บทที่ 1309 มิติมังกรดำ
เมื่อรัศมีจั้นยี่พวยพุ่งออกจากร่างของมู่เฉิน
เขาก็ทะยานประหนึ่งสายฟ้าพุ่งเข้ามาในทางที่ค่อยๆ เสถียรขึ้น
เหตุการณ์ที่กลับตาลปัตรก่อนหน้าก็ทำเอามู่เฉินตกใจไป เขาไม่คิดว่าจะมีมรดกของจักรพรรดิมังกรดำซ่อนอยู่ในมรดกของภูตผีเสื้อโอสถด้วย
นอกจากนี้ที่น่าตกตะลึงที่สุดก็คือ ‘กองทัพมังกรดำ’ ที่หวู่ทงพูดถึง
นี่เป็นกองทัพทรงพลังที่สามารถเทียบเคียงได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน ระดับของกองทัพเช่นนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดยังต้องใช้เวลานานและทรัพยากรจำนวนมหาศาลในการเลี้ยงดู
ดังนั้นต่อให้เป็นจั้นเจิ้นซือ มู่เฉินก็ไม่เคยมีความตั้งใจที่จะสร้างกองทัพด้วยตัวเอง เพราะเขารู้ว่าไม่มีความสามารถพอที่จะเสียเวลาและทรัพยากรให้กับมันได้
ทว่าจากที่หวู่ทงพูดก่อนหน้า กองทัพมังกรดำนั้นได้รับการรักษาไว้เป็นอย่างดี ที่สำคัญที่สุดพวกเขาไม่ใช่หุ่นเงา แต่เป็นกองทัพที่มีชีวิตจริงๆ
เพียงว่ากองทัพมังกรดำหลับใหล ถ้าปลุกพวกเขาได้ พวกเขาก็จะฟื้นฟูกลับเป็นกองทัพมังกรดำที่มีชื่อเสียงในสมัยโบราณ
ในสถานที่นี้ นอกจากหวู่ทง ก็คงมีเพียงมู่เฉินที่เป็นจั้นเจิ้นซือเท่านั้น ถึงรู้ว่ากองทัพแบบนี้ที่มีค่าเช่นไร
ดังนั้นเมื่อสิ้นเสียงเสียงของหวู่ทง มู่เฉินก็ทะยานออกไปโดยไม่ลังเล เข้าไปในมิติมังกรดำก่อนที่หวู่ทงจะทันขยับตัว
ไม่มีใครมีปฏิกิริยาตอบสนองได้ทันในเวลาที่มู่เฉินพุ่งออกไป แม้แต่หวู่ทงก็อึ้งไป ทว่าหลังจากครู่เดียวเมื่อเขารู้สึกถึงรัศมีจั้นยี่ที่เพิ่มขึ้นจากร่างของมู่เฉิน ใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวอย่างไม่สามารถควบคุมได้
เขาไม่เคยคิดว่าคำพูดของตนเองจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว!
นั่นเป็นเพราะเขามั่นใจว่าในที่นี้มีเพียงตนเองที่เป็นจั้นเจิ้นซือ มิฉะนั้นทำไมเขาถึงไม่รู้สึกถึงความผันผวนของรัศมีจั้นยี่ในการต่อสู้เมื่อสักครู่
แต่ไม่ว่าเขาจะยากที่จะเชื่อแค่ไหน ความจริงที่โหดร้ายก็ปรากฏที่เบื้องหน้าแล้ว
เมื่อมองไปที่มู่เฉิน หวู่ทงก็อยากจะตบกะโหลกตัวเอง เพราะเขาอิ่มเอมใจมากเกินไปจึงเผยความลับเหล่านั้นออกมา แต่เขาก็ต้องการให้ข้อมูลที่น่าตกใจเพื่อแยกแยะความสนใจของทุกคน พวกเขาจะได้ไม่รบกวนความมั่นคงของเส้นทาง
แต่เขาไม่เคยคิดว่าคำพูดของตนเองจะดึงดูดปัญหามาให้
ดวงตาของหวู่ทงเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ท่าทางน่ากลัวขึ้นหลายส่วน
ทว่าหวู่ทงไม่ได้เสียสติไปกับความโกรธ สายตาจ้องเขม็งไปที่มู่เฉิน เขาไม่ได้คิดโจมตีแต่ก้าวเข้าสู่มิติมังกรดำไป
สิ่งสำคัญในตอนนี้คือการได้รับกองทัพมังกรดำ แต่ถ้าเขาปะทะกับมู่เฉินละก็ อาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
วาบ!
มิติมังกรดำผันผวนเล็กน้อย ร่างของหวู่ทงก็หายไปในทางเดิน ช่วงเวลานั้นมู่เฉินก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วเข้าไป
ทั้งสองคนหายตัวไปในมิติมังกรดำ
เมื่อทั้งสองหายไป ในถ้ำก็เงียบกริบ ทุกคนยังอยู่ในอาการตกใจ พวกเขาไม่รู้ว่าควรตอบสนองต่อสถานการณ์นี้อย่างไรดี
“มู่เฉินเข้าไปแล้ว? งานนี้หวู่ทงไม่ปล่อยเขาแน่!” เวินชิงเฉวียนรีบลุกขึ้นมองไปที่ลั่วหลีและหลิงซีด้วยความกังวล
“นอกจากนี้มู่เฉินเป็นจั้นเจิ้นซือด้วยเหรอ? เขาจะเอาชนะหวู่ทงได้ไหม?”
เหตุผลที่มู่เฉินเข้าไปในมิติมังกรดำก็ชัดว่าเพื่อรับกองทัพมังกรดำ แต่หวู่ทงไม่ยอมปล่อยมู่เฉินไปตามที่ต้องการหรอก ดังนั้นจะต้องเกิดการต่อสู้รุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
พลังของหวู่ทงแข็งแกร่งกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดาบวกกับไพ่ตายจำนวนมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่คนที่สามารถจัดการได้ง่ายๆ
หลิงซีขมวดคิ้ว แต่ลั่วหลีกลับดูสงบนิ่งขณะที่จ้องมองมิติมังกรดำ “มู่เฉินไม่ใช่คนที่จะตาบอดเพเราะความโลภมาก เขาต้องมีความมั่นใจในเมื่อเลือกทำสิ่งนี้”
แม้ว่าหวู่ทงจะทรงพลัง แต่มู่เฉินก็ไม่ใช่ธรรมดา ตอนที่เขาอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น เขาก็เจิดจรัสท่ามกลางจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ลั่วหลีเชื่อว่ากระทั่งจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มทรงพลัง มู่เฉินก็ไม่ได้ด้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกัน
เมื่อเห็นการแสดงออกที่สงบนิ่งของลั่วหลี เวินชิงเฉวียนก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่พวกนางทำได้ตอนนี้ก็คือรอและหวังว่ามู่เฉินจะสามารถควบคุมกองทัพมังกรดำได้ มิฉะนั้นถ้ากองทัพมังกรดำตกอยู่ในมือของหวู่ทง จะเป็นหายนะกับพวกนางทั้งหมด
ดังนั้นการต่อสู้ดุเดือดในถ้ำจึงสงบลงช้าๆ เนื่องจากพวกเขารู้ว่าการต่อสู้แตกหักจะเกิดขึ้นในมิติมังกรดำ
ทว่าตอนนี้ยังมีองครักษ์เงาสองคนที่ยังต่อสู้กับมู่เฉินชุดดำและชุดขาวที่มู่เฉินทิ้งไว้
“เวินจื่อหยู่ไปช่วยร่างดวงจิตของมู่เฉินจัดการกับองครักษ์เงา” เวินชิงเฉวียนหันไปบอก
เวินจื่อหยู่พยักหน้า ก่อนที่จะหันหลังกลับพุ่งเข้าใส่องครักษ์เงา
ขณะที่ต่งซันต้องการขัดขวาง หลิงซีก็ปรากฏตัวต่อหน้าพร้อมกับค่ายกลถักทอขึ้นในมือนาง
เมื่อทั้งสองกลุ่มยืนคุมเชิงกัน พวกเขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นเงาดำขยับเข้าใกล้มิติมังกรดำก่อนจะหายเข้าไปช้าๆ
เมื่อเข้าสู่มิติมังกรดำ
สภาพแวดล้อมโดยรอบของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลาต่อมาความผันผวนห้วงมิติก็เสถียรขึ้น เขากวาดสายตาออกไป
ที่นี่เป็นดินแดนรกร้างเต็มไปด้วยหุบเขาลึก มู่เฉินมองออกไปในระยะไกล
มีลานขนาดใหญ่ที่มีรูปปั้นสีแดงเข้มยืนอยู่นับไม่ถ้วน แต่ละร่างดูพร่างพราวนัก
รูปปั้นหินเหล่านั้นยืนเงียบๆ บนลานราวกับเป็นกองทัพชั้นยอด สายตามองไปยังแท่นสูงที่เบื้อหน้าด้วยท่าทางเคารพเทิดทูน
ราวกับว่าเคยมีกษัตริย์ของพวกเขายืนอยู่
มู่เฉินมองไปที่รูปปั้นหิน ใบหน้าก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน เนื่องจากเขารับรู้ถึงแรงกดดันน่ากลัวที่เกิดขึ้นจากพวกเขา
“นั่นคือกองทัพมังกรดำ!”
สายตามู่เฉินวูบไหว มีเพียงกองทัพมังกรดำเท่านั้นที่ให้ความกดดันที่น่าสะพรึงกลัวเพียงนี้ได้ แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะหลับใหลอยู่ก็ตาม
วาบ!
บนท้องฟ้าไม่ไกลหวู่ทงก็ปรากฏตัวขึ้นพลางมองไปยังกองทัพรูปปั้นหินด้วยความโลภ ก่อนที่จะหันมาเผชิญหน้ากับมู่เฉินด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัว “ไอ้โง่ แกคิดว่าจะได้รับกองทัพนี้โดยตามข้าเข้ามาในมิติมังกรดำเรอะ?”
ใบหน้าของมู่เฉินเรียบเฉย เพราะเขารู้ว่าไม่ง่ายขนาดนั้นแน่นอน ทว่าเขาก็ไม่มีทางยืนเฉยมองหวู่ทงเข้าควบคุมกองทัพน่ากลัวนี่
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่สนใจ เขาก็หัวเราะในลำคอ มือกำแน่นเครื่องรางปรากฏขึ้นแล้วบินออกไป
เมื่อเครื่องรางพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ก็เปล่งประกายระยิบระยับดูราวกับดวงอาทิตย์อบอุ่นส่องลงบนรูปปั้นหินด้านล่าง
ภายใต้แสงสว่างมู่เฉินตระหนักได้ว่ารูปปั้นหินเริ่มละลายอย่างช้าๆ
“เครื่องรางนี้สร้างขึ้นโดยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของตระกูลหวู่เพื่อใช้ในการปลุกกองทัพมังกรดำที่หลับใหล!” มู่เฉินขมวดคิ้วกับคำพูดดังกล่าว หวู่ทงเตรียมพร้อมจริงๆ
ภายใต้การสายตาของมู่เฉิน กองทัพก็เริ่มละลาย หลายนาทีต่อมาหินบนร่างพวกเขาก็หายไปแทนที่ด้วยเกราะสีแดงเข้ม
เงาเหล่านั้นดูแข็งแกร่งด้วยผิวสีแดงเข้ม แม้แต่เกล็ดมังกรก็ยังสามารถเห็นได้บนร่าง พลังมังกรถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเงียบๆ
ทว่ามู่เฉินก็สัมผัสได้ว่าเมื่ออาการแข็งเป็นหินหายไป นักรบบางคนก็กลายเป็นเถ้าถ่าน พวกเขาคงจะล้มเหลวในการเข้าสู่กระบวนการนิทรารมณ์และสลายหายไปจากกาลเวลา
ภายใต้สายตาเป็นกังวลของมู่เฉินและหวู่ทง เงาสีแดงเข้มจำนวนมากก็เปิดตาขึ้น ดวงตาของพวกเขาส่องประกายความงุนงงก่อนที่แสงหลิงจะเริ่มรวมตัวกัน สุดท้ายพวกเขาก็ก้มศีรษะลงคุกเข่าต่อหน้าแท่นสูง
ตึง!
ทั้งมิติสั่นสะเทือน
ขณะที่พวกเขาค่อยๆ ฟื้นความทรงจำ พวกเขาจำได้ว่านายท่านใช้พลังเฮือกสุดท้ายทำให้นักรบทุกคนเข้าสู่สภาวะนิทรารมณ์เพื่อช่วยรักษาพวกเขาไว้
บนท้องฟ้ามู่เฉินและหวู่ทงก็รับรู้ถึงอารมณ์ผิดปกติในกองทัพมังกรดำ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าขัดขวาง ปล่อยให้กองทัพมังกรดำรำลึกถึงจักรพรรดิแห่งตนที่สิ้นชีพไปแล้ว
ประมาณสิบกว่านาทีต่อมานักรบมังกรดำก็ลุกขึ้นยืน เงามืดกำยำด้านหน้าสุดของกองทัพเงยหน้ามองไปที่มู่เฉินและหวู่ทง เสียงขึงขังดังก้อง
“ใครปลุกพวกข้าขึ้นมา?”