หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1286

ตอนที่ 1286

บทที่ 1286 แม่ลูกพบกันอีกครั้ง
“ของขวัญจากท่านแม่?”

สายตาของมู่เฉินเต็มไปด้วยความสุขที่พล่านในส่วนลึกของนัยน์ตา ขณะมองไปที่หลิงซี เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้กระตุ้นความสนใจของเขาเต็มที่

รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้านางพร้อมกับโบกมือ หินสีดำเบื้องล่างตัวนางก็เปล่งประกายก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นท้องฟ้าวพราวแสง

จุดแสงเหล่านั้นราวกับกลายเป็นทางช้างเผือก

สายตาของมู่เฉินตรึงอยู่บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ก่อนที่เขาจะมองดูวิถีโคจรของดวงดาวก็รู้สึกว่ามีความผันผวนลึกซึ้งค่อยๆ แผ่ออกมาอย่างช้าๆ

“ในอดีตน้าจิ้งก็เคยมาฝึกฝนที่เกาะหัวใจหยกแห่งนี้ จึงมีความเข้าใจและประสบการณ์มากมายที่นางทิ้งไว้ในกระจกหัวใจดำชิ้นนี้ นี่คือสิ่งที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยหลิงเจิ้นต้าจงซือตัวจริง ซึ่งเปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าสำหรับหลิงเจิ้นซือทุกคน”

สายตาของหลิงซีก็พร่ามัวเมื่อมองไปที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว นางพูดเบาๆ ว่า “เวลาสามปีที่ผ่านมา ข้าได้ฝึกฝนที่นี่จนกระทั่งเมื่อสองเดือนที่แล้ว ข้าก็สามารถบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนได้”

“พี่หลิงซี เจ้าบรรลุหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนแล้วเหรอ?”

มู่เฉินอึ้งไป ตอนที่หลิงซีจากไป นางเป็นเพียงหลิงเจิ้นต้าซือ แต่ตอนนี้นางก้าวเข้าสู่ระดับหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนในเวลาเพียงสามปี!

นี่เป็นสิ่งที่น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง!

“ก่อนที่ข้าจะสูญเสียความทรงจำ ระดับของข้าเข้าใกล้การเป็นหลิงเจิ้นจงซืออยู่แล้ว… เมื่อได้รับการกู้คืนความทรงจำ พลังของข้าก็ฟื้นตัวขึ้นตามธรรมชาติและเพิ่มขึ้นทบทวีคูณจากประสบการณ์หลายปีที่ฝึกฝน” หลิงซียิ้มขณะที่อธิบาย

มู่เฉินเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังคงทำการย่อยข้อมูลอย่างช้าๆ เนื่องจากหลิงซีมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นในศาสตร์ค่ายกล บวกกับเรื่องที่นางติดตามมารดาของเขาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นจุดเริ่มต้นของนางจึงอยู่ในจุดที่สูงกว่าคนทั่วไป บวกกับการได้ปลีกวิเวกเพื่อทำความเข้าใจประสบการณ์และความรู้ที่มารดาของเขาทิ้งไว้ ดังนั้นจึงไม่ได้เหลือเชื่อเกินเหตุที่นางจะประสบความสำเร็จเช่นนี้

ที่สำคัญกว่านั้นหลิงซีมุ่งเน้นไปที่ศาสตร์ค่ายกลอย่างเดียวซึ่งไม่เหมือนเขา ตัวเขาไม่เพียงศึกษาค่ายกลเท่านั้น เขายังให้ความสนใจกับศาสตร์ค่ายกลสงครามและศาสตร์พลังหลิงด้วยเช่นกัน

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่หลิงซีจะเอาทิ้งห่างเขาหลายขุมในการบรรลุด้านค่ายกล

หลิงซีพยักหน้าคลี่ยิ้ม “ช่วงนี้เจ้าก็อยู่ฝึกฝนที่นี่เถอะ ข้าเชื่อว่านี่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับเจ้า แต่จะบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเจ้าแล้ว”

มู่เฉินเลียริมฝีปาก ดวงตาวูบไหวด้วยไฟลุกโชน

หลายปีที่ผ่านมาหลังจากแยกจากหลิงซี เรื่องศาสตร์ค่ายกลเขาก็ได้แต่ทำความเข้าใจด้วยตนเอง แม้ตอนนี้จะถือเป็นหลิงเจิ้นจงซือเช่นกัน แต่ในแง่รากฐานด้านค่ายกล เขาก็ยังด้อยกว่าเมื่อเทียบกับหลิงซีมาก

ตอนนี้เขาสามารถเรียนรู้จากความเข้าใจและประสบการณ์ที่เหลือจากมารดา ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่มีค่าอย่างไม่ต้องสงสัย

บางทีเขาอาจสามารถบรรลุเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนได้จากสิ่งนี้

ในเวลานั้นแม้ว่าเขาจะปะทะกับกู้ซือหวงอีกครั้ง เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่เกล็ดจักรพรรดิเพื่อจัดการกับอีกฝ่ายแล้ว

เมื่อมองเห็นความร้อนแรงในสายตาของมู่เฉิน หลิงซีก็ยิ้มก่อนที่นางจะลุกขึ้นยืน “จากนี้ไปที่นี่เป็นของเจ้า”

มู่เฉินพยักหน้า ไม่ได้เกรงใจอะไร เขาเดินขึ้นหน้าไปนั่งลงบนพื้นสบตากับลั่วหลีสั้นๆ ก่อนจะปิดตาลง

“ไปกันเถอะ ให้เขาดื่มด่ำในการเพาะบ่มในช่วงนี้”

เมื่อเห็นว่ามู่เฉินเข้าสู่สถานะการเพาะบ่มเรียบร้อย หลิงซีก็ยิ้มให้ลั่วหลีจับมือกันเดินออกจากคุกไป

เมื่อพวกนางจากไป คุกก็กลับมาเงียบงันอีกครั้ง

หัวใจของมู่เฉินสงบลงเหมือนบ่อน้ำลึกที่ไม่มีระลอกคลื่น

แปะ!

ความเงียบกินเวลาอยู่นาน เสียงน้ำหยดหนึ่งก็ดังสะท้อนสร้างระลอกคลื่นในความเงียบ ระลอกคลื่นกระจายออกไป มู่เฉินก็รู้สึกได้ว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวเริ่มเปลี่ยนไป

เขาเหมือนนั่งอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ดาวหางพุ่งผ่านขอบฟ้าราวกับภาพสลักอันงดงาม

ทันใดนั้นแสงดาวก็ส่องลงมาเบื้องหน้ามู่เฉินควบแน่นเป็นร่างเงา เรือนผมถูกเกล้าไว้หลวมๆ รอยยิ้มอ่อนโยนประดับที่มุมปาก นางช่างงดงามและสง่างาม ทำให้มู่เฉินต้องอึ้งไปพักหนึ่ง

“ท่านแม่?”

กระทั่งคนใจเย็นอย่างเขาเมื่อเห็นนางก็ยังตะลึงงันไปไม่ได้ เพราะเขาไม่คิดว่าจะได้พบกับมารดาที่นี่

แม้ว่านี่จะเป็นเพียงร่างดวงจิต แต่นับตั้งแต่ทวีปเป่ยชางเขาก็ไม่ได้พบมารดาอีกเลย

“ลูกรัก”

ขณะที่มู่เฉินตะลึงงัน ชิงเหยี่ยนจิ้งก็อึ้งไปเมื่อมองมู่เฉิน ครู่หนึ่งต่อมาหยาดน้ำตากลิ้งไปมาในนัยน์ตานาง ก่อนที่นางจะขยับอย่างรวดเร็วสวมกอดมู่เฉินเบาๆ

แม้ว่านางจะเป็นเพียงร่างดวงจิต แต่ก็ยังเชื่อมโยงกับร่างกายหลัก

เมื่อถูกกอด มู่เฉินที่ใจเย็นก็แข็งทื่อ ตั้งแต่เขายังเด็กสิ่งหนึ่งที่ใฝ่ฝันตลอดก็คือการโอบกอดของมารดา แต่ถึงกระนั้นการร้องของ่ายๆ นี้ก็ไม่สามารถเติมเต็มได้

แม้ว่านางจะเป็นเพียงร่างดวงจิต แต่มู่เฉินก็ยังรู้สึกถึงความอบอุ่นที่อธิบายไม่ได้พลุ่งพล่านอยู่ในหน้าอกของเขา

ยามนี้แม้ว่าหัวใจจะถูกขัดเกลามาตลอดหลายปี ดวงตาเขาก็ยังอดแดงขึ้นไม่ได้

“มู่เฉิน เจ้าโตมากขึ้นจริงๆ”

นานกว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะคลายอ้อมกอดจากบุตรชายและเริ่มจ้องมองเขาราวกับว่านางไม่ต้องการที่จะพลาดจุดใดๆ รอยยิ้มประดับบนใบหน้างดงาม

มู่เฉินเกาหัวแล้วยิ้ม

“ในเมื่อเจ้าพบร่างดวงจิตนี้ของข้าได้ แสดงว่าเจ้าไปที่เกาะหัวใจหยกแล้วสินะ” ชิงเหยี่ยนจิ้งลูบบุตรชายอย่างรักใคร่ ขณะที่ยิ้มบาง

มู่เฉินพยักหน้า “พี่หลิงซีบอกว่าท่านแม่ได้ทิ้งของขวัญไว้ให้ที่นี่”

ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม “มีเพียงเจ้าและหลิงซีเท่านั้นที่สามารถเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้ ดังนั้นความเข้าใจที่ข้าทิ้งไว้ก็มีเพียงพวกเจ้าที่รับไปได้”

นางกวาดสายตาไปที่มู่เฉินพูดว่า “จงแสดงค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าให้แม่ดูหน่อย”

เมื่อย้อนกลับมาที่หัวข้อหลัก มู่เฉินก็รู้สึกตื่นเต้นในหัวใจ สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนบินออกมาราวกับผีเสื้อ ก่อนที่จะรวมเข้ากับสภาพแวดล้อม

เมื่อสัญลักษณ์หลิงยิงรวมเข้าด้วยกัน ค่ายกลขนาดใหญ่ก็เริ่มก่อตัวขึ้นพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรสะท้อนอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว

ค่ายกลนี้ก็คือค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุดที่มู่เฉินสามารถควบคุมได้ตอนนี้…ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร

กวาดสายตามองค่ายกล ชิงเหยี่ยนจิ้งก็พยักหน้าเบาๆ “ค่ายกลนี้ค่อนข้างน่าสนใจ ไม่คิดว่าความรู้ของเจ้าในศาสตร์ค่ายกลจะมาถึงระดับหลิงเจิ้นจงซือขั้นตี้แล้ว”

น้ำเสียงของนางฟังดูซาบซึ้ง เพราะมู่เฉินพึ่งพาตนเองปลูกฝังค่ายกลมาไกลได้ปานนี้ ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว

“ด้วยระดับปัจจุบันของเจ้า ก็สามารถพิจารณาว่าได้ลงฐานเกี่ยวกับศาสตร์ค่ายกลได้แล้ว”

เมื่อได้ยินว่าแม้แต่หลิ้งเจิ้นจงซือขั้นตี้สำหรับชิงเหยี่ยนจิ้งยังเป็นเพียงแค่การลงฐานเท่านั้น มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะแอบเดาะลิ้น หากอยู่ในทวีปเทียนหลัว หลิงเจิ้นจงซือขั้นตี้สามารถสร้างสำนักของตนได้เลยทีเดียว

แต่เมื่อคิดได้ว่ามารดาของตนเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือ เขาก็รู้ว่าหลิงเจิ้นจงซือในสายตาของนางอาจเป็นการตั้งหลักบนเส้นทางแห่งค่ายกลเท่านั้น

“เจ้าเริ่มประสบความสำเร็จในด้านค่ายกลแล้ว เพียงว่าเส้นทางในอนาคตของเจ้าอาจไม่คุ้นเคย”

เมื่อได้ยินมู่เฉินก็พยักหน้าเบาๆ เขารู้ว่าชิงเหยี่ยนจิ้งกำลังพูดถึงระดับต้าจงซืออยู่

ระดับนั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่มู่เฉินก็ยังไม่เข้าใจอะไรเลย

“โดยทั่วไปคลื่นหลิงทั้งหมดเริ่มต้นจากการเชื่อมโยงสวรรค์และโลก ยืมพลังงานในธรรมชาติเพื่อเรียกลมฝน ซึ่งนี่เป็นระดับที่เจ้าอยู่ตอนนี้”

“ส่วนที่เรียกว่าระดับต้าจงซือ จะไม่เชื่อมโยงกับสวรรค์และโลก แต่จะสร้างโลกขึ้น ค่ายกลก็คือโลกใบหนึ่ง ทุกคนที่เข้ามาจะถูกมองว่าเป็นศัตรู”

ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม จากนั้นก็กำมือ ค่ายกลขนาดเท่าฝ่ามือก็ปรากฏขึ้น

ค่ายกลนี้วิจิตรบรรจงมาก แต่เมื่อมู่เฉินมองเข้าไปก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด เขาสามารถสัมผัสถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่มีอยู่ในค่ายกลเล็กจิ๋วนี้

หากเขาหลุดเข้าไปในค่ายกลนี้ละก็ ตายคาที่แน่นอน!

“นี่ก็คือการสร้างโลกด้วยค่ายกลของระดับต้าจงซือในตำนาน… ทุกคนที่เข้ามาคือศัตรูของโลกใบนี้”

มู่เฉินมองอย่างหลงใหล คำพูดของชิงเหยี่ยนจิ้งเปิดโลกใหม่ในใจเขา ที่แท้ค่ายกลที่มีอันดับสูงขึ้นมีความลึกซึ้งและยากเกินหยั่งอย่างไม่น่าเชื่อ

ไม่น่าแปลกใจระดับต้าจงซือสามารถเทียบเคียงกับระดับเทียนจื้อจุนได้!

เมื่อเห็นว่ามู่เฉินยังคงดื่มด่ำ ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ยิ้มบาง ก่อนที่จะเหยียดนิ้วเรียวแตะหน้าผากของมู่เฉิน ข้อมูลไร้ขอบเขตไหลพรวดเข้ามาในห้วงจิตของมู่เฉินกะทันหัน

นี่คือความเข้าใจและประสบการณ์ทั้งหมดของนางในเส้นทางของผู้ฝึกค่ายกล!

ถ้ามู่เฉินสามารถศึกษาและทำความเข้าใจได้ นั่นจะเป็นการเพิ่มขึ้นของความสำเร็จของเขาในศาสตร์ค่ายกลและอาจเป็นรากฐานที่ดีสำหรับเขาในการเข้าถึงการเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือ

แสงห่อหุ้มมู่เฉิน แต่เขายังคงนิ่งเฉยราวกับว่าจมลงในนิทรารมณ์

ในเผ่าฝูถูที่ห่างไกล

ร่างหลักชิงเหยี่ยนจิ้งที่นั่งอยู่จู่ๆ ก็สั่นไหวก่อนจะลืมตามองเข้าไปในมิติว่างเปล่าพร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนแขวนที่มุมปาก

“มู่เฉิน…แม่จะรอวันที่เจ้าก้าวขึ้นเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือ”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท