หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1339

ตอนที่ 1339

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1339 สั่นสะท้าน
ใจกลางเมืองเซิ่งยวน วังมหาพันภพ

ชายชราชุดเทาที่นั่งหลังโต๊ะรับสมัครลูบไล้ขวดหยกงดงามในมือด้วยความระมัดระวัง ทันใดนั้นมือของเขาก็สั่นเทิ้มเขาตกใจเงยหน้าขึ้น แสงกะพริบอยู่ในดวงตา ขณะที่เขามองไปที่ศิลาสังหารปีศาจที่กลางเมือง

พร้อมกับสายตาจ้องมองไป ศิลาขนาดใหญ่ก็เริ่มสั่นสะท้าน

ทุกคนสังเกตเห็นการสั่นนี้ ดังนั้นทุกสายตาจึงจ้องมองไป นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นความปั่นป่วนมาจากศิลาสังหารปีศาจนี้

“เกิดอะไรขึ้น?”

เสียงงงงวยสะท้อนออกไป ประกายแสงสีทองปรากฏบนศิลา บนยอดดูราวกับดวงอาทิตย์สีทองลุกโชน

แสงสีทองปกคลุมทั้งเมืองเซิ่งยวน มือสังหารที่อยู่ในเมืองสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันเบาบาง

ความแวววาวคงอยู่สิบกว่านาทีก่อนที่จะค่อยๆ สลายลง เมื่อแสงสีทองจางหายทุกคนก็พุ่งความสนใจไปทันที จากนั้นทั้งเมืองก็เงียบกริบ

เพล้ง!

ขวดหยกร่วงจากมือลู่ทง ขณะที่ตัวแข็งทื่อมองไปที่ศิลาสังหารปีศาจด้วยความตะลึงงัน

เคร้ง เพล้ง!

ข้าวของร่วงมือของเหล่ามือสังหารหลายคนในมุมรับสมัคร ใบหน้าทั้งหมดแข็งค้าง

“อะไรกัน… นี่มันอะไรกันเนี่ย!” บางคนถึงกับพูดซ้ำไม่หยุด

ภายใต้ความเงียบ แสงสีทองบนศิลาสังหารปีศาจก็จางลง อักษรสีทองเผยขึ้นใต้ชื่อราชันสังหารปีศาจฉิงเทียน

ราชาสังหารปีศาจ—มู่เฉิน!

โห่!

ในที่สุดทุกคนก็ฟื้นคืนสติ ความปั่นป่วนเกิดขึ้น พวกเขาตกตะลึงกับชื่อราชันสังหารปีศาจคนใหม่

เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ในเมืองเซิ่งยวนเป็นมือสังหารปีศาจของวังมหาพันภพ พวกเขาจึงรู้ความหมายของคำว่าราชันสังหารปีศาจดี

นั่นคือเป้าหมายสูงสุดของทุกคน ตราบใดที่พวกเขาคว้าตำแหน่งราชันสังหารปีศาจได้ พวกเขาจะได้อยู่ในตำแหน่งสูงส่งของวังมหาพันภพมีตำแหน่งพิเศษ แม้แต่ขั้วอำนาจอื่นๆ ก็ต้องสุภาพและให้ความเคารพ

อาจกล่าวได้ว่าราช้นสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพเทียบเท่ากับผู้นำของขั้วอำนาจสูงสุด!

มือสังหารปีศาจทุกคนต่างมุ่งมั่นเพื่อเป้าหมายนี้ แต่ถ้าไม่ใช่ช่วงสงครามการรวบรวมคะแนนสังหารหมื่นคะแนนก็ไกลเกินเอื้อม แม้ว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้หากสังหารจอมปีศาจระดับเทียน แต่นั่นก็เป็นเส้นทางที่ไม่มีใครคิดจะทำ

จอมปีศาจระดับเทียนเป็นสิ่งมีชีวิตที่เทียบเคียงได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในเผ่าปีศาจหรือมหาพันภพสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นยืนอยู่ที่ด้านบนสุดของพีระมิด

ไม่มีใครกล้าพุ่งชน

นั่นพิสูจน์ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับตำแหน่งราชันสังหารปีศาจ แต่จู่ๆ ก็มีชื่อไม่คุ้นหูได้รับสมญานามว่าราชันสังหารปีศาจ ซึ่งทำให้เหล่ามือสังหารปีศาจรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

“มู่เฉินคนนี้เป็นใคร? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อน”

“ดูเหมือนจะไม่มีชื่อนี้ในหมู่มือสังหารปีศาจขั้นสูงนะ!”

“ไม่มี? เขาเลื่อนตำแหน่งมาจากขั้นกลางเหรอ?”

“แกพูดไร้สาระอะไร? เขาจะทะยานพรวดพราดขนาดนี้ได้ เว้นแต่จะต้องสังหารราชันปีศาจทีเดียวหลายคน”

“…”

ความวุ่นวายกวนตัวในเมืองเซิ่งยวน

เมื่อลู่ทงหายจากอาการตกใจก็จ้องไปที่ชื่อด้วยแสงวูบไหวในดวงตา “มู่เฉิน? หรือว่าเจ้าหนูที่ไอ้แก่ขี้เหล้าพามา”

“แต่…เขาเพิ่งได้รับป้ายไป ยังเป็นแค่มือสังหารขั้นต่ำอยู่เลย… หรือว่า…”

จู่ๆ ลู่ทงก็นึกถึงบางสิ่ง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปรุนแรง วิธีเดียวที่จะกระโจนจากมือสังหารขั้นต่ำเป็นราชันสังหารปีศาจได้คือการฆ่าจอมปีศาจระดับเทียนและได้รับเศษวิญญาณของมัน

แต่ขุมพลังของมู่เฉินอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงการฆ่าจอมปีศาจระดับเทียนเลย ถ้าเขาตอบโต้ สิ่งมีชีวิตแบบนั้นสามารถฆ่าเขาได้ง่ายปอกกล้วยเสียอีก

ดังนั้นมีทางเดียวที่เป็นไปได้

“เขาสามารถลบล้างหนึ่งในสี่เศษวิญญาณจอมปีศาจระดับเทียนที่ผนึกไว้ในเหวเทพร่วงหรือ?” ชายชรามีสีหน้าครุ่นคิด เพราะนั่นถือเป็นความเป็นไปได้สูงสุด

หากมู่เฉินได้รับความช่วยเหลือจากหนึ่งในสี่บรรพชนก็อาจจะลำบากแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

“ถ้าเป็นแบบนั้น เจ้าหนูคนนั้นก็โชคดีไปหน่อยแล้ว!”

ชายชราส่ายหัวพลางยิ้มขมขื่น วิธีนี้เป็นกลโกง ถ้าได้รับการพิสูจน์ความจริงเรียบร้อย วังมหาพันภพก็จะมีราชันสังหารปีศาจที่อ่อนแอที่สุดเป็นประวัติการณ์

‘ดูเหมือนข้าต้องรายงานเรื่องนี้ไปที่สำนักงานใหญ่’

ชายชราพึมพำในใจ เรื่องนี้สำคัญมา แม้แต่เขาก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ ดังนั้นเขาจึงต้องรายงานเรื่องนี้ไปยังสำนักงานใหญ่เพื่อให้สภาตัดสินใจ

เมื่อตัดสินใจได้ ลู่ทงก็มองไปที่ศิลาสังหารปีศาจอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวขณะมองชื่อที่สอง แม้แต่เขาก็เจอเรื่องแปลกประหลาดแบบนี้เป็นครั้งแรก ช่างทำให้มุมมองของเขากว้างขึ้นจริงๆ

ขณะที่ลู่ทงกำลังวางแผนว่าจะจัดการอย่างไร

ในเวลาเดียวกันคนสามคนในสวนแห่งหนึ่งในเมืองก็เงยหน้าขึ้นจากจัตุรัสมองไปที่อักษรสีทองบนศิลาสังหารปีศาจ

“มู่เฉิน? ไอ้ตัวกาลกิณีนั่นเหรอ?” ผู้อาวุโสชุดเงินมองไปที่อักษรสีทองก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าบูดเบี้ยว

ผู้อาวุโสชุดดำที่อยู่ข้างๆ ก็ขมวดคิ้ว แม้ว่าจะไม่อยากยอมรับ แต่ก็ยังพยักหน้า “ข้าคิดว่าเป็นไอ้เด็กบ้านั่นจริงๆ”

ทั้งสองคนก็คือผู้อาวุโสมั่วหยิงและเฮยกวางตระกูลมั่วแห่งเผ่าฝูถู

“เป็นไปได้ยังไง?!” มั่วหยิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม เขารู้ว่าการเป็นราชันสังหารปีศาจในวังมหาพันภพยากเพียงใด

เฮยกวางลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะตอบ “ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะมีเศษวิญญาณจอมปีศาจระดับเทียนที่ถูกผนึกอยู่ในเหวเทพร่วง”

ใบหน้าของมั่วหยิงเปลี่ยนไป ‘ถ้าเป็นเช่นนั้นไม่ได้หมายความว่ามู่เฉินได้รับมรดกไปรึ? เพราะมีเพียงหนึ่งในสี่บรรพบุรุษเท่านั้นที่มีเศษวิญญาณที่ปิดผนึกอยู่’

และพวกเขาเดาว่ามีความเป็นไปได้สูงที่มู่เฉินจะพบมรดกของผู้อาวุโสฝูถู!

หรือว่าวิชาเจดีย์แปดองค์จะตกอยู่ในมือของมู่เฉิน?

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ สีหน้าของทั้งสองก็น่าเกลียดลง

ที่ด้านข้างสายตาของชิงเซวียนก็วูบไหว ขณะที่มองไปที่ศิลาสังหารปีศาจด้วยหัวใจที่สั่นสะท้าน

“กลายเป็นราชันสังหารปีศาจเชียวเหรอ” นางพึมพำ ถ้ามู่เฉินมีตำแหน่งเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ งานนี้สถานะของเขาจะเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์

“หึ อย่าฝัน วังมหาพันภพไม่ยอมรับวิธีการนี้อย่างแน่นอน นอกจากนี้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายในฐานะราชันสังหารปีศาจรึ? วังมหาพันภพจะไม่อับอายขายหน้าถ้าเรื่องนี้กระจายออกไปเรอะ?” เฮยกวางเยาะเย้ย

ชิงเซวียนเหลือบมองอีกฝ่าย ก่อนที่จะตอบเสียงแผ่วเบา “คำพูดของเจ้าช่างไร้น้ำหนัก เฮยกวาง วังมหาพันภพจะเป็นผู้ตัดสินเรื่องนี้เอง”

เฮยกวางอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดขึ้น“ ไม่ว่ายังไงเราจะไม่ปล่อยให้วิชาเจดีย์แปดองค์ตกอยู่ในมือไอ้เด็กกาลกิณีได้ มิฉะนั้นเผ่าฝูถูจะกลายเป็นตัวตลก!”

คำพูดของเขาอัดแน่นด้วยไอเย็นชา

“เฮยกวง เจ้าคิดจะทำอะไร?! หากเจ้าเคลื่อนไหวก็ถือว่าขัดขืนคำสั่งของผู้อาวุโสใหญ่!” ชิงเซวียนรับรู้ถึงความหมายเบื้องหลังคำพูดของเขาได้ ดังนั้นนางจึงตะคอกด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป

“เจ้าคิดจะบีบน้องสาวข้าให้แตกหักกับเผ่ารึ?”

มั่วหยิงเยาะเย้ย “ถ้าถึงขั้นนั้นจริงๆ พวกข้าก็ได้แต่วางคำพูดของผู้อาวุโสใหญ่ลง ข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสใหญ่จะสนับสนุนในเรื่องนี้”

“ผู้อาวุโสใหญ่ผ่อนปรนกับชิงเหยี่ยนจิ้งมากเกินไป ปล่อยให้นางล้ำเส้นถึงเพียงนี้!”

“ข้าจะไม่ยอมให้ไอ้เด็กกาลกิณีนั่นกระโดดอยู่ใต้ตาหรอก!”

ชิงเซวียนโกรธจนใบหน้าซีดไปหมด คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งออกมาจากร่างกาย ทันใดนั้นมิติก็แตกสลาย พุ่งปราบปรามเฮยกวางและมั่วหยิง

“ชิงเซวียน เจ้าคิดจะทำอะไร?!”

ทั้งสองถอยกลับออกไปด้วยใบหน้ามืดครึ้ม ก่อนที่ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังจะระเบิดออกจากร่างกายต่อต้านแรงกดดันคลื่นหลิงชิงเซวียน

“ชิงเซวียน เจ้าจะช่วยไอ้กาลกิณีเรอะ?! หากเป็นเช่นนั้นข้าคิดว่าตระกูลชิงจะต้องถูกลงโทษทั้งหมด!” มั่วหยิงกล่าวอย่างเย็นชา

ชิงเซวียนกัดฟัน หน้าอกขยับอย่างเบาๆ ชั่วครู่นางก็ค่อยๆ ดึงคลื่นหลิงกลับมาพลางมองไปที่ทั้งสองคนอย่างเย็นชา “ถ้าเจ้าสองคนยืนกรานที่จะทำก็รอรับผลกรรมที่ตามมาด้วย!

“ดูสิว่าผู้อาวุโสใหญ่สามารถปกป้องคนโง่สองคนได้หรือไม่ เมื่อน้องสาวของข้าคลั่งขึ้นมา!”

เมื่อพูดจบนางก็สะบัดแขนเสื้อจากไป

ดวงตาของเฮยกวางและมั่วหยิงกะพริบวูบไหว แต่สุดท้ายทั้งสองก็เค้นเสียงเย็นชา พวกเขาไม่เชื่อว่าเผ่าฝูถูจะไม่สามารถทำอะไรนางได้ แม้ว่านางจะทรงพลังก็ตาม!

ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้วิชาเจดีย์แปดองค์ตกอยู่ในมือของมู่เฉินได้

คราวนี้พวกเขาต้องจับไอ้เด็กบ้านั่นให้ได้ละนำกลับไปเพื่อรับการพิพากษา!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท