หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1306

ตอนที่ 1306

บทที่ 1306 ประจัญบานในถ้ำ
“ปล่อยพวกมันไว้กับเจ้าหรือ?”

เวินชิงเฉวียน เวินจื่อหยู่และคนอื่นๆ มองมู่เฉินด้วยความตกตะลึง พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินที่ไม่ออกหน้ามาตลอดทาง จะขอจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนสองคนนี้เอง

ตอนนี้เขามีขุมพลัตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้นนะ!

“เจ้าไหวเหรอ?” เวินชิงเฉวียนอดไม่ได้ที่จะถาม แม้ว่านางจะรู้ว่ามู่เฉินซ่อนความแข็งแกร่งไว้ แต่อย่างมากนางก็คิดว่ามู่เฉินสามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้เท่านั้น แต่นางไม่คิดว่าเขาจะสามารถปะทะกับสองคนได้

“อย่าถามคำถามแบบนี้กับผู้ชาย” มู่เฉินยิ้มล้อเล่น

เวินชิงเฉวียนอึ้งไปก่อนที่ใบหน้าจะเห่อแดง นางจ้องมู่เฉินเขม็ง “อยากตายรึไง!”

มู่เฉินยิ้ม หลังจากคลายความตึงเครียดในกลุ่มแล้ว เขาก็มองไปที่หลิงซี “พี่หลิงซี ข้าจะทิ้งหวู่ทงไว้กับเจ้าเป็นการชั่วคราว แค่ขัดขวางเขาไว้ก็พอ”

หวู่ทงทรงพลังมากกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทั่วไป บางทีแม้ว่าหลิงซีจะเคลื่อนไหว แต่นางก็ไม่สามารถเอาชนะได้ แต่ด้วยความเชี่ยวชาญทางด้านค่ายกล ไม่น่าจะลำบากถ้าแค่ขัดขวางไว้

“ได้เลย” หลิงซีพยักหน้า แสงหลิงกะพริบในมือพร้อมกับสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้น

“งั้นต่งซันข้าจัดการเอง!” เวินจื่อหยู่กล่าว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของต่งซันตอนที่อยู่ในขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่เวลานี้ด้วยวิชาขยายสายเลือดจากเวินชิงเฉวียน เขาก็ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าแล้ว

“ลั่วหลี เจ้านำพรรคพวกคนอื่นๆ เข้าจัดการพวกเขาที่เหลือ”

ลั่วหลีพยักหน้า นอกเหนือจากหวู่ทง ต่งซันและองครักษ์เงาทั้งสองคนแล้ว คนที่เหลือก็มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น ซึ่งพวกเขาสามารถจัดการได้

“งั้นลุยเลย!”

หลังจากเลือกคู่ต่อสู้กันแล้ว มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ดวงตาที่ยิ้มแย้มในตอนแรกก็คมชัดขึ้น ในวินาทีต่อมาก็ทิ้งเงาไว้ด้านหลังขณะที่ทะยานออกไป

เขาตบลงบนอากาศ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ห่อหุ้มองครักษ์เงาสองคนไว้

“รนหาที่ตาย กล้าที่จะสู้กับองครักษ์เงาสองคนด้วยตัวคนเดียวเรอะ?” หวู่ทงอึ้งไปก่อนที่รอยยิ้มเย้ยหยันจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า

องครักษ์เงาทั้งสองไม่มีอารมณ์ใดๆ พวกเขามีเพียงสัญชาตญาณในการฆ่า ช่วงเวลาที่ต่อสู้ เว้นแต่พวกเขาจะฉีกทึ้งฝ่ายตรงข้ามเป็นชิ้นๆ ไม่อย่างนั้นพวกเขาไม่หยุดฆ่าแน่นอน

เผชิญหน้ากับเครื่องจักรสังหารเหล่านี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังขยาด แต่มู่เฉินกำลังจะปะทะกับสองคนนี้ด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ในสายตาของหวู่ทงนี่เป็นการรนหาที่ตายชัดๆ

ต่งซันก็ส่ายหน้าอย่างสังเวช ตอนแรกเขาตั้งใจจะจับมู่เฉิน ทรมานให้จนรู้สึกว่าตายดีกว่าอยู่ แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ แม้แต่ศพก็คงไม่เหลือไว้ต่างหน้า

โฮก!

เมื่อคลื่นหลิงของมู่เฉินห่อหุ้มองครักษ์เงาทั้งสอง พวกเขาก็รู้สึกถูกแรงดึงดูด เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าเปล่งออกมาพร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงระเบิดออกอย่างรุนแรง

ตู้ม!

ทั้งสองพุ่งออกมาราวกับสัตว์อสูรดุร้ายกระโจนใส่มู่เฉินอย่างไม่เกรงกลัว หากร่างถูกปะทะละก็ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ต้องกระอักเลือดถอยกลับ

เผชิญหน้ากับการพุ่งเข้าชนจากองครักษ์เงา มู่เฉินที่พุ่งเข้ามาก็หยุดชะงักก่อนจะถอยหนี ชัดว่าตั้งใจจะหลบการปะทะนี้

โฮก!

องครักษ์ทั้งสองก็ตามโรมรันพันตู แต่ละคนควงกำปั้น คลื่นหลิงสีแดงเข้มข้นพร้อมกับไอสังหารหนาแน่นพุ่งเข้าใส่มู่เฉิน

ภายใต้การโจมตีที่ดุร้ายนี้ มู่เฉินก็ถอยอย่างต่อเนื่อง

เมื่อหวู่ทงและต่งซันเห็นว่ามู่เฉินถอยหนีจ้าละหวั่น รอยยิ้มเย้ยหยันก็กระจายบนใบหน้าหนาแน่นขึ้น ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามู่เฉินจะมีความสามารถจากการโม้ไว้บ้าง แต่การตัดสินจากสถานการณ์นี้เขาบ่มิไก๊เลยทีเดียว

“กำจัดพวกมันซะ”

หวู่ทงโบกมือเบาๆ สายตามองเวินชิงเฉวียนและคนอื่นๆ แบบไม่แยแส

ตู้ม!

ที่ข้างหลัง ทั้งสองกลุ่มระเบิดคลื่นหลิงทรงพลังออกมา อึดใจร่างเงาก็ทะยานเข้าใส่พวกเวินชิงเฉวียน

“มู่เฉินไหวแน่ใช่ไหม?” เวินชิงเฉวียนมองไปที่มู่เฉินซึ่งกำลังถอยหนีพร้อมกับสายตาเป็นห่วง

“วางใจเถอะ เขาไม่ใช่พวกฝืนตัวหรอก” ลั่วหลียิ้มบางก่อนจะพยักหน้าให้จอมยุทธ์ตระกูลเวิน ทันใดนั้นร่างหลายร่างก็โผทะยานออกไปเพื่อป้องกันการพุ่งเข้ามาของศัตรู

“หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดกับพี่มู่นะ” เวินจื่อหยู่ถอนหายใจ ตอนนี้ถึงเขาต้องการช่วยมู่เฉินก็ไม่สามารถทำเช่นนั้น

ดังนั้นเขาจึงได้แต่ตั้งสมาธิพุ่งตัวออกไปปรากฏที่เบื้องหน้าต่งซันเพื่อปิดกั้นอีกฝ่าย

“เฮ้ แกเนี่ยนะ? ที่คิดจะขัดขวางข้า?!” เมื่อต่งซันเห็นเวินจื่อหยู่ก็แสยะยิ้มชั่วร้ายพร้อมกับไอสังหารหนาแน่นพลุ่งพล่านออกมาจากร่างกาย ทำให้บรรยากาศโดยรอบค่อยๆ กลายเป็นน้ำแข็ง

ท่องยุทธภพรอบๆ แดนเซิ่งยวนมาหลายปี ต่งซันสู้รบปรบมือมานับครั้งไม่ถ้วน ในฐานะจอมยุทธ์ที่มีประสบการณ์การต่อสู้กว้างขวาง เขาไม่กลัวผู้เชี่ยวชาญธรรมดาๆ หรอก

แต่เวินจื่อหยู่ก็เป็นจอมยุทธ์ชั้นยอดจากตระกูลเวิน ดังนั้นเขาจึงเริ่มหมุนเวียนคลื่นหลิงไร้ขอบเขตในร่างกายด้วยท่าทางเคร่งเครียดลงหลายส่วน ก่อนที่จะกำมือกระบี่ยาวสีดำก็ปรากฏขึ้น ใบมีดถูกแกะสลักด้วยอักขระโบราณที่กำจายรัศมีคมชัด

กระบี่ยาวนี้คืออาวุธมหสวรรค์ขั้นสูง!

กระบี่ปรากฏในมือของเวินจื่อหยู่ ท่าทางเขาก็ค่อยๆ สงบลง ดวงตาราวกับใบมีดคมจับจ้องที่ต่งซัน

“หึ!”

ต่งซันเค้นเสียงเย็นพร้อมกับม่านตาหดลง อาวุธมหสรรค์ขั้นสูงไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นบ่อยนัก แม้กระทั่งเขายังไม่ได้เป็นเจ้าของหลังจากต่อสู้มานานหลายปี ทำให้รู้สึกว่าพวกที่มาจากพื้นเพยิ่งใหญ่ ช่างขวางหูขวางตาเสียจริง

เขากำมือแน่น ดาบสีแดงเข้มที่เต็มไปด้วยไอสังหารและกลิ่นคาวเลือดก็ปรากฏขึ้นในมือ ดาบนี้ก็เป็นอาวุธมหสรรค์เช่นกัน เพียงแต่ว่าอยู่ในขั้นกลางเท่านั้น

วาบ!

ต่งซันถือดาบจังก้าที่เบื้องหน้าเวินจื่อหยู่พร้อมกับรังสีสังหารไร้ขอบเขตพล่านตามมา จากนั้นก็ฟันลงเต็มแรง

เวินจื่อหยู่ใช้กระบี่ตั้งรับการโจมตีทันที อึดใจก็ปลดปล่อยพายุคลื่นหลิงรุนแรงอันแปรปรวนพุ่งเข้าปะทะ

“เจ้าเป็นคู่ต่อสู้ของข้าเหรอ?”

เมื่อการต่อสู้เริ่มต้นขึ้นทุกจุด หวู่ทงก็มองหลิงซีตายิ้มหยี “อา…สาวงามตัวจริง เอาแบบนี้ตระกูลเวินเสนอให้เท่าไร? ข้าจะจ่ายให้เป็นสองเท่าเลย”

ตอบสนองต่อคำพูดเยาะเย้ยนั่น หลิงซีก็ยิ้มบาง “เจ้าลองเสนอราคาที่น่าดึงดูดออกมาสิ?”

หวู่ทงหัวเราะเบาๆ แต่ในวินาทีต่อมาดวงตาก็เย็นชาลง เงาของเขาพุ่งออกไปพร้อมกับหมัดเหวี่ยงออกมา คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตได้ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นกำปั้นขนาดใหญ่ซัดใส่หลิงซี

“ให้เวลากับพวกหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน แกคิดว่าข้าโง่นักเรอะ?”

หวู่ทงเป็นคนฉลาด อ่านความคิดของหลิงซีออกทันที เหล่าหลิงเจิ้นซือต้องใช้เวลาในการเตรียมค่ายกลทรงพลังเมื่อพวกเขาต่อสู้

หมัดทะยานออกมา ทว่าหลิงซีก็ยังคงมีท่าทางสงบ นางแตะปลายนิ้วขึ้นอย่างเงียบๆ มิติบิดเบี้ยวที่เบื้องหน้า อึดใจค่ายกลก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า กลายเป็นแม่น้ำคลื่นหลิงปะทะกับกำปั้นคลื่นหลิง

ปัง!

ความปั่นป่วนครั้งใหญ่กระจายออก แม่น้ำสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ทว่าน้ำในแม่น้ำก็ยึดติดหมัดเอาไว้ ทำให้หมัดละลายอย่างรวดเร็ว

“ค่ายกลเก้ามังกรธารา!”

ตราประทับในมือหลิงซีเปลี่ยนแปลงวูบไหว แม่น้ำคลื่นหลิงก็พวยพุ่งเพิ่มสูงขึ้นพร้อมกับสัญลักษณ์หลิงยิ่งเปล่งประกายบนท้องฟ้า ก่อร่างเป็นค่ายกลลึกซึ้ง

โฮก!

เสียงคำรามของมังกรดังก้อง มังกรธาราเก้าตัวพุ่งเข้าหาหวู่ทง

“หึ!”

หวู่ทงเค้นเสียงเย็น ฝ่ามือทั้งสองประสานเข้าด้วยกัน ก่อนที่เขาจะผลักออกไป

“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเต็ม ฝ่ามือสงครามศักดิ์สิทธิ์!”

ฮึ่ม!

ฝ่ามือสีทองทั้งเก้าซัดออกมา แล้วตบลงเบาบนมังกรธาราทั้งเก้า พลังอันน่าสะพรึงกลัวระเบิดออก ขณะที่คลื่นพลังถูกลดระดับกลายเป็นหมอก

“แกกล้าใช้ค่ายกลระดับนี้ต่อหน้าข้าเหรอ?” หวู่ทงเค้นเสียงเย็นชา

“งั้นเหรอ?”

หลิงซียิ้ม จากนั้นก็เริ่มวาดตราประทับซับซ้อนวูบไหว ในเวลาเดียวกันหวู่ทงก็ตระหนักได้ว่ามังกรธาราที่เขาเพิ่งทำลายกลายเป็นผนึกสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วน

พวกมันรวมเข้ากับมิติอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่น่าตกใจ กลายเป็นค่ายกลน้ำสีดำทะมึน

ค่ายกลนี้ราวกับคุกน้ำครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด ดักจับหวู่ทงไว้ในส่วนที่ลึกที่สุด

“ค่ายกลระดับจงซือขั้นสูง ค่ายกลคุกน้ำอันธการ!”

ตู้ม!

ขณะที่มู่เฉินถอยออกไปต่อเนื่ององครักษ์เงาคนหนึ่งก็สามารถเข้ามาใกล้ได้พร้อมกับกำปั้นราวกับเส้นแสงซัดใส่หัวของมู่เฉิน

ม่านตาสีดำของมู่เฉินเปล่งประกายด้วยผลึกแก้วใส เจดีย์ปรากฏขึ้น คลื่นหลิงในร่างกายปะทุขึ้นโดยที่ไม่ยับยั้ง

ปัง!

กำปั้นโยนออกไป เขาเลือกที่จะปะทะซึ่งหน้า

มิติแตกสลายเมื่อเกิดการสัมผัสกัน องครักษ์เงาถอยห่างออกไปหลายก้าว ส่วนมู่เฉินถอยออกไปสิบกว่าก้าวพร้อมกับกำปั้นของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงจางๆ

ตู้ม!

ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยวที่ด้านหลัง องครักษ์เงาอีกคนปรากฏขึ้นก่อนที่เขาจะรู้ตัว เล็งไปทางด้านหลังของหัวใจมู่เฉิน

แต่คราวนี้เขาไม่คิดจะถอยแล้ว รอยยิ้มเย็นๆ กลับผุดขึ้นบนริมฝีปาก

มือยื่นออกมา จากนั้นก็วาดตราประทับก็วาดขึ้นใส่องครักษ์เงาคนนั้น

ครืน!

มิติระเบิดออกมาพร้อมกับเกลียวแสงสีแดงนับไม่ถ้วน สัญลักษณ์หลิงยิ่งพริบพราวสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าบนท้องฟ้าดูราวกับมหาสมุทรเพลิง อุณหภูมิที่น่ากลัวโหมกระหน่ำ

มิติสีแดงเข้มห่อหุ้มไว้ร่างองครักษ์เงาไว้พอดี

มู่เฉินยกเปลือกตาขึ้นขณะที่สายตาจ้องไปที่องครักษ์เงาที่เปล่งรัศมีดุเดือด เสียงดังเปล่งออกมาจากปากเขา

“ค่ายกลเพลิงทะยาน!”

ปัง!

มิติก่อตัวเป็นโลกลาวาพร้อมกับเงามหึมาลอยขึ้นช้าๆ ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตอันตรายที่สุดในโลกที่เกิดจากภูเขาไฟ

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท