หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1285

ตอนที่ 1285

บทที่ 1285 วิชาเจดีย์แปดองค์
“เจ้าสองคนเจอไอ้กาลกิณีคนนั้นแล้วใช่ไหม?”

เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูก็ตัวสั่นไหวขณะที่ผงกหัวหงึกหงัก

“แล้วทำไมไม่บอกข่าวนี้กับข้าก่อน” ชายหนุ่มถามเสียงนิ่ม

แต่เมื่อเผชิญกับน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าของกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูก็ซีดเผือด ก่อนที่พวกเขาจะตอบอย่างขมขื่น “ตอนแรกพวกข้าสองคนคิดว่าจะจับมันก่อน ค่อยมอบให้กับประมุขน้อย นี่เป็นความผิดพลาดของพวกข้าที่ขาดความยั้งคิด โปรดอภัยให้พวกข้าด้วย”

ชายหนุ่มเคาะนิ้วที่หัวเข่าเบาๆ ขณะที่กวาดสายตามองทั้งสอง พวกเขาก็เหงื่อกาฬแตกพลั่ก เขาพูดช้าๆ ว่า “แม้ว่าเจ้าสองคนจะลงมือโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ข้าจะปล่อยเรื่องนี้ไปเพื่อเห็นแก่หน้าที่ติดตามกันมานาน สำหรับผู้อาวุโสใหญ่ข้าจะไปคุยให้เอง เพื่อได้ยกเว้นจากการลงโทษ”

“ขอบคุณประมุขน้อย!”

กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูยินดีเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ต่างรีบแสดงความขอบคุณอย่างรวดเร็ว ความรู้คุณวูบไหวในดวงตา

“ข้าได้ยินมาว่าไอ้กาลกิณีนั่นก็ฝึกฝนเจดีย์พุทธะด้วยเช่นกันหรือ?” ชายชุดสีฟ้ายิ้มบาง

กู้ซือหวงพยักหน้า “ประมุขน้อย ไอ้เจ้านั่นมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม แม้จะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่มันก็สามารถบีบให้ข้าต้องตกอยู่ในสภาพน่าสมเพช จากการหยั่งเชิงมันจะต้องสร้างเจดีย์พุทธะได้แล้วแน่ มิเช่นนั้นมันไม่มีทางครอบครองคลื่นหลิงทรงพลังเช่นนี้ในฐานะจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นปลายได้”

ชายชุดสีฟ้าอมเขียวยิ้มด้วยตาหรี่แคบลง “สมกับเป็นลูกชายของชิงเหยี่ยนจิ้งอย่างแท้จริง ไม่คิดว่าแม้จะไม่มีทรัพยากรของเผ่า เขาก็สามารถมาได้ไกลขนาดนี้”

เหลียงเสียหยูตอบด้วยความเกลียดชัง “แม้ว่าไอ้กาลกิณีนั่นจะมีความสามารถ แต่มันก็คล้ายกับหิ่งห้อยเมื่อเทียบกับดวงจันทร์สุกใสแบบประมุขน้อย”

“นั่นแน่นอน ประมุขน้อยเป็นอัจฉริยะพันปีของเผ่าฝูถู ในอนาคตท่านจะได้ปกครองเผ่า มู่เฉินต้องดูหม่นแสงเมื่อเทียบกับท่าน” กู้ซือหวงพยักหน้าหงึกหงักขณะที่ตอบรับแบบพินอบพิเทา

ขณะที่พูด กู้ซือหวงก็หยุดลังเลชั่วครู่ “แต่ตอนที่พวกข้าต่อสู้กับมัน ข้าพบว่ามันมีร่างรองสองร่างที่มีการฝึกฝนเหมือนกับร่างหลักเปี๊ยบ ซึ่งยากมากที่จะจัดการ ข้าเกือบตายเพราะตั้งตัวไม่ทัน”

“ร่างรองสองร่างที่มีพลังพอกับร่างหลักเหรอ?”

ดวงตาของชายชุดสีฟ้าอมเขียวกะพริบ เขาครุ่นคิดอยู่นานก่อนที่การแสดงออกจะกลายเป็นความหวั่นไหว “หรือจะเป็น…วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน—วิชาสามพิสุทธิ์!”

จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนชุดดำสีหน้าเปลี่ยนไปชั่วครู่ขณะพยักหน้า “ร่างดวงจิตธรรมดาที่สร้างจากพลังงานหลิงสามารถครอบครองพลังหนึ่งส่วนสิบของร่างหลักได้เท่านั้น หากต้องการครอบครองโดยสมบูรณ์จะต้องเป็นวิชาสามพิสุทธิ์ในตำนานเท่านั้น”

“แต่วิชาสามพิสุทธิ์สูญหายไปนานแล้ว ข้าไม่คิดว่าไอ้เด็กกาลกิณีจะมีโชคลาภที่น่าตกใจเช่นนี้”

ขณะพูดดวงตาของชายชุดดำก็เปิดเผยความโลภ วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่า น่าดึงดูดใจแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแบบเขา

“มีเพียงประมุขน้อยเท่านั้นที่คู่ควรที่จะได้รับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานทรงพลังเช่นนี้ ไอ้กาลกิณีนั่นจะครอบครองได้ยังไง?!” กู้ซือหวงพูดกระแทกกระทั้น พยายามยั่วยุชายชุดฟ้าอมเขียวให้แก้แค้นแทนพวกเขา

ทว่าชายชุดฟ้าอมเขียวยังคงมีสีหน้าสงบไม่ได้สั่นคลอนแต่อย่างใด “วิชาสามพิสุทธิ์ดึงดูดใจอย่างแท้จริง แต่ข้าไม่มีเวลาที่จะตามหาเขาตอนนี้”

ชายชุดดำพยักหน้าเช่นกัน “ประมุขน้อยพูดถูกต้อง แดนเซิ่งยวนใกล้เปิดแล้ว เรื่องสำคัญตอนนี้คือนายน้อยต้องดำเนินการอย่างสวยงามที่นั่น หากนายน้อยสามารถได้รับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดที่สูญหายมายาวนานของเผ่าเรา—วิชาเจดีย์แปดองค์ นายน้อยก็จะสามารถเอาชนะคู่แข่งคนอื่นได้ กลายเป็นประมุขคนต่อไป!”

“วิชาเจดีย์แปดองค์?!”

หัวใจของกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูสั่นไหวขณะที่ร้องอุทาน “ใช่วิชาเจดีย์แปดองค์วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าใช่หรือไม่?”

ชายชุดฟ้าอมเขียวคลี่รอยยิ้มกล่าวว่า “มีอะไรที่ต้องตกใจ? วิชาเจดีย์แปดองค์เป็นวิชาของเผ่าเราอยู่แล้ว เพียงแค่บรรพบุรุษที่เป็นผู้สร้างได้จบชีวิตไปอย่างน่าเสียดายในการต่อสู้กับจอมปีศาจระดับเทียนของเผ่าปีศาจต่างมิติ ดังนั้นวิชาเจดีย์แปดองค์จึงหายไป ตลอดเวลานี้เผ่าพยายามค้นหา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ”

“แดนเซิ่งยวนเป็นสมรภูมิรบระหว่างมหาพันภพกับจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ สภาพแวดล้อมที่นั่นเลวร้ายจนแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็อาจตายแบบไม่เหลือซากหากพวกเขาประมาท”

ชายชุดดำถอนหายใจ “น่าเสียดายที่ดินแดนนั่นมีแรงปฏิเสธทรงพลังเกินไป ที่นั่นเป็นจุดตัดระหว่างมหาพันภพและเผ่าปีศาจต่างมิติ ดังนั้นหากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเข้าไปก็จะทำให้เกิดความปั่นป่วน หากไม่ระวังก็อาจจะถูกโยนไปยังดินแดนของเผ่าปีศาจได้”

เมื่อกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูได้ยินประโยคเหล่านั้นร่างกายก็สั่นเทิ้ม แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็อาจจะตายอย่างช้าๆ หากถูกโยนเข้าไปในดินแดนของเผ่าปีศาจและหากไปดึงดูดความสนใจจากระดับราชันปีศาจเข้าละก็ งานนี้คงถึงวาระแน่นอน

“ในเผ่าตอนนี้ประมุขน้อยคนอื่นก็กำลังเตรียมเข้าสู่แดนเซิ่งยวน ชัดว่าเป้าหมายของพวกเขาก็คือวิชาเจดีย์แปดองค์ หากพวกเขาได้รับไป กระทั่งนายน้อยก็จะตกเป็นเบื้ยล่างทันที”

ขณะที่พูดชายชุดดำก็มีสีหน้าเคร่งเครียด เพราะเขารู้ว่าผลที่ตามมาน่ากลัวขนาดไหน

กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูพยักหน้า เมื่อเปรียบเทียบกับสถานะประมุขน้อยของพวกเขาแล้ว การจัดการกับไอ้ตัวกาลกิณีหยุดวางไว้เฉยๆ ก่อนได้

“แต่ถึงแม้ตอนนี้เราจะวางความสนใจไว้กับเรื่องแดนเซิ่งยวน เราก็คงยังต้องใส่ใจกับการเคลื่อนไหวของไอ้กาลกิณีนั่น ข้าสนใจวิชาสามพิสุทธิ์ในตำนานมากเลยทีเดียว” ชายชุดฟ้าอมเขียวยิ้มบางขณะที่พูดต่อ

“ถ้าข้าสามารถได้รับทั้งวิชาเจดีย์แปดองค์และสามพิสุทธิ์ แม้ในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ข้าก็สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้”

พลังอำนาจของวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าสองวิชาเป็นสิ่งที่เหนือจินตนาการนัก

“นายน้อยความคิดหลักแหลมนัก มีเพียงท่านเท่านั้นที่ควรค่าแก่สมบัติเช่นนี้ สำหรับไอ้กาลกิณีนั่นมันเป็นโชคลาภที่ท่านใช้ผ่านมันไป” กู้ซือหวงรีบเอ่ยทันที

ชายหนุ่มชุดฟ้าอมเขียวยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ส่งคนเกาะรอยไอ้กาลกิณีนั่นไว้ หลังจากการเดินทางเพื่อไปยังแดนเซิ่งยวนเสร็จเรียบร้อย ข้าจะเดินทางไปเยี่ยมเขาเป็นการส่วนตัว”

“ถ้าเขายอมส่งวิชาสามพิสุทธิ์มาให้ดีๆ ข้าก็อาจช่วยเขาพูดกับผู้อาวุโสใหญ่ให้หน่อย”

“แน่นอนว่า ที่สำคัญถ้าสามารถจับเขาเป็นลูกไก่ในกำมือ บางทีอาจใช้เป็นไพ่ในการรับมือกับชิงเหยี่ยนจิ้งได้ด้วย ถึงตอนนั้นถ้าสามารถดึงให้นางมาสนับสนุนฝั่งเรา กำลังของเราก็มากกว่าเพียงพอแล้ว”

ชายชุดดำพยักหน้าขณะที่พูดต่อ “แม้ว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะถูกจองจำมานานหลายปี แต่ก็ยังมีผู้สนับสนุนเบื้องหลัง ดังนั้นพลังของนางจึงไม่สามารถประมาทได้ หากเราสามารถทำให้พวกเขาเอนเอียงมาทางเรา ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับพวกเรา”

ชายหนุ่มชุดฟ้าอมเขียวพยักหน้ามองเข้าไปในความลึกของหมู่เมฆด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“ดูเหมือนว่าไอ้กาลกิณีนั่นจะเป็นดาวนำโชคของข้านะ”

ในคุกมืดมิด

มู่เฉินมองหญิงสาวที่เรียบเย็นก็รู้สึกโล่งใจ มองจากท่าทางแล้วหลิงซียังดูดีเลยทีเดียว

หลิงซีเงยหน้าขึ้นมองไปที่ชายหนุ่ม ช่วงเวลาสั้นๆ รอยยิ้มกว้างยินดีปรีดาก็เผยบนริมฝีปากของนาง

เมื่อเทียบกับในอดีตมู่เฉินเติบโตขึ้นเป็นชายชาตรีอย่างสมบูรณ์ ความอ่อนโยนหายไปแทนที่ด้วยหัวใจที่มั่นคงซึ่งไม่อาจสั่นไหว

เขายังคงดูหล่อเหลาแต่ก็มีเสน่ห์ของชายเต็มวัยขึ้นมาเล็กน้อย

มองไปที่มู่เฉิน รอยยิ้มของหลิงซีก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ชายหนุ่มเพิ่งเริ่มโตในอดีต…กลายเป็นคนที่ยืนหยัดเผชิญหน้ากับโลกใบนี้ได้แล้ว

เขาไม่ต้องการการปกป้องของนางอีกต่อไปและไม่ต้องการให้ท่านน้าจิ้งเป็นห่วงอีกแล้ว

นางเข้าใจดีถึงเรื่องนี้ตั้งแต่เห็นว่าเขาก้าวย่างอย่างไม่กลัวเกรงมาที่เกาะหัวใจหยกนี้ ชายหนุ่มเติบโตจนถึงจุดที่เขาไม่กลัวพายุร้ายใดอีกต่อไป

“ท่านน้าจิ้ง… ในที่สุดมู่เฉินก็เติบโต ท่านสามารถปลดภาระได้แล้ว ข้าเชื่อว่าไม่นานจากนี้เผ่าฝูถูก็ไม่สามารถใช้เขาเพื่อขู่ท่านได้อีกต่อไป”

“พี่หลิงซี”

มู่เฉินมองหลิงซีด้วยรอยยิ้มสดใส ก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อกระแทกฝ่ามือไปที่คุก พยายามจะทำลาย

ฮึ่ม

ทว่าคุกก็ยังคงยืนอย่างมั่นคง

“เอ่อ”

มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะมองด้วยความประหลาดใจ ในเวลานี้เขาก็ตระหนักว่าคุกนี้สร้างจากค่ายกล ตัดสินจากระดับไม่ได้อ่อนไปกว่าค่ายกลที่ปกป้องเกาะเลย

มู่เฉินเกาหัวอย่างเงอะงะ ดูเหมือนว่าความพยายามของเขาที่จะทำตัวเท่ล้มเหลวแล้ว

คิก คิก

ลั่วหลีไม่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะได้ขณะที่ยืนข้างหลัง แม้แต่หลิงซีก็เม้มปากแน่นแล้วส่งยิ้มให้ จากนั้นนางก็วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ความผันผวนของคลื่นหลิงที่เกิดจากใต้ดินเริ่มหายไป

“หลิงซี ที่แท้เจ้าก็สามารถควบค่ายกลนี้ได้แล้ว!” หลงเซี่ยงอดอึ้งไปไม่ได้เมื่อเห็นภาพนี้

“ค่ายกลที่นี่เป็นสิ่งที่น้าจิ้งตั้งขึ้นเอง ดังนั้นข้าจึงสามารถควบคุมได้โดยธรรมชาติ หลังจากอยู่ที่นี่มาสามปี ดังนั้นแม้ว่าพวกเจ้าจะไม่มา กู้ซือหวงก็ทำอะไรข้าไม่ได้” หลิงซียิ้มบาง

เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ทั้งสามคนก็แลกเปลี่ยนสายตากันก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่น

มองแต่ละคนที่จนคำพูด หลิงซีก็ยิ้ม “แต่พี่สาวก็ยังคงมีความสุขที่มู่เฉินมาช่วยนะ”

รอยยิ้มของนางช่างมีเสน่ห์มาจากส่วนลึกของหัวใจ

“แต่…ดูเหมือนว่าเจ้าจะโชคดีที่มาที่นี่”

หลิงซีมองมู่เฉินที่ดูงงงวย ก่อนที่มือนางจะแตะเบาๆ บนหินสีดำเหมือนกระจกเรียบที่ส่องแสงประหนึ่งดวงดาว

ประโยคต่อมาของนางทำให้ดวงตามู่เฉินเบิกกว้าง

“เพราะ…มีของขวัญจากน้าจิ้งทิ้งไว้ให้เจ้าที่นี่”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท