หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1309

ตอนที่ 1309

บทที่ 1309 มิติมังกรดำ
เมื่อรัศมีจั้นยี่พวยพุ่งออกจากร่างของมู่เฉิน

เขาก็ทะยานประหนึ่งสายฟ้าพุ่งเข้ามาในทางที่ค่อยๆ เสถียรขึ้น

เหตุการณ์ที่กลับตาลปัตรก่อนหน้าก็ทำเอามู่เฉินตกใจไป เขาไม่คิดว่าจะมีมรดกของจักรพรรดิมังกรดำซ่อนอยู่ในมรดกของภูตผีเสื้อโอสถด้วย

นอกจากนี้ที่น่าตกตะลึงที่สุดก็คือ ‘กองทัพมังกรดำ’ ที่หวู่ทงพูดถึง

นี่เป็นกองทัพทรงพลังที่สามารถเทียบเคียงได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน ระดับของกองทัพเช่นนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดยังต้องใช้เวลานานและทรัพยากรจำนวนมหาศาลในการเลี้ยงดู

ดังนั้นต่อให้เป็นจั้นเจิ้นซือ มู่เฉินก็ไม่เคยมีความตั้งใจที่จะสร้างกองทัพด้วยตัวเอง เพราะเขารู้ว่าไม่มีความสามารถพอที่จะเสียเวลาและทรัพยากรให้กับมันได้

ทว่าจากที่หวู่ทงพูดก่อนหน้า กองทัพมังกรดำนั้นได้รับการรักษาไว้เป็นอย่างดี ที่สำคัญที่สุดพวกเขาไม่ใช่หุ่นเงา แต่เป็นกองทัพที่มีชีวิตจริงๆ

เพียงว่ากองทัพมังกรดำหลับใหล ถ้าปลุกพวกเขาได้ พวกเขาก็จะฟื้นฟูกลับเป็นกองทัพมังกรดำที่มีชื่อเสียงในสมัยโบราณ

ในสถานที่นี้ นอกจากหวู่ทง ก็คงมีเพียงมู่เฉินที่เป็นจั้นเจิ้นซือเท่านั้น ถึงรู้ว่ากองทัพแบบนี้ที่มีค่าเช่นไร

ดังนั้นเมื่อสิ้นเสียงเสียงของหวู่ทง มู่เฉินก็ทะยานออกไปโดยไม่ลังเล เข้าไปในมิติมังกรดำก่อนที่หวู่ทงจะทันขยับตัว

ไม่มีใครมีปฏิกิริยาตอบสนองได้ทันในเวลาที่มู่เฉินพุ่งออกไป แม้แต่หวู่ทงก็อึ้งไป ทว่าหลังจากครู่เดียวเมื่อเขารู้สึกถึงรัศมีจั้นยี่ที่เพิ่มขึ้นจากร่างของมู่เฉิน ใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวอย่างไม่สามารถควบคุมได้

เขาไม่เคยคิดว่าคำพูดของตนเองจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว!

นั่นเป็นเพราะเขามั่นใจว่าในที่นี้มีเพียงตนเองที่เป็นจั้นเจิ้นซือ มิฉะนั้นทำไมเขาถึงไม่รู้สึกถึงความผันผวนของรัศมีจั้นยี่ในการต่อสู้เมื่อสักครู่

แต่ไม่ว่าเขาจะยากที่จะเชื่อแค่ไหน ความจริงที่โหดร้ายก็ปรากฏที่เบื้องหน้าแล้ว

เมื่อมองไปที่มู่เฉิน หวู่ทงก็อยากจะตบกะโหลกตัวเอง เพราะเขาอิ่มเอมใจมากเกินไปจึงเผยความลับเหล่านั้นออกมา แต่เขาก็ต้องการให้ข้อมูลที่น่าตกใจเพื่อแยกแยะความสนใจของทุกคน พวกเขาจะได้ไม่รบกวนความมั่นคงของเส้นทาง

แต่เขาไม่เคยคิดว่าคำพูดของตนเองจะดึงดูดปัญหามาให้

ดวงตาของหวู่ทงเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ท่าทางน่ากลัวขึ้นหลายส่วน

ทว่าหวู่ทงไม่ได้เสียสติไปกับความโกรธ สายตาจ้องเขม็งไปที่มู่เฉิน เขาไม่ได้คิดโจมตีแต่ก้าวเข้าสู่มิติมังกรดำไป

สิ่งสำคัญในตอนนี้คือการได้รับกองทัพมังกรดำ แต่ถ้าเขาปะทะกับมู่เฉินละก็ อาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น

วาบ!

มิติมังกรดำผันผวนเล็กน้อย ร่างของหวู่ทงก็หายไปในทางเดิน ช่วงเวลานั้นมู่เฉินก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วเข้าไป

ทั้งสองคนหายตัวไปในมิติมังกรดำ

เมื่อทั้งสองหายไป ในถ้ำก็เงียบกริบ ทุกคนยังอยู่ในอาการตกใจ พวกเขาไม่รู้ว่าควรตอบสนองต่อสถานการณ์นี้อย่างไรดี

“มู่เฉินเข้าไปแล้ว? งานนี้หวู่ทงไม่ปล่อยเขาแน่!” เวินชิงเฉวียนรีบลุกขึ้นมองไปที่ลั่วหลีและหลิงซีด้วยความกังวล

“นอกจากนี้มู่เฉินเป็นจั้นเจิ้นซือด้วยเหรอ? เขาจะเอาชนะหวู่ทงได้ไหม?”

เหตุผลที่มู่เฉินเข้าไปในมิติมังกรดำก็ชัดว่าเพื่อรับกองทัพมังกรดำ แต่หวู่ทงไม่ยอมปล่อยมู่เฉินไปตามที่ต้องการหรอก ดังนั้นจะต้องเกิดการต่อสู้รุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

พลังของหวู่ทงแข็งแกร่งกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดาบวกกับไพ่ตายจำนวนมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่คนที่สามารถจัดการได้ง่ายๆ

หลิงซีขมวดคิ้ว แต่ลั่วหลีกลับดูสงบนิ่งขณะที่จ้องมองมิติมังกรดำ “มู่เฉินไม่ใช่คนที่จะตาบอดเพเราะความโลภมาก เขาต้องมีความมั่นใจในเมื่อเลือกทำสิ่งนี้”

แม้ว่าหวู่ทงจะทรงพลัง แต่มู่เฉินก็ไม่ใช่ธรรมดา ตอนที่เขาอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น เขาก็เจิดจรัสท่ามกลางจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ลั่วหลีเชื่อว่ากระทั่งจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มทรงพลัง มู่เฉินก็ไม่ได้ด้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกัน

เมื่อเห็นการแสดงออกที่สงบนิ่งของลั่วหลี เวินชิงเฉวียนก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่พวกนางทำได้ตอนนี้ก็คือรอและหวังว่ามู่เฉินจะสามารถควบคุมกองทัพมังกรดำได้ มิฉะนั้นถ้ากองทัพมังกรดำตกอยู่ในมือของหวู่ทง จะเป็นหายนะกับพวกนางทั้งหมด

ดังนั้นการต่อสู้ดุเดือดในถ้ำจึงสงบลงช้าๆ เนื่องจากพวกเขารู้ว่าการต่อสู้แตกหักจะเกิดขึ้นในมิติมังกรดำ

ทว่าตอนนี้ยังมีองครักษ์เงาสองคนที่ยังต่อสู้กับมู่เฉินชุดดำและชุดขาวที่มู่เฉินทิ้งไว้

“เวินจื่อหยู่ไปช่วยร่างดวงจิตของมู่เฉินจัดการกับองครักษ์เงา” เวินชิงเฉวียนหันไปบอก

เวินจื่อหยู่พยักหน้า ก่อนที่จะหันหลังกลับพุ่งเข้าใส่องครักษ์เงา

ขณะที่ต่งซันต้องการขัดขวาง หลิงซีก็ปรากฏตัวต่อหน้าพร้อมกับค่ายกลถักทอขึ้นในมือนาง

เมื่อทั้งสองกลุ่มยืนคุมเชิงกัน พวกเขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นเงาดำขยับเข้าใกล้มิติมังกรดำก่อนจะหายเข้าไปช้าๆ

เมื่อเข้าสู่มิติมังกรดำ

สภาพแวดล้อมโดยรอบของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลาต่อมาความผันผวนห้วงมิติก็เสถียรขึ้น เขากวาดสายตาออกไป

ที่นี่เป็นดินแดนรกร้างเต็มไปด้วยหุบเขาลึก มู่เฉินมองออกไปในระยะไกล

มีลานขนาดใหญ่ที่มีรูปปั้นสีแดงเข้มยืนอยู่นับไม่ถ้วน แต่ละร่างดูพร่างพราวนัก

รูปปั้นหินเหล่านั้นยืนเงียบๆ บนลานราวกับเป็นกองทัพชั้นยอด สายตามองไปยังแท่นสูงที่เบื้อหน้าด้วยท่าทางเคารพเทิดทูน

ราวกับว่าเคยมีกษัตริย์ของพวกเขายืนอยู่

มู่เฉินมองไปที่รูปปั้นหิน ใบหน้าก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน เนื่องจากเขารับรู้ถึงแรงกดดันน่ากลัวที่เกิดขึ้นจากพวกเขา

“นั่นคือกองทัพมังกรดำ!”

สายตามู่เฉินวูบไหว มีเพียงกองทัพมังกรดำเท่านั้นที่ให้ความกดดันที่น่าสะพรึงกลัวเพียงนี้ได้ แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะหลับใหลอยู่ก็ตาม

วาบ!

บนท้องฟ้าไม่ไกลหวู่ทงก็ปรากฏตัวขึ้นพลางมองไปยังกองทัพรูปปั้นหินด้วยความโลภ ก่อนที่จะหันมาเผชิญหน้ากับมู่เฉินด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัว “ไอ้โง่ แกคิดว่าจะได้รับกองทัพนี้โดยตามข้าเข้ามาในมิติมังกรดำเรอะ?”

ใบหน้าของมู่เฉินเรียบเฉย เพราะเขารู้ว่าไม่ง่ายขนาดนั้นแน่นอน ทว่าเขาก็ไม่มีทางยืนเฉยมองหวู่ทงเข้าควบคุมกองทัพน่ากลัวนี่

เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่สนใจ เขาก็หัวเราะในลำคอ มือกำแน่นเครื่องรางปรากฏขึ้นแล้วบินออกไป

เมื่อเครื่องรางพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ก็เปล่งประกายระยิบระยับดูราวกับดวงอาทิตย์อบอุ่นส่องลงบนรูปปั้นหินด้านล่าง

ภายใต้แสงสว่างมู่เฉินตระหนักได้ว่ารูปปั้นหินเริ่มละลายอย่างช้าๆ

“เครื่องรางนี้สร้างขึ้นโดยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของตระกูลหวู่เพื่อใช้ในการปลุกกองทัพมังกรดำที่หลับใหล!” มู่เฉินขมวดคิ้วกับคำพูดดังกล่าว หวู่ทงเตรียมพร้อมจริงๆ

ภายใต้การสายตาของมู่เฉิน กองทัพก็เริ่มละลาย หลายนาทีต่อมาหินบนร่างพวกเขาก็หายไปแทนที่ด้วยเกราะสีแดงเข้ม

เงาเหล่านั้นดูแข็งแกร่งด้วยผิวสีแดงเข้ม แม้แต่เกล็ดมังกรก็ยังสามารถเห็นได้บนร่าง พลังมังกรถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเงียบๆ

ทว่ามู่เฉินก็สัมผัสได้ว่าเมื่ออาการแข็งเป็นหินหายไป นักรบบางคนก็กลายเป็นเถ้าถ่าน พวกเขาคงจะล้มเหลวในการเข้าสู่กระบวนการนิทรารมณ์และสลายหายไปจากกาลเวลา

ภายใต้สายตาเป็นกังวลของมู่เฉินและหวู่ทง เงาสีแดงเข้มจำนวนมากก็เปิดตาขึ้น ดวงตาของพวกเขาส่องประกายความงุนงงก่อนที่แสงหลิงจะเริ่มรวมตัวกัน สุดท้ายพวกเขาก็ก้มศีรษะลงคุกเข่าต่อหน้าแท่นสูง

ตึง!

ทั้งมิติสั่นสะเทือน

ขณะที่พวกเขาค่อยๆ ฟื้นความทรงจำ พวกเขาจำได้ว่านายท่านใช้พลังเฮือกสุดท้ายทำให้นักรบทุกคนเข้าสู่สภาวะนิทรารมณ์เพื่อช่วยรักษาพวกเขาไว้

บนท้องฟ้ามู่เฉินและหวู่ทงก็รับรู้ถึงอารมณ์ผิดปกติในกองทัพมังกรดำ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าขัดขวาง ปล่อยให้กองทัพมังกรดำรำลึกถึงจักรพรรดิแห่งตนที่สิ้นชีพไปแล้ว

ประมาณสิบกว่านาทีต่อมานักรบมังกรดำก็ลุกขึ้นยืน เงามืดกำยำด้านหน้าสุดของกองทัพเงยหน้ามองไปที่มู่เฉินและหวู่ทง เสียงขึงขังดังก้อง

“ใครปลุกพวกข้าขึ้นมา?”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท