเวินชิงเฉวียน นางพูดอย่างใจเย็นว่า “มรดกยังไม่ใช่ของเราในตอนนี้ ดังนั้นอย่าถือว่าเป็นของเรา เวลานี้ตระกูลหวู่โอหังนัก ชัดว่าตั้งใจจะรับมรดกนี้ไป ส่วนเราก็ล้าหลังไปเรียบร้อย ถ้ามีแค่พวกเรากลุ่มเดียวก็คงไม่อาจได้รับอะไรเลย”

“นอกจากนี้…”

นางหยุดชั่วครู่หนึ่งมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาที่มีความหมายแฝงพลางแย้มยิ้ม “จากสัญชาตญาณของผู้หญิง ข้ารู้สึกว่าเจ้านี่จะคุ้มค่ากับราคานี้”

แม้ว่านางจะหยอกล้อมู่เฉินไปก่อนหน้า แต่นางก็รู้สึกได้ว่าหลิงซีไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม แต่เป็นมู่เฉินซึ่งดูเหมือนจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น…

ชัดว่าเวินชิงเฉวียนมีตำแหน่งสูงในตระกูล ดังนั้นเมื่อนางตัดสินใจแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรจะพูด เวินจื่อหยู่ยิ้มให้มู่เฉิน “งั้นแบบนี้ เราคงจะต้องพึ่งพี่มู่เพื่อให้ได้รับการเก็บเกี่ยวที่เพียงพอ”

มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้มขณะที่หันไปมองเวินชิงเฉวียน เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะพูดว่า “แม้อัตราส่วนแบ่งนี้เราจะได้ผลประโยชน์มาก แต่ข้าเชื่อว่า พวกเจ้าจะได้เกินคุ้มแน่นอน”

แม้ว่าเสียงจะฟังสงบนิ่ง แต่ความมั่นใจที่อยู่เบื้องหลังรอยยิ้มก็ทำให้พวกเวินชิงเฉวียนรู้สึกผ่อนคลาย

บางทีชายที่เบื้องหน้าพวกเขาอาจเกินความคาดหมายจริงๆ…

เวินชิงเฉวียนจ้องมองไปที่มู่เฉินอย่างลึกซึ้ง ความมั่นใจในปัจจุบันของเขาเหมือนกับตอนที่อยู่ในศึกเบญจภาคีอย่างไรอย่างนั้น ในเวลานั้นต่อให้เผชิญกับศัตรูมากมาย เขาก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ ซึ่งความมั่นใจนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แต่เหมือนยังสามารถแผ่ไปให้ผู้อื่นด้วย

หลังจากหลายปีที่ผ่านมาและมีประสบการณ์ แต่ความมั่นใจของมู่เฉินก็ยังเต็มเปี่ยมในหัวใจ

ในโลกนี้มีเพียงคนที่สามารถรักษาความเชื่อมั่นและไม่แพ้ใครถึงจะมีสิทธิ์ผงาดขึ้นไปสู่จุดสูงสุด

เวินชิงเฉวียนยิ้มด้วยท่าทางทรงเสน่ห์ไม่ต่างจากลั่วหลี

นางยื่นมือออกมาพลางหัวเราะเบาๆ “งั้นขอให้เป็นการร่วมมือที่มีความสุขระหว่างเรา”

มู่เฉินเหยียดมือออกมาจับมืออ่อนนุ่มนั่นไว้พลางยิ้ม

“การร่วมมือต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท