หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1311

ตอนที่ 1311

บทที่ 1311 ปะทะด้วยรัศมีจั้นยี่
“ฮ่าๆ เยี่ยม! ไอ้สารเลว แกช่างกล้า!”

เมื่อได้ยินคำตอบของมู่เฉิน หวู่ทงก็ระเบิดหัวเราะ เสียงหัวเราะเต็มไปด้วยไอสังหารที่ทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดลง

ขณะที่เสียงหัวเราะหยุดลงช้าๆ หวู่ทงก็มองมู่เฉินด้วยสายตาดุร้ายราวกับงูพิษ จากนั้นเขาปรากฏตัวเหนือกองทัพมังกรดำโดยไม่พูดอะไรและนั่งลง

“จัดขบวน”

หวู่ทงตะโกนขณะที่ดวงตาหลับลง ความผันผวนไร้ขอบเขตแผ่ขยายออกไปสู่กองทัพมังกรดำอย่างรวดเร็ว

เหล่านักรบที่ถูกรัศมีห่อหุ้ม ส่วนใหญ่ก็ถึงกับเบ้ปาก หากพวกเขาต้องการต่อต้านคลื่นจิตนี้ หวู่ทงก็ไม่สามารถเร้ารัศมีจั้นยี่ได้แม้แต่น้อย

ทว่านักรบร่างกำยำก็แค้นเสียงเย็นขึ้น เมื่อเขาเห็นพรรคพวกไม่ยอมตอบสนอง

เมื่อเห็นท่าทางของแม่ทัพ นักรบกองทัพมังกรดำก็ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ ยอมแพ้ที่จะต่อต้าน ทันใดนั้นร่างของพวกเขาก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เบื้องหลังหวู่ทง

ฟิ้ว ฟิ้ว!

ในเวลาเพียงไม่กี่สิบลมหายใจก็มีนักรบของกองทัพมังกรดำแปดร้อยคนยืนอยู่ด้านหลังหวู่ทงแล้ว

แต่เมื่อจำนวนมาถึงประมาณหนึ่งพันคน หวู่ทงก็ตระหนักได้ว่าไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้อีก นี่มาถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว

“กองทัพมังกรดำสมคำร่ำลือแท้จริง!”

หวู่ทงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความชื่นชมในหัวใจ ในตระกลูหวู่ตัวเขาสามารถบัญชาการกำลังพลได้อย่างน้อยสองถึงสามแสนคน แต่เมื่อเป็นกองทัพมังกรดำเขาสามารถควบคุมได้เพียงหนึ่งพันคนเท่านั้น

นั่นหมายความว่าพันคนนี้เทียบเท่ากับกองทัพนับแสนจากตระกูลหวู่

นี่เทียบเท่ากับหนึ่งหมื่นต่อหนึ่งเลยทีเดียว

หลังจากสัมผัสได้ถึงความทรงอำนาจของนักรบกองทัพมังกรดำว่าเป็นอย่างไรด้วยตัวเอง ความโลภของหวู่ทงก็เพิ่มขึ้น ก่อนที่เขาจะมองมู่เฉินด้วยสายตาเย็นชา ดูท่าวันนี้เขาต้องกำจัดสิ่งขัดขวางที่อยู่ต่อหน้าให้ได้แล้ว

“นักรบมังกรดำหนึ่งพันคนรึ? ไม่เลว แต่แค่ไม่รู้ว่าเจ้าจะเร้ารัศมีจั้นยี่ได้มากแค่ไหน”

ดวงตาของแม่ทัพมังกรดำสั่นไหวกับฉากนี้ หวู่ทงเป็นจั้นเจิ้นซือที่ใช้ได้เลยทีเดียว แต่เขายังอ่อนไปมากเมื่อเทียบกับจักรพรรดิมังกรดำ

“ไอ้เวร แกยังไม่รวบรวมกำลังทหารอีกเรอะ? หรือว่ากลัว?” หวู่ทงมองไปที่มู่เฉินอย่างเย้ยหยัน

ทว่ามู่เฉินไม่ใส่ใจท่าทางดังกล่าว เขานั่งลงบนท้องฟ้าพร้อมกับหลับตา ก่อนที่คลื่นจิตทรงพลังจะระเบิดออกมาจากร่างของเขา

เมื่อคลื่นจิตเข้าห่อหุ้มกองทัพมังกรดำ เขาก็พบการต่อต้านตามที่คาดไว้ ท้ายที่สุดกองทัพมังกรดำไม่ใช่กองทัพที่เขาปั้นมากับมือ ดังนั้นจึงไม่คุ้นเคยกับรัศมีจั้นยี่ของพวกเขา ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันจากการติดต่อครั้งแรก

ฟิ้ว!

แต่การต่อต้านก็เกิดไม่นาน ก่อนที่ร่างเงาจะเริ่มลอยขึ้นไปรวมตัวกันอยู่เบื้องหลังเขา

ในเวลาสิบกว่าลมหายใจนักรบกลุ่มใหญ่ก็รวมตัวกันอยู่ด้านหลังมู่เฉิน จำนวนมีเกือบหนึ่งพันคนดูสูสีมากเมื่อเทียบกับหวู่ทง

“กองทัพมังกรดำแข็งแกร่งกว่ากองทัพสังหารวิญญาณแท้จริง แม้แต่กองทัพดับปีศาจก็ไม่สามารถเทียบได้”

เมื่อสัมผัสกับรัศมีจั้นยี่ไร้ขีดจำกัดที่รวบตัวจากนักรบพันคน มู่เฉินก็ต้องตกใจ หนึ่งพันคนยังทรงอำนาจขนาดนี้ ถ้าเขาสามารถควบคุมกองทัพมังกรดำทั้งหมด เขาอาจจะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้จริงๆ

แน่นอนว่ามู่เฉินรู้ว่าตนเองยังไม่มีความสามารถถึงขั้นนั้นในตอนนี้

“หึ ก็แค่ฝืนตัวเองรวบรวมกำลังพล แต่ถึงจำนวนจะเท่ากัน ก็จะแสดงพลังในระดับที่แตกต่างกันจากฝีมือของแต่ละคน!” เมื่อหวู่ทงเห็นนักรบเกือบพันคนที่เบื้องหลังมู่เฉิน เขาก็หดตาลงขณะที่เยาะเย้ย

จำนวนไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่จะส่งผลต่อพลังของรัศมีจั้นยี่ มันยังขึ้นอยู่กับว่าสามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพไหม!

ไม่มีความลังเล คลื่นจิตของหวู่ทงก็หลอมรวมกับพลังหลิงในร่างกายกลายเป็นพลังเอกลักษณ์ห่อหุ้มกองทัพมังกรดำนับพันที่ข้างหลังไว้

“รูปแบบรัศมีจั้นยี่!”

เมื่อพลังเอกลักษณ์เทลงในร่างนักรบมังกรดำ ดวงตาของพวกเขาก็แดงฉานทันที เสียงคำรามดังขึ้นพร้อมเพรียง

ตู้ม!

ชั้นฟ้าและชั้นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ขณะที่รัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่กวาดออกจากกองทัพมังกรดำพันคน สร้างความกดดันอันน่าสะพรึงกลัว

“ตาย!”

รัศมีจั้นยี่อัดแน่นในอากาศ ขณะที่สัมผัสกับความแข็งแกร่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ดวงตาของหวู่ทงก็เปลี่ยนเป็นสีแดง เขาแสยะยิ้มน่ากลัวไปทางมู่เฉิน ก่อนที่จะวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว

ตึง!

มือขนาดใหญ่ยื่นเหยียดออกจากมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ปกคลุมไปด้วยลวดลายจั้นเหวิน บริเวณที่เคลื่อนผ่านมิติก็แสดงสัญญาณการยุบตัวลง

“ลวดลายจั้นเหวินเจ็ดล้านสามแสนลาย” แม่ทัพมังกรดำจ้องมองมือขนาดใหญ่ ด้วยการมองครั้งแรกก็สามารถบอกจำนวนลวดลายจั้นเหวินได้ในทันที

เมื่อมองดูมือใหญ่โตนั่น ใบหน้าของมู่เฉินก็ยังคงสงบ เขาวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียวเช่นกัน

“รูปแบบรัศมีจั้นยี่!”

นักรบมังกรดำคำราม รัศมีจั้นยี่ที่ทรงพลังกวาดออกไป

“ตู้ม!”

กำปั้นขนาดมหึมาพุ่งออกมาจากเมฆรัศมีจั้นยี่ ลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วนกะพริบอยู่บนนั้น ทุกลวดลายบรรจุด้วยพลังแข็งแกร่งที่สามารถสั่นสะเทือนสวรรค์และโลกได้

“ลวดลายจั้นเหวินเจ็ดล้านลวดลาย” สายตาแม่ทัพมังกรดำวูบไหวอีกครั้ง

ครืน!

อึดใจมือและหมัดก็ปะทะกันอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดคลื่นกระแทกขนาดใหญ่ที่จะทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดายังต้องหลีกเลี่ยงออกไป

ทว่าเนื่องจากจำนวนลวดลายจั้นเหวินไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ดังนั้นแม้กำปั้นของมู่เฉินจะพังก่อน แต่ของหวู่ทงก็ยุบตัวลงติดๆ กันไป ไม่ได้เปรียบอะไรมาก

ใบหน้าของหวู่ทงมืดครึ้ม ความเคร่งขรึมวูบไหวในดวงตา ความเชี่ยวชาญของการเป็นจั้นเจิ้นซือที่มู่เฉินแสดงออกมานั้นชัดเจนว่าไปไกลจากความคาดหวังของเขา

“ไอ้เวรนั่น! ไม่เพียงแต่จะเชี่ยวชาญค่ายกล ในฐานะจั้นเจิ้นซือก็ไม่แพ้ใครเช่นกัน!”

หวู่ทงกัดฟันกรอดขณะที่ดวงตาของเย็นเยือกลง “ตัวข้าได้รับการปลูกฝังอย่างขมขื่นในศาสตร์จั้นเจิ้นซือมานานเป็นทศวรรษด้วยทรัพยากรมหาศาลของตระกูลหวู่ ข้าไม่เชื่อว่าตัวเองจะแพ้ไอ้เหลือขอนี่!”

กระบวนท่าในมือของหวู่ทงเปลี่ยนแปลงเร็วรี่ คลื่นหลิงและคลื่นจิตรวมเข้ากับรัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขต

ครืน!

มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ดังก้องด้วยเสียงคำรามของสายฟ้าไม่รู้จบ พร้อมกับรัศมีจั้นยี่พวยพุ่งออกมา ลำแสงนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นเป็นกระบี่จำนวนมากบนท้องฟ้า

กระบี่ถูกปกคลุมด้วยลวดลายจั้นเหวิน ทำให้เกิดความผันผวนที่น่าตกตะลึงยิ่งนัก

“ภาพกระบี่สงคราม!”

สายตาของหวู่ทงเปลี่ยนเป็นเฉียบคมขณะโบกแขนเสื้อ กระบี่ส่งเสียงหวีดหวิวยิงออกไปในทิศทางของมู่เฉิน

เผชิญกับการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังต้องสิ้นชีพหากประมาท

เมื่อมองไปที่การโจมตีของตนเอง หวู่ทงก็พอใจมาก หากเป็นกองทัพตระกูลหวู่นี่อาจเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะปลดปล่อยพลังดังกล่าว แต่ด้วยกองทัพมังกรดำเขาสามารถผลักดันพลังของรัศมีจั้นยี่ได้ถึงขีดจำกัด

เขาตั้งใจจะใช้การโจมตีครั้งนี้ ส่งมู่เฉินไปยังจุดที่ไม่อาจพลิกสถานการณ์กลับมาได้!

“ตอนนี้ชักน่าสนใจแล้ว!” แม่ทัพมังกรดำพยักหน้าหงึกหงัก ขณะที่เอ่ยความคิดเห็น

ความเชี่ยวชาญของหวู่ทงในฐานะจั้นเจิ้นซือถือว่าค่อนข้างดี เขาเริ่มดึงพลังของกองทัพมังกรดำออกมาใช้ได้บ้างแล้ว

มู่เฉินยกเปลือกตาขึ้นมองกระบี่ที่พุ่งเข้ามา กระบี่ทุกเล่มมีลวดลายจั้นเหวินอย่างน้อยล้านลายเห็นจะได้ เขาสามารถระงับหนึ่งในนั้นได้อย่างง่ายดาย แต่ด้วยจำนวนมากมายกระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ยังหวาดกลัวกับการโจมตีดังกล่าว

ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีครั้งนี้ สีหน้าของมู่เฉินก็เคร่งเครียดลง เขาต้องเทหมดหน้าตักแล้ว!

ฮา

มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึก คลื่นจิตค่อยๆ ผสานเข้ากับรัศมีจั้นยี่กองทัพมังกรดำ เมื่อสัมผัสกับรัศมีจั้นยี่แข็งแกร่ง จิตใจของเขาก็สั่นสะท้าน

โฮก!

เสียงคำรามของมังกรดังขึ้นจากร่างกาย ถ่ายโอนพลังอำนาจของวิญญาณมังกรแท้จริงสู่รัศมีจั้นยี่ของกองทัพมังกรดำ

ขณะนั้นเองมู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงร่างกายของเหล่านักรบมังกรดำที่สั่นไหว รัศมีจั้นยี่ของพวกเขาที่หนักหนาก็เปลี่ยนเป็นเบาบางขึ้นในเวลานี้

สองมือวาดตราประทับเร็วรี่ ภาพมายาบินว่อน เขาผลักรัศมีจั้นยี่ของตนเองไปถึงขีดจำกัด

ชั้นรัศมีจั้นยี่หนาแน่นกลิ้งไปมาอย่างรุนแรง ในช่วงเวลาต่อมากรงเล็บมังกรขนาดหนึ่งหมื่นจั้งที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดก็ยื่นออกมาจากหมู่เมฆ

กรงเล็บนั้นบรรจุด้วยรัศมีจั้นยี่เกินจินตนาการ

“กรงเล็บสงครามมังกร!”

เสียงลึกต่ำของมู่เฉินเปล่งออกมา กรงเล็บมังกรขนาดใหญ่ก็พุ่งทะลุขอบฟ้าด้วยพลังทำลายล้างปะทะเข้ากับห่ากระบี่ที่พุ่งเข้ามา

ทั้งสองราวกับอุกกาบาตชนกัน รัศมีการทำลายล้างอุบัติขึ้น

ใครแข็งแกร่งหรืออ่อนด้อยก็ขึ้นอยู่กับกระบวนท่านี้แล้ว!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท