หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1280

ตอนที่ 1280

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1280 สู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
ในคุกมืดมิด

หญิงสาวทรงเสน่ห์ในชุดขาวนั่งเงียบๆ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่าสายตาสามารถมองทะลุผ่านชั้นต่างๆ จ้องมองเงาร่างบนท้องฟ้าได้

“มู่เฉิน…”

รอยยิ้มกระจายบนใบหน้านาง เมื่อครู่ที่นางเข้าควบคุมค่ายกลป้องกัน นางก็ได้กระจายการรับรู้ออกไปทั่วบริเวณ

ดังนั้นนางจึงสามารถเห็นมู่เฉินที่กลายเป็นชายชาตรีไม่เหลือเค้าความเป็นเด็กอีกต่อไป

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินเติบโตขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

“มู่เฉิน ข้าจะช่วยเจ้าจับหนึ่งในพวกมันเอาไว้ แต่อีกสองคนต้องพึ่งพวกเจ้าเองนะ” หลิงซีพึมพำ ด้วยค่ายกลที่ชิงเหยี่ยนจิ้งทิ้งไว้ ต่อให้ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม หลิงซีก็มั่นใจว่าสามารถจับเอาไว้ได้

แต่นี่เป็นขีดจำกัดของนางแล้ว สำหรับกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยู พวกมู่เฉินก็ต้องพึ่งพาตัวเอง

“ให้ข้าดูหน่อยว่าเจ้าเติบโตขึ้นมากถึงระดับไหน…”

หลิงซีมองไปในความมืด เสียงต่ำดังก้องอยู่ในคุกที่เงียบสงบ

บนเกาะหัวใจหยก

เมื่อค่ายกลสะเก็ดดาวไหลเวียนสวรรค์เปลี่ยนเป้าหมายไปกลายเป็นกับดักขังผู้อาวุโสอสรพิษมรกตเอาไว้ หลงเซี่ยงก็ตะลึงงัน เขาไม่คิดว่าสถานการณ์จะเกิดการพลิกผันเช่นนี้

“ค่ายกลนี้น่าจะอยู่ภายใต้การควบคุมของพี่หลิงซีแล้ว” มู่เฉินยิ้ม เขาไม่แปลกใจเลย นั่นเป็นเพราะเมื่อค่ายกลปรากฏขึ้น เขาก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนที่มาจากหลิงซี

คนอื่นอาจไม่สามารถรับรู้ได้ แต่นี่หนีไม่พ้นจากมู่เฉินหรอก เพราะตัวเขาก็เป็นหลิงเจิ้นซือเช่นกัน

ดังนั้นเขาจึงไม่ตอบโต้เมื่อกู้ซือหวงต้องการใช้ค่ายกลเพื่อจับเขา เนื่องจากเขารู้ว่าผลลัพธ์จะเปลี่ยนไป

“หลิงซี?” หลงเซี่ยงตะลึงงัน “นางประสบความสำเร็จขนาดนี้ได้อย่างไร?”

มู่เฉินมองไปที่เกาะหัวใจหยก “ท่านเคยบอกว่าเกาะนี้เป็นสถานที่ฝึกฝนของแม่ข้าไม่ใช่หรือ? นางอาจทิ้งอะไรไว้บ้างและพี่หลิงซีก็อาจจะแอบฝึกฝนตอนที่ถูกขังอยู่ที่นี่…”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา หลงเซี่ยงก็ตกใจพูดขึ้นว่า “ว่าแล้ว ข้าก็สงสัยอยู่ว่าทำไมหลิงซีถึงตั้งใจตกหลุมพรางที่นี่ ปล่อยให้กู้ซือหวงจับนางเอาไว้ได้ ที่แท้นางมีเป้าหมายอื่นนี่เอง!”

มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะเหลียบมองผู้อาวุโสอสรพิษมรกตที่หน้าเขียวคล้ำ “ในเมื่อพี่หลิงซีช่วยเราจัดการไปตัวหนึ่งแล้ว เราก็มาจัดการอีกสองตัวที่เหลือกัน”

หลงเซี่ยงยิ้มฝืดเมื่อได้ยิน แม้ว่าผู้อาวุโสอสรพิษมรกตจะติดกับดัก แต่สองคนที่เหลือยังคงเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ดังนั้นพวกเขาสามคนจะเอาชนะได้อย่างไร?

“พี่ใหญ่หลงเซี่ยง ท่านกับลั่วหลีรวมพลังกันน่าจะสามารถเผชิญหน้ากับหนึ่งในนั้นได้”

หลงเซี่ยงอึ้งไปก่อนที่จะหันขวับไปมองลั่วหลี เขามีความเข้าใจต่อลั่วหลี รู้ว่าอีกฝ่ายปลูกฝังร่างเทพวารีของลั่วเสิน ทำให้พลังในการต่อสู้ยากจะจินตนาการ แม้ว่านางจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ตัวเขาเองยังประสบปัญหาที่จะมีตำแหน่งได้เปรียบ

หากพวกเขาทำงานร่วมกัน ก็เป็นไปได้ที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม

ถ้าเป็นแบบนี้ไม่ได้หมายความว่ามู่เฉินจะต้องจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มด้วยตัวคนเดียวเรอะ?

“พี่ใหญ่หลงเซี่ยง ไม่ต้องไปกังวลแทนเขา ในเมื่อเขาวางแผนเช่นนี้ เขาก็ต้องมีความมั่นใจในการลงมือ” ลั่วหลียิ้มขณะที่พูดกับหลงเซี่ยงที่ลังเล

เห็นได้ชัดว่านางเต็มไปด้วยความมั่นใจสำหรับมู่เฉิน

หลงเซี่ยงทำได้แค่ผงกหัวยิ้มขมขื่น “หากสถานการณ์ไม่ดี เราจะถอยก่อน กู้ซือหวงไม่กล้าทำอะไรหลิงซีหรอก”

มู่เฉินยิ้ม ไม่ได้ตอบรับ

ขณะที่พวกเขาพูดกัน กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูก็มีสายตามืดมน พวกเขาคิดหาสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงฉับพลันในค่ายกลนี้ได้แล้ว

“อสรพิษมรกตไม่ต้องกังวล โจมตีค่ายกลเต็มกำลังเลย ให้นังแพศยานั่นไม่สามารถควบคุมค่ายกลทำอย่างอื่นได้ เมื่อไรพวกข้าจับพวกมันสามคนได้ เราจะช่วยเจ้าออกมาทันที” กู้ซือหวงมองไปที่อสรพิษมรกต ก่อนที่จะพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตเค้นเสียงขึ้นจมูก แต่สีหน้าสงบนิ่งลง เห็นได้ชัดว่าถึงแม้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ ด้วยพลังของกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูการจัดการกับสามคนนั่นก็ใช้เวลาแค่กะพริบตา

นี่ทำให้ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตสงบใจลงได้ กู้ซือหวงเขม่นมองมู่เฉินอย่างเยือกเย็น สายตาเย็นเยือกลง ลดอุณหภูมิระหว่างสวรรค์และโลก

“แกคิดว่าตัวเองจะรอดด้วยความช่วยเหลือของนังนั่นเรอะ?”

“วันนี้ต่อให้แกจะงอกปีกได้ ก็ไม่สามารถหนีจากข้าไปได้!”

ตู้ม!

เมื่อเสียงของกู้ซือหวงจบลง คลื่นหลิงน่าสะพรึงก็เปล่งออกมาราวกับพายุพร้อมกับพวยพุ่งบ้าคลั่งปกคลุมทั่วบริเวณนี้

เหลียงเสียหยูยิ้มน่าขนลุก ขณะที่ก้าวเท้าออกไปพร้อมกับคลื่นหลิงที่ไม่อ่อนแอกว่ากู้ซือหวงพลุ่งพล่าน

รัศมีหลายหมื่นลี้กลับกลายเป็นความมืด ภายใต้แรงกดดันคลื่นพลังสองสายที่น่ากลัวก็ทำให้มิติโดยรอบกระเพื่อมไหว ขณะที่สัตว์อสูรในมหาสมุทรนับไม่ถ้วนหนีกันจ้าละหวั่น ไม่มีใครกล้าที่จะอยู่ในน่านน้ำของเกาะหัวใจหยกแล้ว

เมื่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทั้งสองปลดปล่อยรัศมีของพวกเขา ใบหน้าของหลงเซี่ยงและลั่วหลีก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

ในทางตรงกันข้ามสายตาของมู่เฉินก็คมชัดขึ้น มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ปรากฏอยู่ใต้ผิวหนัง แม้ว่าพวกมันจะอยู่ระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่เนื่องจากมีสายเลือดบริสุทธ์ของเทพอสูรซึ่งมีศักดิ์ศรีโดยธรรมชาติ ดังนั้นรัศมีหลิงที่มาจากจอมยุทธ์สองคนนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้

มู่เฉินจ้องมองกู้ซือหวง ทันใดนั้นแสงวาวโรจน์ก็ลุกโชนในดวงตา ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงทำได้เพียงหลบหนีเมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ระดับนี้

แต่เนื่องจากเขาบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ช่องว่างระหว่างพลังที่มีก็ค่อยๆ เติมเต็มลง

ขุมพลังที่เหมือนไกลเกินเอื้อมในสายตาของเขาในอดีตก็ไม่ได้สูงส่งอีกต่อไป

ตู้ม!

ดวงตาของมู่เฉินลุกโชนด้วยไฟการต่อสู้ อึดใจเขาก็ทะยานออกไปพุ่งเข้าใส่กู้ซือหวง

การเคลื่อนไหวฉับพลันของมู่เฉิน ทำให้ดวงตาของกู้ซือหวงกระตุกก่อนจะแสยะยิ้มน่าขนลุก “ไอ้เด็กไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ในเมื่อเรียกร้องความตาย ข้าจะตอบสนองความต้องการนั่นเอง!”

เมื่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายธรรมดาสามัญเผชิญหน้ากับเขา ใครบ้างจะไม่หวาดกลัว? แต่ไม่เพียงมู่เฉินจะไม่กลัว เขายังเปิดการโจมตีก่อนด้วยซ้ำ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เท่ากับการท้าทายอำนาจของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม

ตู้ม!

ร่างของมู่เฉินพุ่งออกมา ไม่กี่ลมหายใจเขาก็ปรากฏตัวต่อหน้ากู้ซือหวง จากนั้นก็สูดหายใจลึก เสียงคำรามดังก้องออกมาจากร่างกาย

ปัง!

ไม่มีสีหน้าใดๆ เขาเหวี่ยงหมัดออกไป

เมื่อหมัดขว้างออกมามังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ปรากฏบนท่อนแขนของเขา เปล่งเสียงคำรามพร้อมกับริ้วแสงสีทองปกคลุมทั่วแขนเขาราวกับถุงมือ

แต่แม้ว่าเขาจะใช้มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะจัดการกับจอมยุทธ์ระดับนี้!

ดังนั้นเมื่อพลังของเทพอสูรทั้งสองทะลักออกมา เจดีย์ผลึกใสก็ปรากฏขึ้นจากส่วนลึกของดวงตา เขาเทพลังงานลงไปในเจดีย์ อึดใจต่อไปคลื่นหลิงอัญมณีก็พวยพุ่งออกมา

ตอนที่มู่เฉินอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น คลื่นหลิงในร่างกายเขาก็สามารถต้านทานระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้แล้วหลังจากเปลี่ยนแปลง ยิ่งตอนนี้เขาบรรลุขั้นปลายแล้ว ผลที่ตามมาก็น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม

ตู้ม!

ผ่านการแปลงพลังงานที่ไร้ขอบเขตที่เพิ่มขึ้นในร่างกาย ม่านตาสีดำของมู่เฉินก็เปล่งประกายราวกับอัญมณี

ขณะเดียวกันแสงระยิบระยับบนกำปั้น ราวกับว่าทั้งกำปั้นกลายเป็นกำปั้นอัญมณีใสในเวลานี้

กำปั้นแตกสลายมิติ แม้กระทั่งเศษเสี้ยวมิตินับไม่ถ้วนยังพังยับเมื่อสัมผัสกับกำปั้น

รับรู้ถึงพลังน่าทึ่งที่ระเบิดออกจากร่างของมู่เฉิน แม้แต่กู้ซือหวงก็ต้องหดม่านตาลง เนื่องจากเขารู้สึกไม่สบายใจจากพลังงานหลิงนั่น

“ไอ้เด็กเวรนั่นสามารถสร้างเจดีย์พุทธะได้อย่างแท้จริง!”

จิตสังหารพวยพุ่งในดวงตาของกู้ซือหวง ในฐานะที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งของเผ่าฝูถู เขารู้ดีถึงการเสริมพลังของเจดีย์ ทว่าการเสริมพลังงานของระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายให้ถึงระดับนี้เป็นสิ่งที่สามารถทำได้กับเจดีย์พุทธะเท่านั้น!

“หึ ต่อให้แกมีเจดีย์พุทธะ แต่แกก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจ้อยร่อย ข้าไม่เชื่อว่าแกะหลุดรอดจากมือข้าไปได้!”

กู้ซือหวงเค้นเสียงเย็นชาพร้อมกับกวาดสายตาโหดเหี้ยม ก่อนที่ฝ่ามือจะสร้างตราประทับแล้วกระแทกออกไป

“ตู้ม!”

จังหวะที่ฝ่ามือผลักออกมา ริ้วแสงแวววาวก็ระเบิดออกมาจากฝ่ามือของเขา ดูราวกับดวงอาทิตย์ ปะทะกับหมัดอัญมณีของมู่เฉิน

“ข้าจะใช้ฝ่ามือนี่สั่งสอนแกว่าระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มอยู่ยงคงกระพันขนาดไหน!”

“เบื้องหน้าฝ่ามือข้า ทักษะการต่อสู้ใดๆ ก็ไร้ประโยชน์!”

กู้ซือหวงคำราม ฝ่ามือกระแทกออกไป อึดใจต่อมาพลังทำลายล้างก็พุ่งชนกำปั้นของมู่เฉินจังใหญ่

ในช่วงเวลาที่สัมผัสกัน รอยยิ้มชั่วร้ายก็โค้งขึ้นบนริมฝีปากของกู้ซือหวง เขารู้ว่าอึดใจต่อไปมู่เฉินจะต้องบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ก็ตาย

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท