หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1307

ตอนที่ 1307

บทที่ 1307 โยนตัวเองลงหม้อ

ฮึ่ม!

มิติสีแดงเข้มอัดแน่นด้วยคลื่นหลิงโหมกระหน่ำสว่างไสวเงามหึมายืนอยู่ในโลกสีแดงเข้ม คลื่นลมหายใจร้อนผ่าวพ่นออกมา ทำให้มิติถึงกับบิดเบือนจากความร้อน

ร่างใหญ่นี้เป็นภาพที่เกิดขึ้นในค่ายกลเพลิงทะยาน ซึ่งประกอบไปด้วยคลื่นหลิงที่บริสุทธิ์ระหว่างสวรรค์และโลก พลังอำนาจลึกซึ้งไม่อาจหยั่งรู้ได้ สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้เลยทีเดียว

เมื่อคลื่นความร้อนพัดออกมา อุณหภูมิในถ้ำก็เพิ่มขึ้น

ความปั่นป่วนจากด้านมู่เฉินดึงดูดความสนใจของผู้อื่นทันที เมื่อพวกเขาเห็นเปลวเพลิงทะยานขึ้น ใบหน้าแต่ละคนก็เปลี่ยนไปอย่างควบคุมไม่ได้

“ค่ายกลระดับจงซือขั้นสูง?!” เวินชิงเฉวียนเบิกตากว้าง ขณะจ้องมองมู่เฉินด้วยความตกใจ ‘ที่แท้มู่เฉินบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนแล้ว!’

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงมั่นใจในการรับมือกับองครักษ์เงาทั้งสองคน ที่แท้เขาก็มีไพ่ตายเช่นนี้อยู่ในมือนี่เอง!

“เจ้านั่น!” เวินชิงเฉวียนกัดฟันพร้อมกับสายตาซับซ้อน ตอนที่อยู่ในศึกเบญจภาคีมู่เฉินก็ทรงพลัง แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งกว่านางมากนัก

หลังจากผ่านไปหลายปี เมื่อพบกันอีกครั้ง แม้ขุมพลังระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายของมู่เฉินจะทำให้นางประหลาดใจ แต่ก็ยังคงอยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้

แต่นางไม่คิดว่าการเพาะบ่มขุมพลังหลิงของมู่เฉินจะเป็นเพียงแค่พื้นผิว ความแข็งแกร่งที่เขาแสดงให้เห็นจนถึงตอนนี้อาจเป็นเพียงแค่ปลายยอดภูเขาน้ำแข็ง

เผชิญหน้ากับมู่เฉินที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แม้แต่นางหงส์ที่มั่นใจในตัวเองอย่างเวินชิงเฉวียนยังรู้สึกรันทดลงหลายส่วน ‘เพื่อนคนนี้เป็นสัตว์ประหลาดแท้จริง’

ในคุกที่หลิงซีสร้างขึ้น หวู่ทงก็มองมู่เฉินด้วยดวงตาหดลง เมื่อเขาเห็นค่ายกลเพลิงทะยาน คิ้วของเขาก็ขมวดแน่นขึ้น

ชัดว่าความสามารถของมู่เฉินไม่อยู่ในความคาดหมายของเขา

“ไอ้เจ้านั่นมีกลยุทธ์บางอย่าง แต่ถึงแม้ว่ามันจะหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการกับองครักษ์เงาชั้นสูงสองคนของตระกูลหวู่!” ความเย็นชาวูบไหวบนใบหน้าของหวู่ทง องครักษ์เงาทั้งสองมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ดังนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับมู่เฉินที่จะจัดการกับพวกเขาด้วยค่ายกลแค่นี้

ยิ่งไปกว่านั้นมีเพียงองครักษ์คนเดียวที่ถูกขัง

ต่อไปคนที่สองจะต้องปลดปล่อยการโจมตีดุเดือดใส่มู่เฉินแน่ ในเวลานั้นมู่เฉินจะไม่มีพลังงานในการควบคุมค่ายกล ถ้าควบคุมไม่ได้องครักษ์คนแรกก็จะสลัดหลุดออกมาได้อย่างง่ายดาย

ในเวลานั้นมู่เฉินจะถูกล้อมกรอบจากองครักษ์เงาทั้งสอง

“แต่ค่ายกลนี้ท่าจะเป็นปัญหาแล้ว”

หวู่ทงละสายตากลับมามองคุกน้ำที่ยึดตัวเขาไว้ แม้ว่าความสามารถในการโจมตีจะไม่ทรงพลังแต่กลับมีพลังในการกักขังดีเยี่ยม แม้ว่าเขาจะใช้วิธีการต่างๆ ก็ยังไม่สามารถบุกทะลวงออกไปได้

ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้ตั้งใจจะรั้งเขาไว้เท่านั้น

สายตาหวู่ทงวูบไหว มุมหางตาจ้องมองไปที่หม้อกลั่น ความแวววับที่อธิบายไม่ได้วาบผ่านในดวงตา…

ตู้ม!
อ่านนิยาย
เพลิงก่อตัวเป็นภาพเงาขนาดยักษ์ ปลดปล่อยการโจมตีดุเดือดไปยังองครักษ์เงา ขณะที่หมัดควงออกมา เปลวไฟรุนแรงก็ซัดใส่องครักษ์เงาจังใหญ่

ตึง!

โดยไม่มีความกลัว องครักษ์เงาพุ่งตัวออกไปปะทะเต็มแรง ผลกระทบรุนแรงนี้ทำให้ถ้ำใหญ่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด

ขณะที่การต่อสู้เข้มข้นเกิดขึ้นในค่ายกล องครักษ์เงาอีกคนหนึ่งก็พุ่งเข้าหามู่เฉินพร้อมกับคลื่นหลิงรุนแรงและไร้ขอบเขตรวมตัวกันที่กำปั้น ทำให้กำปั้นนี้มีพลังแตกท้องฟ้าได้เลย

เจดีย์ขยายในดวงตาของมู่เฉิน เปลี่ยนคลื่นหลิงในร่างกายให้เป็นผลึกคลื่นหลิง จากนั้นหมัดก็ชกออกไป ลวดลายผลึกใสนับไม่ถ้วนพล่านบนแขนของเขา

ตึง ตึง!

เมื่อร่างทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรง มิติก็ผันผวน ทำให้การต่อสู้ดูดุเดือดอย่างยิ่ง

แต่ในขณะที่มู่เฉินกำลังโรมรันพันตู ค่ายกลเพลิงทะยานก็เริ่มจางหายไปอย่างที่หวู่ทงคาดไว้ ขบวนแถวแสงเริ่มหม่นลง ภาพเงาขนาดมหึมาก็เริ่มถอยจากการบีบบังคับโดยองครักษ์เงา

ทว่าเมื่อภาพนี้เพิ่งจะปรากฏ มู่เฉินก็ยิ้มอ่อนก่อนที่จะวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว มิติพลิกผันที่เบื้องหลัง มู่เฉินชุดขาวปรากฏขึ้น จากนั้นก็เข้าพุ่งไปในค่ายกล ก่อนที่จะนั่งลงและเริ่มควบคุม

เมื่อมู่เฉินชุดขาวเข้าไปแล้ว ค่ายกลเพลิงทะยานก็ระเบิดออกพร้อมกับเกลียวแสงสีแดงมากมายพวยพุ่ง ภาพเงาขนาดยักษ์คำรามก้อง พลิกสถานการณ์ทำให้องครักษ์เงาตกที่นั่งลำบาก

เมื่อค่ายกลเสถียร มู่เฉินก็มีเวลาพุ่งความสนใจไปที่การต่อสู้ จากการแลกกระบวนท่าเมื่อครู่เขาตระหนักได้ว่าถึงแม้ว่าจะใช้การขยายของเจดีย์ แต่เขาก็ยังคงเสียเปรียบเมื่อต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม

ไม่ว่าอย่างไรก็มีช่องว่างกว้างใหญ่ระหว่างระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายกับขั้นเต็มอยู่ ถ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายธรรมดาปะทะกับขั้นเต็ม ชีวิตของพวกเขาคงถูกเฉือนออกในสิบกระบวนท่า สำหรับมู่เฉินที่สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ระดับนี้โดยไม่ใช้ร่างเทห์สวรรค์ถือว่าไม่ธรรมดามากแล้ว

“ในเมื่อข้าคนเดียวเอาชนะไม่ได้ แล้วข้าสองคนล่ะ?”

มู่เฉินยิ้มอ่อนขณะที่จ้องมององครักษ์เงาที่พุ่งเข้ามา เงาส่องประกาย มู่เฉินชุดดำก็ปรากฏขึ้น ทั้งสองคนเหวี่ยงหมัดออกมาพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก่อตัวเป็นพายุเฮอริเคน แม้แต่ท้องฟ้าก็แยกออกจากกัน

ปัง!

หมัดทั้งสองปะทะกับองครักษ์เงาอีกครั้ง

แต่ครั้งนี้ไม่ใช่มู่เฉินที่ถอยออกไป แต่เป็นองครักษ์เงาปลิวออกไป

ในระยะไกล ต่งซันที่สู้กับเวินจื่อหยู่ก็เหลือบมอง ใบหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาตกใจที่เห็นมู่เฉินถึงสามคน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมมู่เฉินถึงสามารถสร้างร่างดวงจิตที่มีพลังเช่นเดียวกับร่างหลักได้

“หึ สนใจตัวเองก่อนดีกว่า!”
คลิก
ขณะที่เขากำลังฟุ้งซ่าน เสียงเยาะเย้ยก็ดังก้อง กระบี่เย็นทะลุผ่านมิติเสือกแทงเข้าที่หน้าอกของต่งซันทิ้งบาดแผลไว้

“ไอ้เวร แกรนหาที่ตาย!”

หลังจากได้รับบาดเจ็บโดยไม่ทันระวังตัว ใบหน้าของต่งซันก็ดูน่าขนพองสยองเกล้า จิตสังหารเพิ่มขึ้นก่อร่างเป็นใบมีดไร้ขอบเขตล้อมรอบร่างเวินจื่อหยู่เอาไว้

คลื่นหลิงรุนแรงพัดไปทั่วถ้ำ หากถ้ำนี้ไม่ใช่ถ้ำที่ภูตผีเสื้อโอสถสร้างไว้ละก็ คงจะต้องถูกทำลายจนวินาศสันตะโรจากการต่อสู้ดุเดือดเหล่านี้

“ชิงเฉวียนเร็ว! ไปคว้ามรดกมาซะ!”

ขณะที่มู่เฉินกำลังโรมันกับองครักษ์เงาสองคน เขาก็ส่งเสียงไปหาเวินชิงเฉวียนทันที

เวินชิงเฉวียนพยักหน้า ถอยออกจากวงล้อมการต่อสู้โดยไม่ลังเล ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานไปทางหม้อกลั่นที่อยู่ในส่วนลึกของถ้ำ นางรู้ว่ามู่เฉินและคนอื่นๆ กำลังซื้อเวลาให้ ดังนั้นนางต้องใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์สูงสุด

พวกต่งซันรู้สึกร้อนรนมากขึ้นกับการกระทำของเวินชิงเฉวียน พวกเขาต้องการหยุดนาง แต่ก็ถูกดักไว้ในการต่อสู้

ดังนั้นเมื่อไม่มีใครขัดขวาง เวินชิงเฉวียนก็มาถึงอย่างรวดเร็วที่เบื้องหน้าหม้อกลั่นภูตผีเสื้อโอสถที่มีเปลวไฟลุกโชติช่วง แม้ว่าจะไม่มีอุณหภูมิสูง แต่ก็ให้ความรู้สึกน่ากลัว

หม้อนี้ถูกทิ้งไว้โดยภูตผีเสื้อโอสถ แม้เปลวไฟจะลุกโชนมาเนิ่นนาน แต่หากไม่มีวิธีที่เหมาะสม แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็กลายเป็นเถ้าถ่านเมื่อสัมผัสกับมันได้

เมื่อมองไปที่หม้อกลั่น เวินชิงเฉวียนก็หายใจเข้าลึกสุดปอด จากข้อมูลที่รวบรวมมา มรดกของภูตผีเสื้ออยู่ในหม้อกลั่นนี้ ดังนั้นถ้านางต้องการได้ก็ต้องโยนตัวเองเข้าไปในหม้อ

แต่ชัดเจนว่านี่เป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง

รัศมีความตายที่เอิบอาบออกมาจากหม้อกลั่นขนาดใหญ่สามารถเผาจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มกลายเป็นเถ้าถ่านได้ ไม่ต้องพูดถึงระดับนางเลย

เวินชิงเฉวียนกัดฟันกำมือแน่น ความลังเลเคลื่อนอยู่ในนัยน์ตา แต่ไม่นานก็ถูกนางระงับ

การแสดงออกเด็ดเดี่ยวเผยบนใบหน้า

หากนางต้องการได้รับมรดก ก็เป็นธรรมชาติที่ต้องยอมสูญเสียบางอย่าง หากนางไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นนั้น ทำไมจึงสมควรได้รับมรดกเล่า?

เมื่อคิดได้ เวินชิงเฉวียนก็ไม่ลังเลอีกต่อไป นางส่งแรงไปที่ฝ่าเท้าโผทะยาน ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในหม้อกลั่นขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเปลวไฟที่น่าสะพรึงกลัวภายใต้สายตาตกตะลึงของทุกคน

แม้ว่ามู่เฉินจะเดาได้ว่านี่เป็นวิธีที่จะได้รับมรดก แต่เขาก็ยังรู้สึกกังวลกับเวินชิงเฉวียนอยู่ในใจ เพราะด้วยความผิดพลาดเล็กน้อยนางอาจถูกเผาเป็นเถ้าถ่านได้

ในเวลานี้ที่ทำได้คืออธิษฐานว่าเวินชิงเฉวียนเลือกหนทางถูกแล้ว

หวู่ทงที่อยู่ในคุกน้ำก็ยืนขึ้น มองไปที่เวินชิงเฉวียนที่โยนตัวเองเข้าไปในหม้อกลั่นขนาดใหญ่ ความคาดหวังที่แปลกประหลาดปรากฏขึ้นในดวงตา

“เวินชิงเฉวียน อย่าทำให้ข้าผิดหวังซะล่ะ”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท