หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1340

ตอนที่ 1340

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1340 ผู้สืบทอดมรดก
“สำเร็จเหรอเนี่ย?”

มู่เฉินมองไปที่ป้ายสังหารปีศาจที่มีประกายสีทองกะพริบอยู่บนนั้นด้วยความตกใจ เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มาจากคำว่าราชันสังหารปีศาจ

ผลลัพธ์นี้ทำให้เขาประหลาดใจ เนื่องจากนี่เป็นเพียงความคิดที่จะลอง เขาไม่มั่นใจว่าจะสำเร็จหรือไม่ แต่นี่กลับสำเร็จจริงๆ

“ฮ่าๆ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย-ราชันสังหารปีศาจ” ฝูถูมองไปที่ป้ายสีทองในมือของมู่เฉินพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่อาจคาดเดาได้บนใบหน้า

วังมหาพันภพมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ฝูถูจึงรู้เรื่องสถานะราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ อาจกล่าวได้ว่าราชันสังหารปีศาจทุกคนมีสถานะที่สำคัญในมหาพันภพ การดำรงอยู่สามารถสั่นสะเทือนโลกได้ด้วยการแตะเท้าเบาๆ

แต่ตอนนี้มีราชันสังหารปีศาจที่อยู่ในขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“นับจากนี้ไปวังมหาพันภพจะมีราชันที่อ่อนแอที่สุด” ฝูถูเอ่ยแซว

ใบหน้าของมู่เฉินปกคลุมไปด้วยเส้นสีดำ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องผิดปกติ แต่ก็เป็นการล้างสมองของฝูถูที่ทำให้เขากล้าทำเช่นนี้

ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเหลือบมองท่านบรรพบุรุษก่อนจะเก็บป้ายสังหารปีศาจ จากนั้นก็หันไปดูแผ่นภาพผนึกปีศาจ ร่างเงาของเสี่ยเจียงจางลงและกำลังจะหายไป

“อ็อก”

เสียงคร่ำครวญดังขึ้น ร่างปีศาจก็หดเล็กลง รัศมีที่ทำให้มู่เฉินหวาดกลัวก็เริ่มหายไป

ขณะนี้จอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียงสูญสลายไปแล้วอย่างแท้จริง

แม้ว่าเสี่ยเจียงจะหายไปจากโลกตลอดกาล แต่ภาพเงาก็ยังคงสั่นสะท้านพร้อมเสียงคำรามก้อง “ปล่อยข้าออกไป!”

“นั่นเสียงซือเทียนโยวนี่” คิ้วของมู่เฉินเลิกขึ้น ด้วยการทำลายล้างเสี่ยเจียง ทำให้ซือเทียนโยวกลับมาควบคุมร่างกายได้อีกครั้ง

“เจ้าอยากทำอะไรกับมัน” ฝูถูมองไปที่มู่เฉินขณะถาม

“กำจัดมันทิ้ง” มู่เฉินพูดแบบไม่ลังเลใดๆ ซือเทียนโยวเป็นสมาชิกเผ่าปีศาจต่างมิติ มิหนำซ้ำยังเป็นคนโหดเหี้ยม ในเมื่อจับไว้ได้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยไป

“งั้นก็กำจัดมันซะ” คำพูดฝูถูดังสะท้อนเบาๆ ราวกับว่าเขากำลังบี้มด ที่จริงซือเทียนโยวก็ไม่ต่างจากมดในสายตาของเขาหรอก

เมื่อได้ยินทั้งสองเสียง ซือเทียนโยวก็เริ่มดิ้นรนรุนแรงในแผนภาพผนึกปีศาจ แต่ไม่ว่าจะพยายามตะเกียกตะกายอย่างไร ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการได้

สุดท้ายซือเทียนโยวก็ทำได้เพียงหยุดลง เสียงดุร้ายดังก้อง “มู่เฉิน ถ้าแกฆ่าข้าวันนี้ เผ่าซือหมัวไม่ปล่อยแกไปแน่!”

มู่เฉินหัวเราะกับคำพูดที่ฟังจนเบื่อ มหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจต่างมิติเป็นศัตรูกันชั่วกัปชั่วกัลป์ แม้ว่าจะไม่มีซือเทียนโยว เผ่าปีศาจก็ไม่ยอมปล่อยเขาไปหรอกหากต้องปะหน้ากัน

“ถ้างั้นข้าจะรอที่มหาพันภพและรอดูว่าเผ่าซือหมัวจะทำอะไรกับข้า” มู่เฉินหัวเราะเยาะเสียงเย็นชา

ขณะที่ซือเทียนโยวคิดจะพูดพล่ามต่อ มือของฝูถูก็เช็ดไปทั่วท้องฟ้าคล้ายกับการเช็ดน้ำหมึก ภาพเงาของซือเทียนโยวก็หายไปจากแผนภาพ

ซือเทียนโยวไม่สามารถแม้แต่จะกรีดร้องก่อนที่จะหายไปตลอดกาล

เมื่อซือเทียนโยวหายไป เส้นใยรัศมีสีดำก็พุ่งออกมาจากแผ่นภาพหมุนไปรอบๆ ตัวมู่เฉิน

ภาพนี้ทำให้มู่เฉินตกใจ เขาพยายามใช้คลื่นหลิงเพื่อต่อต้านรัศมีสีดำ ทว่ารัศมีนั่นก็หายไปทันทีที่สัมผัสกับร่างกายของเขา

“ผู้อาวุโสเกิดอะไรขึ้น?” เมื่อเห็นฉากแปลกประหลาดเช่นนี้ มู่เฉินก็ขมวดคิ้วถามไม่ได้

ฝูถูยิ้มสบายๆ “นี่เป็นรูปแบบหนึ่งของรัศมีศพปีศาจซึ่งไม่เป็นอันตราย แต่เผ่าซือหมัวจะตรวจพบได้ง่าย น่าจะเป็นแผนการสุดท้ายของเจ้าเด็กปีศาจนั่นที่จะให้เผ่าของมันมาแก้แค้นได้น่ะ”

มู่เฉินรู้สึกโล่งใจในคำพูดของฝูถู แม้ว่าเผ่าซือหมัวจะน่ากลัวไปสักหน่อย แต่เขาก็ไม่กลัว หากเผ่าซือหมัวกล้าโผล่หน้ามาที่มหาพันภพ ไม่รอให้เขาลงมือก็จะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจัดการเอง

เขาไม่เชื่อว่าเผ่าซือหมัวจะสร้างหายนะในมหาพันภพได้

“ท่านเอาออกให้ได้ไหม?” แม้ว่าจะไม่กลัว แต่มู่เฉินก็ยังถามด้วยความระแวง

ฝูถูส่ายหัว “นั่นคือเส้นใยรัศมีศพปีศาจที่เขาสร้างขึ้นจากการเผาผลาญพลังชีวิต ถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะจัดการ แต่ตอนนี้ยากเลยทีเดียว”

มู่เฉินยักไหล่ไม่ใส่ใจเรื่องนี้อีก เขากลับมองไปที่แผนภาพผนึกปีศาจด้วยความไม่สบายใจ “งั้นตอนนี้เสี่ยเจียงก็ถูกจัดการแล้วใช่ไหมขอรับ?”

เพราะพลังชีวิตของจอมปีศาจระดับเทียนน่ากลัวเกินไป

ฝูถูพยักหน้า “มันเป็นเพียงเศษวิญญาณ ด้วยความช่วยเหลือจากกระบี่เกล็ดจักรพรรดิก็เกินพอที่จะลบล้างการดำรงอยู่ที่มีแล้ว”

ขณะที่พูดเขายกมือขึ้น กระบี่เกล็ดจักรพรรดิพุ่งกลับมาหามู่เฉิน

ฝูถูเอ่ยต่อว่า “กระบี่เกล็ดจักรพรรดินั้นเทียบเท่ากับอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซิ่งเมื่ออยู่ในจุดสูงสุด น่าเสียดายที่ตอนนี้หมดพลังลงแล้ว มิหนำซ้ำยังผ่านการกัดกร่อนของเวลา แม้ว่าจะฟื้นตัวได้ในภายหลังข้าก็กลัวว่าอาวุธชิ้นนี้จะมีขีดจำกัดอยู่ในชั้นเซียนเท่านั้น”

เสียงฝูถูฟังดูสลดหดหู่ เพราะอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซิ่งมีค่าอย่างยิ่งแม้แต่กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แม้แต่กระจกผนึกปีศาจที่เขาครอบครองก็เป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยนชั้นเซียนเท่านั้น

มู่เฉินพยักหน้าขณะรับกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ ตัวกระบี่สลัวรางราวกับว่าถูกปกคลุมด้วยสิ่งสกปรกที่ไม่สามารถทำความสะอาดได้

มู่เฉินรู้ว่านี่เป็นเพราะพลังงานหมดลง เว้นแต่เขาจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน มิเช่นนั้นกระบี่เกล็ดจักรพรรดิก็จะไม่สามารถปลดปล่อยแสงโชติช่วงที่เคยมีได้อีก

“มั่นใจเถอะ วันที่ข้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุน คือวันที่เจ้าจะกลับมาในโลกนี้อีกครั้ง” มู่เฉินกล่าวขณะที่ลูบกระบี่

ฮึ่ม

กระบี่เกล็ดจักรพรรดิสั่นเบาๆ ดูเหมือนจะส่งเสียงครางอีกด้วย

เก็บกระบี่เอาไว้แล้วมู่เฉินก็หันกลับมา เผ่าปีศาจกำลังหลบหนีโดยมีจอมยุทธ์มหาพันภพจัดการอยู่รอบแท่นบูชา

แต่ไม่ไกลจากแท่นบูชาก็ยังมีบางคนมองมายังทิศทางนี้อยู่เรื่อย

พวกเขาก็คือกลุ่มของเฉวียนหลัวและมั่วซิน เห็นชัดว่าพวกเขายังคงรู้สึกไม่เต็มใจเกี่ยวกับเรื่องที่มู่เฉินจะได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์

“ผู้อาวุโส ข้าถือว่าทำงานเสร็จเรียบร้อยหรือไม่ขอรับ?”

มู่เฉินรู้ทันความคิดของพวกเขา ดังนั้นจึงถามฝูถูโดยไม่ลังเล เนื่องจากเขาต้องการได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์อย่างรวดเร็ว

ฝูถูพยักหน้า ตอนแรกเขาตั้งใจที่จะใช้มู่เฉินผนึกจอมปีศาจระดับเทียน แต่ไม่คิดว่ามู่เฉินจะช่วยสังหารจนสิ้นซากแทน ดังนั้นภารกิจนี้จึงสมบูรณ์แบบเกินกว่าอะไรทั้งสิ้น

“แล้วผู้อาวุโสจะให้รางวัลอะไรกับข้า?” มู่เฉินไม่ได้ปกปิดความตั้งใจถามอย่างตรงไปตรงมา

ฝูถูอึ้งไปกับคำพูดของมู่เฉินชั่วครู่ ก่อนที่จะยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้านี่เห็นแก่รางวัลจริงๆ!”

มู่เฉินยิ้มบาง “ข้าอยู่คนเดียว ดังนั้นก็ต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อให้ได้มาทุกอย่าง ไม่เหมือนคนที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่ที่สามารถหาทุกสิ่งที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย”

สีหน้าของฝูถูค่อยๆ เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินความหมายเบื้องหลังคำพูดนี่ เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มไม่มีความสัมพันธ์อันดีกับทางเผ่าเลย

ฟิ้ว ฟิ้ว!

เฉวียนหลัวและมั่วซินรีบทะยานขึ้นไปบนแท่นบูชา

“ลูกหลานทักทายท่านบรรพบุรุษ!” ทั้งสองคนโค้งคำนับด้วยมารยาสูงสุด

ฝูถูพยักหน้ารับ

เมื่อกวาดสายตามองไปที่มู่เฉิน เฉวียนหลัวก็ก้มหน้าพูดกับฝูถูว่า “ท่านบรรพบุรุษ พวกข้าแบกความรับผิดชอบยิ่งใหญ่และภายใต้คำสั่งให้นำวิชาเจดีย์แปดองค์กลับไป พวกข้าหวังว่าท่านบรรพบุรุษจะสามารถส่งต่อวิชานี้ให้เพื่อประโยชน์ของเผ่าเรา ในฐานะลูกหลาน เราจะไม่มีวันลืมพระคุณนี้!”

“ใช่ การสูญเสียมรดกของท่านเป็นการสูญเสียที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ข้าเชื่อว่าท่านก็คงต้องการให้มรดกตกทอดในเผ่าเราใช่ไหมขอรับ?” มั่วซินกล่าวด้วยความเคารพ

ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งขรึมราวกับผืนน้ำ แสงเย็นเยือกวูบไหวในนัยน์ตา ชัดว่าเขาโกรธมากกับไอ้วายร้ายสองคนที่พยายามแย่งชิงของรางวัลของเขา

‘ไอ้พวกนี้วิ่งเร็วเหมือนหมาตอนเผชิญหน้ากับจอมปีศาจเทียนเสี่ยเจียง พอตอนนี้ไม่มีภัยคุกคามพวกมันก็เสนอหน้าจะมาฉกของของข้า!’

ฝูถูมองไปที่ทั้งสองพลางพูดช้าๆ “ก่อนหน้าข้าก็บอกไปแล้วว่าใครก็ตามที่สามารถช่วยข้าจัดการกับเสี่ยเจียงจะได้รับรางวัลจากข้า ซึ่งมู่เฉินทำสำเร็จ”

เฉวียนหลัวและมั่วซินเริ่มเหงื่อตก ทั้งสองรีบพูดว่า “ท่านบรรพบุรุษ มู่เฉินเป็นตัวกาลกิณีไม่ลงรอยกับเผ่า ถ้าเขาได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์ก็คล้ายกับติดปีกให้พยัคฆ์ ข้ากลัวว่าเขาจะใช้วิชาเทพของท่านบรรพบุรุษสังหารหมู่พวกเราด้วยความแค้นที่มีต่อกัน!”

พอได้ยินคำพูดนั่น ฝูถูก็ขมวดคิ้วจมลงในความเงียบ

ได้เห็นผลที่เกิดจากคำพูดของพวกเขา เฉวียนหลัวและมั่วซินก็รู้สึกเบิกบานใจ

ฝูถูหันมามองมู่เฉินโดยไม่แสดงออกใดๆ จากนั้นก็พูดว่า “มู่เฉิน ตาเฒ่าคนนี้มีเรื่องจะถาม”

“เชิญขอรับ”

ฝูถูถอนหายใจ “ถ้ามีวันหนึ่งที่เจ้าและเผ่าฝูถูอยู่ในความขัดแย้ง เจ้าจะทำอย่างไร?”

มู่เฉินเงียบไป คำตอบที่ถูกต้องในการพูดตอนนี้ก็คือเขาจะไม่ขัดแย้งกับตระกูลพระโบราณ ทว่าเขาก็ไม่สามารถพูดได้เพราะด้วยมารดาของเขา เรื่องนี้จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นอกจากนี้ถ้าฝืนปฏิเสธก็หนีไม่พ้นสายตาที่เฉียบคมของผู้อาวุโสฝูถูหรอก

ในเมื่อเป็นแบบนี้… มู่เฉินเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ฝูถู “ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตามข้าจะทำตามหัวใจของตนเอง”

ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเผ่าฝูถูจะพัฒนาไปสู่อะไร เขารู้ดีว่าตนเองจะไม่ดึงผู้บริสุทธิ์มาพัวพันและทำตามหัวใจจนถึงที่สุดโดยไม่เกรงกลัว

เมื่อเฉวียนหลัวและมั่วซินได้ยินคำตอบ ความสุขก็กระจายบนใบหน้า พวกเขาเงยหน้าก็เห็นสายตาของฝูถูจับจ้องไปที่มู่เฉินนิ่ง

ชายหนุ่มก็มองเข้าไปในดวงตาของฝูถูโดยไม่กลัวอะไร

หลังจากทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากัน เฉวียนหลัวและมั่วซินก็ตะลึงไปเมื่อเห็นรอยยิ้มพึงพอใจบนใบหน้าของฝูถู

“ทำตามหัวใจของตนเอง ดีๆ สำหรับคนที่กล้าเผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ ตาเฒ่าคนนี้เชื่อในหัวใจของเจ้า!”

ฝูถูยื่นมือออกตบไหล่ของมู่เฉินหนักแน่น

“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าคือผู้สืบทอดวิชาเจดีย์แปดองค์!”

เมื่อได้ยินคำพูดนั่นใบหน้าของเฉวียนหลัวและมั่วซินก็ซีดลง

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท