หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1331

ตอนที่ 1331

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1331 สู้กับศพราชันอีกครั้ง
เสียงของมู่เฉินสะท้อนทั่วบริเวณ

ซึ่งดึงดูดสายตาตกตะลึงมากมายเข้ามา เพราะไม่มีใครคิดว่าคนแรกที่จะยืนหยัดต่อสู้กับซือเทียนโยวจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย

“มันอยากตายนักรึไง!”

สายตาของมั่วซินมืดครึ้มลงเมื่อมองมู่เฉิน เขาได้ลิ้มรสพลังของซากนั่นไปเมื่อครู่ จากการคาดการณ์แม้ว่าเขาจะใช้พลังและนำไพ่ตายออกมาทั้งหมด โอกาสในการชนะของเขาก็ไม่สูงนัก

เพราะศพราชันทรงพลังเกินไป!

มู่เฉินกล้ายืนหยัดต่อสู้กับบางสิ่งที่แม้แต่มั่วซินยังไม่สามารถต่อกรได้ ซึ่งในสายตาเขานี่เป็นการรนหาที่ตายชัดๆ

เฉวียนหลัวก็หรี่ตาพร้อมกับแววเยาะเย้ยโค้งที่มุมปาก ชัดว่ากำลังหัวเราะมู่เฉินที่ช่างอหังการเกินไป

“พี่ใหญ่ชิงซวง เขาจะทำได้เหรอ?” ชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะดึงแขนเสื้อของชิงซวง แม้ว่าพวกนางจะเคยเห็นความแข็งแกร่งของมู่เฉินมาก่อนและในใจพวกนางมู่เฉินก็ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่ามั่วซินและเฉวียนหลัว

แต่ศัตรูที่ต้องเผชิญในครั้งนี้น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม ไม่เห็นหรือว่าแม้แต่มั่วซินที่ทรงพลังยังถูกซัดกระเด็นออกไปด้วยหมัดเดียว? นอกจากนี้ซือเทียนโยวยังไม่ได้เคลื่อนไหวเลยนะ

ชิงซวงก็เม้มริมฝีปากพร้อมกับความสับสนพล่านในหัวใจ แต่ในเวลานี้ไม่มีอะไรที่พวกนางสามารถทำได้ยกเว้นเชื่อในตัวมู่เฉิน

“ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะทำ ข้าเชื่อว่าเขาน่าจะมีความมั่นใจพอสมควร” ชิงซวงกล่าวว่า จากการรู้จักที่สัมผัสมาก่อนหน้า มู่เฉินมีพื้นนิสัยใจเย็นและไม่ประมาท การฝืนตัวในสนามรบไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำออกมาได้”

ชิงหลิงพยักหน้า นางทำได้แค่ปลอบใจตัวเองในเวลานี้

ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจสายตาสงสัยที่จ้องมองมา สายตาของเขาจับจ้องไปที่ซือเทียนโยวตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยแววตาแหลมคมราวกับเหยี่ยว

“อา แกนั่นเอง…”

ซือเทียนโยวรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นมู่เฉิน ก่อนที่จะหัวเราะออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง “แต่แกช่างกล้าที่สะเออะยืนหยัดต่อหน้าข้าแบบนี้”

ซือเทียนโยวมองไปที่ศพพร้อมกับหรี่ตายิ้ม “แกไม่รู้สึกถึงความแข็งแกร่งของมันเรอะ? หลังจากถูกข้าปรับแต่งแล้วตอนนี้พลังของมันมีมากกว่าเดิมหลายส่วนเลย”

มู่เฉินยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น “แล้วยังไงล่ะ? ก็แค่ซากศพไม่ใช่ราชันที่แท้จริง”

“โอ้อวดซะเหลือเกิน” ซือเทียนโยวตอบเสียงเย็นเยือกเมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่สนใจศพราชันโดยสิ้นเชิง

“ข้าโอ้อวดหรือไม่ มาสู้กันเดี๋ยวก็รู้” มู่เฉินเยาะเย้ย

ซือเทียนโยวมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นเยือก ไอสังหารกะพริบผ่านดวงตาไป

วาบ!

จังหวะนั้นเองศพราชันก็พุ่งออกมายื่นมือแห้งเหี่ยวทะลุมิติตรงเข้าคว้าลำคอของมู่เฉิน

กรงเล็บทำให้มิติแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พลังน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

ทว่ามู่เฉินได้ตั้งระวังศพราชันมานานแล้ว ดังนั้นเมื่อมิติแตกสลายเขาก็แตะปลายเท้าถอยออกไปทิ้งภาพมายาไว้เบื้องหลัง

ขณะที่ล่าถอย มู่เฉินก็รูดแหวนสีดำบนนิ้ว

ฮึ่ม

แสงพร่างพราวระเบิดออกบนท้องฟ้า ทุกคนพากันตกใจไปเมื่อเห็นร่างเงาหลายพันร่างยืนอยู่ในตำแหน่งเดิมของมู่เฉิน

เมื่อเงาร่างนับพันปรากฏขึ้นรัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่ก็กวาดไปทั่วพื้นที่ทั้งหมด

ม่านตาของมั่วซินและเฉวียนหลัวหดเกร็งลงในขณะนี้ กระทั่งพวกเขาที่ใจเย็นก็ยังอกตกใจไม่ได้เมื่อเห็นนักรบหลายพันคนปรากฏตัวออกมา ยิ่งเมื่อรู้สึกถึงรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขต พวกเขาก็ต้องร้องอุทาน “รัศมีจั้นยี่? นี่คือกองทัพหรือเนี่ย?!”

ด้วยรัศมีจั้นยี่ที่ทรงพลังนี่จะต้องเป็นกองทัพชั้นยอดแน่นอน

ชิงหลิงและชิงซวงเบิกตากว้าง พักใหญ่กว่าจะร้องอุทานออกมา “เขาครอบครองกองทัพที่ทรงพลังเช่นนี้เชียวหรือ?”

รัศมีจั้นยี่ที่กระจายออกจากกองทัพนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอย่างชิงซวงยังรู้สึกหวาดกลัว

นี่คือกองทัพมังกรดำที่ปรากฏตัวบนท้องฟ้า โดยมีเจียงหลงยืนอยู่ด้านหน้า เขาหันไปมองมู่เฉินป้องมือคารวะ “จอมทัพมู่”

“จอมทัพมู่!”

นักรบมังกรดำหลายพันคนเปล่งเสียงดังกึกก้องออกมาอย่างเป็นระเบียบประหนึ่งเสียงฟ้าคำรนเลยทีเดียว กระบวนทัพนี้ทำให้ผู้คนมากมายตกตะลึง

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ มองที่กองทัพมังกรดำก่อนจะยกคางขึ้นไปในทิศทางของศพ “แม่ทัพเจียงหลง เราได้พบเพื่อนเก่าอีกครั้งแล้ว”

เจียงหลงหันกลับไปมอง ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังหลังจากเห็นซากร่างนั่น “จอมทัพมู่โปรดสั่งการเพื่อเราจะได้ฉีกศพเส็งเคร็งนั่นเป็นชิ้นๆ”

“ไอ้โง่ทั้งยวง รนหาที่ตาย!”

ซือเทียนโยวยิ้มน่าขนลุกก่อนที่จะสะบัดมือ “ฆ่าพวกมันทั้งหมดซะ!”

โฮก!

ศพคำรามลั่น รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากพวยพุ่ง อึดใจมันก็พ่นควันปีศาจมหาศาลพุ่งใส่กองทัพมังกรดำ

หากนี่เป็นกองทัพธรรมดาปะทะกับศพราชันปีศาจละก็ อาจจะล่มสลายไปในพริบตาพร้อมกับกำลังใจทั้งหมดสูญเสีย แต่นี่คือกองทัพมังกรดำที่สามารถปราบปรามราชันปีศาจได้เมื่อในอดีต แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะยังไม่สามารถแสดงความแข็งแกร่งเต็มที่ในมือมู่เฉิน แต่ราชันปีศาจตัวนี้ก็เป็นเพียงศพ

“สู้!”

เจียงหลงคำราม นักรบมังกรดำหลายพันคนก็ปลดเปล่งเสียงตะโกน อึดใจต่อมารัศมีจั้นยี่เชี่ยวกรากก็กลายเป็นมหาสมุทรไร้ขอบเขต ขณะที่ม้วนตัว แม้แต่มิติก็ทนรับไม่ได้

นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉินรวมตัวกับรัศมีจั้นยี่มังกรดำ สัมผัสถึงพลังอันไร้ขอบเขต เพียงแค่คิดกรงเล็บมังกรที่ปกคลุมไปด้วยลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วนก็เหยียดขึ้นจากมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่พุ่งไปในทิศทางของศพราชันปีศาจ

“โฮก!”

ศพคำรามไม่ได้ถอยกลับ มันเหวี่ยงฝ่ามือออกไปเพื่อตอบโต้ กำปั้นแห้งเหี่ยวปะทะกับกรงเล็บของมังกรจังใหญ่

ครืนๆๆๆ!

ขณะที่พลังสองสายปะทะกันก็เกิดเสียงสนั่นหวั่นไหว ศพราชันปีศาจก็หยุดชะงัก ทว่ากรงเล็บมังกรถูกผลักกลับไป มิหนำซ้ำยังมีรอยแตกกระจายออกราวกับว่ากำลังจะแตกสลาย

มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะหดดวงตากับฉากนี้ “พลังของศพนั่นแข็งแกร่งขึ้นมากจริงๆ”

ย้อนไปในมิติมังกรดำ แม้ว่าศพราชันปีศาจจะไม่อ่อนแอ แต่ก็อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดเท่านั้น แต่หลังจากได้รับการปรับแต่งโดยซือเทียนโยว ก็แข็งแกร่งกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มระยะปลายสุดธรรมดาไปเล็กน้อย

แม้ว่าจะเล็กน้อย แต่ก็ทำให้ไม่มีใครในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มจะเทียบได้

“จอมทัพมู่ ซือเทียนโยวคงจะใช้ทักษะลับกระตุ้นพลังงานที่เหลืออยู่ในศพ ข้าเกรงว่านักรบมังกรดำสามพันคนจะไม่เพียงพอที่จะปราบแล้ว” เสียงของเจียงหลงซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยคลื่นหลิงดังก้องในโสตประสาทของมู่เฉิน

เห็นได้ชัดว่าเขาก็รู้สึกเช่นกันที่ศพราชันปีศาจแข็งแกร่งขึ้นมาก

มู่เฉินพยักหน้าขณะคลี่ยิ้ม “ในเมื่อสามพันสู้ไม่ได้… ก็เพิ่มไปอีกสองพัน!”

เจียงหลงอึ้งไปจากนั้นก็รีบตอบ “แต่ด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันของจอมทัพมู่ นักรบสามพันคนเป็นขีด จำกัดแล้ว มิฉะนั้นจะโดนผลกระทบย้อนกลับได้ง่ายนะขอรับ”

มู่เฉินยิ้มบางขณะที่มู่เฉินชุดดำและชุดขาวปรากฏขึ้นข้างกาย เขาคนเดียวสามารถควบคุมกองทัพมังกรดำสามพันคนเท่านั้น แต่ถ้าสามคนล่ะ

ด้วยความช่วยเหลือของพวกเขา การควบคุมนักรบมังกรดำห้าพันคนก็ไม่เป็นปัญหา

มู่เฉินโบกมือแสงเปล่งออกมาจากแหวนมังกรดำอีกครั้ง อึดใจนักรบอีกสองพันนายก็ปรากฏขึ้น

เมื่อจำนวนนักรบเพิ่มขึ้นก็ทำให้สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไป มากจนกระทั่งใบหน้าของมั่วซินและเฉวียนหลัวบิดเบี้ยวจนน่าเกลียดไปหมด

แม้ว่าพวกเขาจะหวาดเกรงกับกองทัพมังกรดำสามพันคนก่อนหน้า แต่ก็ยังไม่เพียงพอจะให้พวกเขารู้สึกกลัว แต่ด้วยจำนวนที่เพิ่มขึ้นอีกสองพันคน ทำให้ขนาดของรัศมีจั้นยี่น่าสะพรึงไปทั้งหัวใจ

‘ไอ้เวรนี่ไปได้กองทัพชั้นยอดนี่มาจากไหน?!’ หัวใจของมั่วซินดิ่งลึกลงราวกับมหาสมุทรขณะที่เขากรีดร้องอยู่ในใจ ในฐานะประมุขน้อยตระกูลมั่วเผ่าฝูถู เขารู้ชัดถึงคุณค่าของกองทัพชั้นยอดนี่

ใบหน้าของเฉวียนหลัวก็สลับไปมาระหว่างเขียวกับขาว ขณะที่มองมู่เฉินอย่างเย็นชา ยามนี้เขารู้สึกหน้าชาไปหมด ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาดูถูกมู่เฉิน เนื่องจากตัวเขาโดดเด่นที่สุดในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของเผ่าฝูถู ซึ่งแม้แต่มั่วซินก็แทบจะไม่สามารถแข่งขันกับเขาได้

สำหรับมู่เฉิน เขายิ่งมองอย่างดูถูก รู้สึกว่าตราบใดที่ปะทะกันก็จะสามารถซัดมู่เฉินหมอบราบคาบแก้วอย่างง่ายดาย

ดังนั้นสายตานิ่งสงบที่มองมู่เฉินจึงได้แฝงความเย่อหยิ่ง แต่ตอนนี้จู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าตนเองน่าหัวเราะแค่ไหน

นั่นเป็นเพราะพลังที่เขาภาคภูมิใจไม่เป็นภัยคุกคามต่อมู่เฉินแม้แต่น้อย

พลังที่อีกฝ่ายแสดงออกมาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตัวเขาเลย!

การเทียบนี้ทำให้ใบหน้าของเฉวียนหลัวมืดครึ้มพร้อมกับไอเย็นเยือกวูบไหวในดวงตา

เขารู้สึกว่าภัยคุกคามที่มาจากมู่เฉินยิ่งใหญ่กว่ามั่วซินเสียอีก!

ตู้ม!

ขณะที่หัวใจของมั่วซินและเฉวียนหลัวเต้นรัว นักรบมังกรดำทั้งห้าพันคนก็รวบรวมรัศมีจั้นยี่เข้าด้วยกัน ทันใดนั้นสวรรค์และโลกก็เปลี่ยนไป ความกดดันที่น่ากลัวแผ่ขยายออกไปรุนแรง ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงแรงกดดันรุนแรง

มู่เฉินอยู่เหนือกองทัพ ส่วนมู่เฉินชุดดำและชุดขาวนั่งอยู่ท่ามกลางรัศมีจั้นยี่ขนาดใหญ่ ช่วยเขาแบ่งเบาภาระนี้ ขณะที่รู้สึกถึงรัศมีจั้นยี่ที่ยิ่งใหญ่และทรงพลัง มู่เฉินก็หายใจออกเบาๆ

ระดับของรัศมีจั้นยี่นี้น่าจะเป็นขีดจำกัดในปัจจุบันของเขา ด้วยสิ่งนี้เขาถึงมีพลังพอจะเผชิญหน้ากับศพราชันปีศาจได้

ดังนั้นเมื่อเขากวาดสายตาจ้องมองใบหน้าซือเทียนโยวที่เปลี่ยนไป เสียงหัวเราะแผ่วเบาก็สะท้อนไปมา

“มาลองกันอีกรอบไหมล่ะ?”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท