หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1300

ตอนที่ 1300

บทที่ 1300 ต่งซัน
ใบหน้าของเวินชิงเฉวียนเขียวคล้ำขณะมองไปข้างหน้า

ร่างเงาหลายร่างกำลังยืนจังก้าพร้อมกับกอดอก ขณะที่พวกเขาจ้องมาที่กลุ่มของเวินชิงเฉวียน

ผู้นำเป็นคนร่างกำยำถึงแม้จะดูธรรมดา แต่แผลเป็นบนใบหน้าเขาก็ทำให้ดูน่ากลัวอยู่หลายส่วน มิหนำซ้ำร่างของเขากำจายรัศมีร้ายกาจราวกับเป็นอสูรกายเลยทีเดียว

ยิ่งกว่านั้นความผันผวนที่เล็ดลอดออกมาคลุมเครือบอกว่าเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม

“สหายตระกูลเวิน ความสามัคคีเป็นสิ่งสำคัญ ทำไมถึงต้องเขม่นกันขนาดนี้ด้วย?”

ชายคนนั้นมองมาที่กลุ่มเวินชิงเฉวียนพร้อมรอยยิ้มเป็นต่อขณะพูด “ข้าต่งซันไม่ได้จะแย่งข้อมูลของพวกเจ้าสักหน่อย เราแค่อยากร่วมมือด้วย เมื่อทุกคนร่วมมือกันจะไม่ทำให้เราได้มรดกง่ายขึ้นหรือ?”

เวินชิงเฉวียนดูโกรธเกรี้ยวมาก กลุ่มที่ขัดขวางพวกนางคือพันธมิตรมือสังหารปีศาจ โดยมีผู้นำชื่อต่งซัน

เขาไม่เพียงแต่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ยังเป็นมือสังหารขั้นกลางอีกด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดคะแนนสังหารปีศาจของชายคนนี้อยู่ไม่ไกลจากขั้นสูงแล้ว

นี่เป็นข่มขู่อย่างแท้จริง เนื่องจากทุกคนรู้ดีว่ายากเพียงใดในการรวบรวมคะแนนสังหารปีศาจจำนวนมาก

ที่จริงแล้วต่งซันรู้ว่าพวกนางมีข้อมูลเกี่ยวกับมรดกของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนตั้งแต่อยู่ในเมืองเซิ่งยวน แต่พวกนางก็ปฏิเสธเมื่ออีกฝ่ายเสนอการรวมตัว นอกจากนี้ยังเป็นเพราะคนเหล่านี้เกรงกลัวจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของตระกูลเวิน ดังนั้นจึงไม่กล้าลงมือทำอะไร ทว่าใครจะคิดจะมาปะหน้ากันในแดนเซิ่งยวนโบราณแห่งนี้

“ฮึ่ม ร่วมมือเหรอ? ข้าเกรงว่าจะเป็นการเก็บหมาป่าไว้กับตัวนะสิ ” ใบหน้าของเวินชิงเฉวียนเย็นชาลงหลายส่วน ไม่มีความเป็นมิตรกับพวกต่งซัน การทำงานร่วมกับพวกเขาเหมือนกับการถลกหนังเสือที่มีชีวิต

“นอกจากนี้…”

น้ำเสียงของเวินชิงเฉวียนเปลี่ยนไป ทันใดนั้นเสียงก็สาดไอเย็นชา “พวกเจ้ารู้ข้อมูลในมือพวกข้าตั้งแต่ในเมืองเซิ่งยวน ตอนนี้พอเข้ามาในแดนเซิ่งยวนโบราณก็พบกันอีก ไม่บังเอิญเกินไปหน่อยเหรอ?”

ต่งชันยิ้มตาหยี “ไหงงั้นล่ะ?”

เวินชิงเฉวียนตอบอย่างเย็นชา “ตระกูลหวู่เขตทะเลทรายฝั่งเหนือก็รู้ว่าพวกข้ามีข้อมูลนี้ พวกเขาก็ส่งกลุ่มเข้ามาที่นี่เช่นกัน ดังนั้น…ข้อมูลและการติดตามพวกข้า พวกตระกูลหวู่ให้เจ้ามาใช่ไหม?”

“ตระกูลหวู่?!”

เวินจื่อหยู่และคนอื่นๆ สีหน้าเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น ถ้าเป็นเช่นนั้นตระกูลหวู่ก็ไร้ยางอายเกินไปแล้ว เพื่อจะเพลิดเพลินกับมรดกจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเพียงผู้เดียว พวกมันถึงกับขายข้อมูลให้กับมือสังหารปีศาจเหล่านี้!

“ดังนั้นหมาป่าหิวโหยคงสมคบกับตระกูลหวู่มานานแล้ว หากเราทำงานร่วมกับพวกเจ้า คงไม่พ้นแทงพวกข้าข้างหลังแน่ พวกข้าไม่มีโชคที่จะได้มีเพื่อนร่วมกลุ่มเช่นนี้หรอก” เวินชิงเฉวียนเค้นเสียงเย็น

สายตาของต่งซันสั่นไหวก่อนที่จะส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าเข้าใจผิดหมดแล้ว พวกข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มตระกูลหวู่”

เวินชิงเฉวียนหลุบตาพูดว่า “ไม่ว่าจะเข้าใจผิดหรือไม่ พวกข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำงานร่วมกับพวกเจ้า ดังนั้นไม่จำเป็นต้องคุยเรื่องนี้อีก”

แสงร้ายกาจเปล่งประกายในดวงตาของต่งชันหลังจากได้ยินการปฏิเสธของเหวินชิงซวนก็ยิ้ม “แม่นางเวินพูดแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยเหรอ เมื่อออกมาข้างนอก การมีเพื่อนดีกว่าการมีศัตรูนะ?”

ขณะที่เขาพูดร่างเงาทั้งแปดเงาที่ด้านหลังก็ก้าวออกมาก้าวหนึ่ง สาดสายตาน่ากลัว แต่ละคนจับจ้องไปที่กลุ่มของเวินชิงเฉวียน

“ทำไม? คิดจะเป็นศัตรูกับตระกูลเวินเหรอ?” สายตาของเวินชิงเฉวียนเย็นเยือกลงขณะที่พูดออกมา

“ถึงแม้พวกข้าจะไม่กล้าสร้างความบาดหมางกับตระกูลเวิน แต่อย่างน้อยที่นี่พวกเจ้าไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ไม่ใช่เหรอ?” ต่งซันยิ้มบาง

พวกเวินชิงเฉวียนมีเพียงหกคนเท่านั้น นอกจากนี้คนที่ดูทรงพลังที่สุด ก็คือเวินจื่อหยู่ที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม พวกที่เหลือก็อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ส่วนเวินชิงเฉวียนอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้น

งานนี้พรรคพวกต่งซันเขมือบกลุ่มนี้ได้สบาย

“ดังนั้นข้าหวังว่าแม่นางเวินจะพิจารณาข้อเสนออีกครั้ง” เมื่อต่งซันยิ้ม คนร้ายกาจที่อยู่ด้านหลังก็ค่อยๆ กระจายตัวออกไปอย่างช้าๆ สร้างแนวเป็นรูปครึ่งวงกลม

“พวกข้ามีคนที่จะร่วมมืออยู่แล้ว อย่าได้ฝัน!” เมื่อเห็นการก่อตัวของพวกเขา เวินชิงเฉวียนก็ยังคงแสดงท่าทางเย็นชาโดยไม่หวาดกลัว

“โอ้?”

เปลือกตาของต่งซันยกขึ้นขณะยิ้ม “ไม่เห็นจะน่าร่วมมือกับกลุ่มต่ำๆ เลย หากแม่นางเวินยินดีที่จะให้พวกข้าแทนที่ พวกเราก็ได้-ได้กันทั้งคู่เลยนะ”

เวินชิงเฉวียนไม่ได้พูด แต่หันไปหาเวินจื่อหยู่และคนอื่นๆ ก่อนจะพยักหน้าให้กันเล็กน้อย ไอสังหารวูบไหวในดวงตาเขา ไม่มีอะไรต้องพูดในสถานการณ์เช่นนี้ต่อไป มีเพียงการต่อสู้เท่านั้น

เวินจื่อหยู่พยักหน้าอย่างช้าๆ คลื่นหลิงยิ่งใหญ่ก็ผันผวนออกมาราวกับพายุ ค่อยๆ รวมตัวกันในร่างกายของเขา

“เฮ้ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าไม่เต็มใจรับความปรารถนาดีของพวกข้านะ”

ดวงตาต่งซันหรี่ลง ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยม เขาก้าวออกไป รัศมีทรงพลังของระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ระเบิดออกมา ทำให้พื้นที่ทั้งหมดนี้สั่นไหว

“ในเมื่อพวกเจ้าปฏิเสธความปรารถนาดี ก็อย่าโทษข้าที่ไร้ปรานี!”

ต่งซันยกมือขึ้นพร้อมกับคลี่ยิ้มน่ากลัว “กำจัดพวกมันซะ!”

ปัง!

จอมยุทธ์ที่อยู่ด้านหลังก็พุ่งออกมา

“ลงมือ!”

เวินชิงเฉวียนคำรามพลางวาดตราประทับ คลื่นหลิงพวยพุ่งออกมา

“ฮ่าๆ ไร้ยางอายจริงๆ ในเมื่อคนอื่นไม่เต็มใจทำงานด้วย ทำไมต้องมายุ่งกับพวกเขา” แต่ก่อนที่การต่อสู้จะปะทุขึ้น เสียงหัวเราะก็ดังก้องออกมา

ชี่!

ทั้งสองฝ่ายหยุดชะงักกะทันหัน ใบหน้าของต่งซันเปลี่ยนไปก่อนที่จะเงยหน้าคำราม “ใคร?!”

“กลุ่มต่ำๆ ที่เจ้าพูดถึงไง!”

เสียงหัวเราะร่วน ร่างเงากลุ่มหนึ่งก็ทะยานออกมาปรากฏตัวในหุบเขา

ทั้งสี่คนนี้ก็คือกลุ่มของมู่เฉินนั่นเอง

“มู่เฉิน? ลั่วหลี!”

เมื่อเวินชิงเฉวียนเห็นสี่คน นางก็อึ้งไปก่อนที่ความปีติจะวาบขึ้นบนใบหน้า

“หืม ไอ้กากสี่ตัวนี้มาจากไหน? ไสหัวไปซะ!”

มือสังหารปีศาจสองคนที่ใกล้กับกลุ่มมู่เฉินก็คำรามและเริ่มลงมือโจมตี

พวกเขาสองคนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ตอนนี้ร่วมมือกันชัดว่าตั้งใจจะสังหารมู่เฉินอย่างรวดเร็วเพื่อข่มขวัญคนอื่นๆ

“ไอ้ก้อนราสองชิ้น แกกล้าจะจัดการนายน้อยของข้าเชียวเรอะ?!”

ทว่าเมื่อทั้งสองคิดจออกกระบวนท่า หลงเซี่ยงก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าเหวี่ยงหมัดออกไป ทันใดนั้นเสียงคำรามของมังกรพลายก็สะท้อนไปทั่วขณะที่ปะทะกับสองจอมยุทธ์

ปัง!

สองจอมยุทธ์สีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง ก่อนที่ใบหน้าจะกลายเป็นสีแดงก่ำ พวกเขากระอักเลือดออกมา พลังอันน่าสะพรึงกลัวทำลายแขนของพวกเขาซะบู้บี้ไปหมด

ร่างของพวกเขากระเด็นออกไป สร้างรอยยาวไว้บนพื้น

“บังอาจ!”

เมื่อเห็นลูกน้องสองคนได้รับบาดเจ็บหนัก ดวงตาของต่งซันก็เย็นชาลง ก่อนที่จะเหวี่ยงฝ่ามือออกไป คลื่นหลิงน่าเกรงขามพวยพุ่งราวกับภูเขาไฟ

“ฝ่ามือเทพคีรี!”

กระบวนท่าของต่งซันแสดงให้เห็นถึงพลังของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ฝ่ามือดังกล่าวสามารถบดขยี้ภูเขา ทั่วบริเวณหุบเขาเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ฝ่ามือนั่นพุ่งเข้ามา ทว่าขณะที่กำลังจะโดนตัวกลุ่มมู่เฉิน หลิงซีก็ยกมือขึ้น แสงหลิงวูบไหวก่อนที่จะก่อร่างเป็นค่ายกลขนาดใหญ่

ค่ายกลทำหน้าที่เหมือนเกราะป้องกัน ปิดกั้นฝ่ามือไม่ให้เคลื่อนที่ได้

“หลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน?!”

ต่งซันหดตาลง จะต้องเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนถึงสามารถขัดขวางกระบวนท่าของเขาได้อย่างง่ายดาย!

เผชิญหน้ากับหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนแม้แต่ต่งซันยังรู้สึกหวาดกลัว

สายตาของเขาวูบไหวขณะที่กวาดมองกลุ่มที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆ หากพวกเขาร่วมพลังกันตอนนี้ พวกเขาก็ไม่อ่อนแอกว่าใครหน้าไหน

“กำลังมองหาพันธมิตรเหรอ? ไม่ต้องหรอก พวกข้าจัดการไปเรียบร้อยแล้ว” ขณะที่ต่งซันคิดจะเรียกพรรคพวก มู่เฉินก็ยิ้มบางให้

ตอนที่เขาเห็นว่าพวกเวินชิงเฉวียนกำลังมีปัญหา พวกเขาก็แอบกำจัดพวกที่ซ่อนตัวอยู่เรียบร้อย

เมื่อต่งซันได้ยิน ใบหน้าก็มืดครึ้มลงขณะที่มองมู่เฉินแสงลางร้ายกะพริบวาบในดวงตา “ไม่คิดว่าจะมีวันที่ตัวเองเสียเปรียบ ดีข้าจะจดสิ่งนี้ลงบัญชีไว้ แต่ไม่ต้องห่วง หนี้ของพรรคพวกข้าจะถือว่าเป็นของแกด้วย ครั้งหน้าข้าจะตัดหัวแกเอาไปหมักสุราเพื่อสังเวยสำหรับพวกเขา!”

ก่อนที่มู่เฉินจะโต้ตอบ ต่งซันก็สะบัดแขนเสื้อถอยกลับออกไปโดยไม่ลังเล

พรรคพวกของเขาติดตามไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงสิบกว่าอึดใจเงาร่างของพวกเขาก็อันตรธานหายไป

เมื่อมู่เฉินเห็นว่าต่งซันไปโดยไม่ลังเล เขาก็ค่อนข้างตกใจก่อนที่สัญลักษณ์หลิงยิ่งที่กะพริบอยู่ในแขนเสื้อจะจางลง

ถ้าต่งซันอยู่นานกว่านี้อีกหน่อย รอให้เขาเตรียมค่ายกลจนพร้อมสรรพ ในเวลานั้นพวกเขาคงได้แต่ฝันที่จะจากไป

แต่ชัดว่าเขาประเมินความระมัดระวังของต่งซันต่ำไป ชายคนนั้นต้องรู้สึกถึงบางอย่างผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ถอยกลับไปโดยไม่ลังเล

มู่เฉินหรี่ตาจ้องมองไปยังทิศที่พวกต่งซันจากไป ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง

“เด็ดเดี่ยวนัก… ครั้งต่อไปที่พบกัน ข้าต้องกุดหัวมันไม่ให้เหลือซากแล้ว”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท