หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1287

ตอนที่ 1287

บทที่ 1287 ความลับของแดนเซิ่งยวน
เวลาผ่านไปบนเกาะหัวใจหยกพริบตาก็หนึ่งเดือนแล้ว

ลั่วหลีและหลิงซีนั่งข้างกันในศาลาไม้ไผ่พร้อมกับกระดานหมากรุกวางบนโต๊ะเพื่อใช้ฆ่าเวลา นอกจากนี้ยังมีเสียงหัวเราะพลิ้วหวานดังออกมาเป็นครั้งคราว ช่างเป็นฉากที่งดงามที่ทำให้ศาลาไม้ไผ่ธรรมดานี้ถูกลืมเลือนไป

ในช่วงเวลาที่มู่เฉินเข้าสมาธิเพื่อฝึกฝน หญิงสาวทั้งสองคนก็ตั้งใจรอเขาอยู่บนเกาะแห่งนี้

วาบ

ขณะที่สองสาวกำลังหัวเราะต่อกระซิกกัน ร่างชายสูงวัยก็ปรากฏขึ้นในศาลา ประกายแสงวาบขึ้นใบหน้าบูดบึ้งของชื่อเหยียนก็เผยออกมา เขามองไปที่ลั่วหลี “แม่นางน้อย เจ้าไม่เต็มใจที่จะเป็นธิดาเทพของเผ่าไท่หลิงของข้าจริงหรือ?”

ตลอดช่วงเดือนนี้ชื่อเหยียนเทียวไล้เทียวขื่อหลายครั้ง แต่คำเชิญก็ถูกปฏิเสธจากลั่วหลี

ครั้งนี้ลั่วหลีก็ยังถอนหายใจหนักขณะเอ่ยขอโทษ “ผู้อาวุโสข้าเป็นจักรพรรดินีตระกูลลั่วเสิน จะให้ข้าละทิ้งราษฎรเพื่อไปเป็นธิดาเทพเผ่าไท่หลิงได้อย่างไร? นอกจากนี้ข้าก็ไม่มีสายเลือดเผ่าไท่หลิงด้วย”

ชื่อเหยียนเกาหัวเอ่ยว่า “เผ่าไท่หลิงไม่เหมือนกับเผ่าโบราณที่ดื้อรั้นอื่นๆ พวกข้าใจกว้างมาก ดังนั้นจึงไม่เคยคำนึงถึงความแตกต่างของสายเลือด แม้ว่าเจ้าจะมีสายเลือดเจือจาง ตราบใดที่เจ้าแสดงความสามารถยอดเยี่ยมก็ยังเป็นธิดาเทพได้ ทางเผ่าไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน”

“ในประวัติศาสตร์ของเผ่า พวกข้ามีธิดาเทพที่โดดเด่นหลายคนที่ได้รับการยอมรับ แม้ว่าพวกนางจะไม่ได้มาจากเผ่าของข้าก็ตาม”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น แม้แต่ลั่วหลีก็ประหลาดใจ เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นกลุ่มคนที่ใจกว้างเช่นนี้ เป็นความรู้สึกเดียวกับผู้นำตระกูลลั่วเสินที่ไม่จำเป็นต้องมีสายเลือดของตระกูลก็ได้

“ลั่วหลีสิ่งที่ผู้อาวุโสพูดนั้นไม่ผิด เผ่าไท่หลิงเป็นชนเผ่าโบราณที่ใจกว้างมากที่สุดเผ่าหนึ่งในมหาพันภพ” หลิงซีพยักหน้าจากด้านข้างแล้วถอนหายใจ “ถ้าเผ่าฝูถูเป็นเช่นนี้ น้าจิ้งคงไม่ต้องแยกจากมู่เฉินมาเป็นสิบๆ ปีหรอก”

ลั่วหลีพยักหน้าเบาๆ แต่ก็ยังไม่ตกลง นางไม่ใช่เด็กสาวอีกต่อไป ดังนั้นจึงรู้ว่าจะต้องมีกลุ่มมากมายในเผ่าโบราณขนาดใหญ่ แค่เพียงตระกูลลั่วเสินก็ทำให้นางปวดหัวทุกวัน ถ้านางไปเป็นธิดาเทพเผ่าไท่หลิงก็คงจะมีการแข่งขันรุนแรง ไม่ว่าเผ่าไท่หลิงจะใจกว้างเพียงใด

น้ำนิ่งไหลลึกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ซึ่งลั่วหลีไม่ค่อยอยากจะเข้าไปยุ่งด้วย

เมื่อเห็นการตัดสินใจของลั่วหลี ชื่อเหยียนก็รู้สึกสลดหดหู่พลางถอนหายใจเสียงแผ่ว “น่าเสียดายจริงๆ ตอนแรกคิดว่าจะทันเรื่องแดนเซิ่งยวนซะอีก”

“แดนเซิ่งหยวน?!”

ขณะที่เขาจะพูดจบ หลิงซีก็อุทานด้วยดวงตาที่หดลง “แดนหวงห้ามที่มีชื่อเสียงโด่งดังในมหาพันภพ สนามรบแตกหักในยุคโบราณใช่ไหมเจ้าคะ?”

ชื่อเหยียนพยักหน้า “เจ้ามีความรู้ดีนี่ ถูกตัอง แดนเซิ่งยวนนั่นแหละ”

“แดนเซิ่งหยวนตั้งอยู่ท่ามกลางพายุมิติกาลเวลา ไม่สามารถตรวจพบเจอได้ จะแสดงสัญญาณเมื่อกำลังจะปรากฏขึ้นเท่านั้น ไม่คิดว่ามันจะปรากฏตอนนี้” ดวงตาของหลิงซีกะพริบวาบ

“แดนเซิ่งหยวนเหรอ? ข้าเคยได้ยินมาก่อนบ้าง แต่ลือกันว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นที่รู้กันว่าอันตรายและสภาพแวดล้อมก็รุนแรงจนแม้แต่จอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นเต็มยังอาจทิ้งชีวิตในนั้น ทำไม? พี่หลิงซีสนใจแดนนั้นเหรอ?” ลั่วหลีพยักหน้าขณะที่ถาม

“มีข่าวลือว่าสนามรบโบราณแห่งนั้นมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเกือบสิบคนทิ้งร่างไว้และสี่คนในนั้นมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง!” หลิงซีกล่าวขึ้น

ในมหาพันภพแม้กระทั่งระดับเทียนจื้อจุนก็ยังถูกแยกออกเป็นขั้นต่างๆ ได้แก่ หลิง-เซียน-เซิ่ง และขั้นเซิ่งก็เป็นจุดสุดยอดของจอมยุทธ์ที่มีอยู่ในมหาพันภพ

“สี่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง?” เมื่อได้ยินใบหน้าของลั่วหลีเปลี่ยนไป นี่เป็นรูปแบบทึ่น่าสะพรึงนัก ถ้าพวกเขาสิ้นชีพก็จะเป็นความสูญเสียมหาศาลของมหาพันภพเลยทีเดียว

ดังนั้นสามารถอนุมานได้จากราคานี้ที่มหาพันภพได้จ่ายเพื่อต่อต้านจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ

“แม้ว่าเราจะประสบกับความสูญเสียใหญ่หลวงในการต่อสู้ครั้งนั้น แต่จักรวรรดิปีศาจก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน พวกมันก็สูญเสียราชันปีศาจระดับเทียนสิบกว่าคนด้วยเช่นกันและสี่คนติดอันดับหนึ่งในสิบห้า” ชื่อเหยียนกล่าวเสริม

ราชันปีศาจระดับเทียนเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของมหาพันภพ พวกที่ติดอยู่สิบห้าอันดับสูงสุด นั่นก็หมายความว่าแม้จะอยู่ในจักรวรรดิปีศาจ เผ่าพวกนั้นก็ต้องดำรงอยู่สูงสุด

“เนื่องจากมีจอมยุทธ์จากทั้งสองฝ่ายละสังขารภายใน ดังนั้นมรดกที่เป็นของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แม้แต่อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมหรือสูงกว่านั้นก็ถูกทิ้งไว้ข้างใน ดังนั้นแม้จะเป็นแดนอันตราย แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายที่ต้องการเข้าไป หากพวกเขาโชคดีพอได้รับมรดกก็เท่ากับทะยานขึ้นสู่ประตูสวรรค์เลยทีเดียว”

“แต่เนื่องจากแดนเซิ่งยวนตั้งอยู่ภายในพายุมิติกาลเวลา จึงมีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่สามารถส่งผู้คนเข้าไปได้ ธรณีประตูหยุดยั้งคนโลภมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีผู้คนที่มุ่งหน้าไป… แม้กระทั่งเผ่าไท่หลิงของข้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”

ขณะที่พูดชื่อเหยียนก็เลียริมฝีปาก เปลวไฟโชนขึ้นในดวงตา “นั่นเป็นเพราะสี่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งที่ทิ้งร่างไว้ คนหนึ่งก็คือบรรพบุรุษของเผ่าไท่หลิง วิชา ‘ช่องแสงวิญญาณ’ ที่เขาฝึกฝนเป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า พลังนั้นช่างไร้ขีดจำกัด แม้แต่ในเผ่าของข้าก็ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นทักษะขั้นยอดเทพ แต่น่าเสียดายที่การเสียชีวิตของบรรพบุรุษทำให้วิชาในตำนานหายไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นนี่เป็นความปรารถนาของเผ่าข้าที่จะค้นหาวิชาเทพนี้”

“ดังนั้นคนที่สามารถค้นหาวิทยายุทธในตำนานได้ก็จะสามารถเอาชนะคู่แข่งคนอื่นๆ ได้รับการสนับสนุนจากทุกคนในเผ่าเพื่อดำรงตำแหน่งธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง!”

เมื่อได้ยินถึงจุดนี้ ลั่วหลีก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “ที่แท้ก็ยังมีคู่แข่งชิงตำแหน่งธิดาเทพด้วยหรือ? เฉพาะคนที่สามารถค้นหาวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานเท่านั้นที่จะสามารถขึ้นเป็นธิดาเทพได้เหรอ?”

ไฟบนใบหน้าของชื่อเหยียนแข็งค้าง ท่าทางกระอักกระอ่วนไป “ข้าเป็นเพียงตัวแทนของเผ่าไท่หลิงเพื่อค้นหาผู้สมัครที่เหมาะสมสำหรับตำแหน่งธิดาเทพ”

ลั่วหลีอดไม่ได้ที่จะกลอกตา นางว่าแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดำรงตำแหน่งธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง พูดชักแม่น้ำมาตั้งหลายวันก็แค่เป็นผู้สมัครเท่านั้น

เมื่อเห็นสายตาของลั่วหลี ใบหน้าของชื่อเหยียนก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ก่อนที่จะยิ้มเก้อ

ดังนั้นยามนี้ในศาลาจึงจมลงสู่ความเงียบงัน มีเพียงสายตาของหลิงซีที่เปล่งประกายด้วยความคิดก่อนที่นางจะพูดเบาๆ ว่า“ นอกเหนือจากวิชาช่องแสงวิญญาณ รู้สึกจะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งของเผ่าฝูถูด้วยใช่ไหมเจ้าคะ?”

ชื่อเหยียนพยักหน้า “ใช่ บรรพบุรุษของเผ่าฝูถูก็ไม่ธรรมดา วิชาเจดีย์แปดองค์ที่เขาฝึกฝนก็เป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานด้วยเช่นกัน ประมุขน้อยหลายคนในเผ่าฝูถูก็ตั้งเป้าที่จะนำวิชานั้นกลับคืน”

“นั่นเป็นเพราะมีกฎของเผ่าว่าใครก็ตามที่สามารถได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์ก็จะได้รับตำแหน่งประมุขคนต่อไป”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ดวงตาของหลิงซีก็วาวโรจน์

ลั่วหลีมองหลิงซีอย่างเข้าใจความตั้งใจของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าหลิงซีต้องการให้มู่เฉินได้รับมรดกวิชาเจดีย์แปดองค์ จากนั้นก็อาจช่วยมารดาจากเผ่าด้วยวิธีที่ว่าได้

ลั่วหลีก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ เพราะเป็นเรื่องเขี้ยวลากดินมากที่มู่เฉินใช้วิธีสู้ซึ่งหน้า เนื่องจากรากฐานของเผ่าฝูถูยังคงน่ากลัวอยู่ไม่น้อย

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ลั่วหลีก็เข้าสู่ภวังค์ ตอนแรกนางไม่สนใจที่จะเป็นธิดาเทพของเผ่าไท่หลิงเลย ในแง่ของการสืบทอดนางมีมรดกของลั่วเสินและร่างเทพวารี ซึ่งเพียงพอที่จะเป็นประโยชน์สำหรับตัวเองในการก้าวขึ้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน

แต่ถ้านางดำรงตำแหน่งธิดาเทพเผ่าไท่หลิงด้วยละก็ นางจะได้รับการสนับสนุนจากเผ่าโบราณที่น่ากลัวอยู่เบื้องหลัง หากวันนั้นที่ความสัมพันธ์ของมู่เฉินกับเผ่าฝูถูสะบั้นลงอย่างสมบูรณ์ นางก็จะสามารถให้ความช่วยเหลือเขาได้

ตอนนี้ลั่วหลีเข้าใจว่าการสนับสนุนของตระกูลลั่วเสินไม่สามารถให้ความช่วยเหลือกับมู่เฉินได้มากนัก ถ้านางต้องการช่วยเหลือมู่เฉินจริงๆ นางอาจสามารถใช้เผ่าไท่หลิงเพื่อทำเช่นนั้นได้

จากแง่มุมนางเองไม่ได้สนใจเผ่าไท่หลิง แต่ถ้าทำเพื่อมู่เฉิน… นางยินดีที่จะเป็นธิดาเทพ

เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็เม้มริมฝีปากขณะที่แลกเปลี่ยนสายตากับหลิงซี แม้ว่าพวกนางจะไม่พูด แต่ก็เข้าใจความคิดของกันและกัน

ดวงตาของหลิงซีกะพริบด้วยความขอบคุณ เพราะถ้าลั่วหลีทำเช่นนี้ นางจะต้องแข่งขันกับผู้สมัครคนอื่นๆ ของเผ่าไท่หลิงซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องง่าย

ลั่วหลีเพียงยิ้มตอบบางเบา เพื่อนางแล้วมู่เฉินปะทะกับจักรพรรดิสัประยุทธ์โดยไม่ลังเล แล้วจะเป็นอะไรถ้านางจะแข่งขันเพื่อเขาบ้าง?

ในช่วงเวลาสั้นๆ ทั้งสองก็ได้แลกเปลี่ยนความตั้งใจเสร็จสิ้น ลั่วหลีหันมายิ้มให้ชื่อหยวน “ผู้อาวุโส ข้าจะเป็นผู้สมัครตำแหน่งธิดาเทพให้ก็ได้ แต่ท่านต้องสัญญาบางอย่างกับข้าก่อน”

“โอ้?”

ชื่อเหยียนที่นึกว่าไม่มีความหวังก็ตื่นเต้นพลางโบกมือไปมา “ว่ามาเลย”

ลั่วหลีจือปากชี้ไปในทิศทางของมู่เฉินด้วยท่วงท่างดงาม

“ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะสามารถส่งพวกเราทั้งคู่เข้าสู่แดนเซิ่งยวน”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท