หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1347

ตอนที่ 1347

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1347 ราชันสังหารปีศาจคนที่สอง
แสงสีทองพวยพุ่งขึ้นภายในตำหนัก

ดึงดูดสายตาทุกคู่ให้จับจ้องไปยังป้ายสีทองพร้อมด้วยตัวอักษรสีแดงเข้มที่ด้านล่างที่ทำให้เกิดแรงกดดันแปลกประหลาด

ราชันสังหารปีศาจ!

เหล่ามือสังหารปีศาจมองไปที่ป้ายด้วยดวงตาลุกโชน ดูเหมือนว่าจะมีน้ำลายไหลออกจากปากของพวกเขา เห็นชัดเจนว่าพวกเขาเข้าใจความหมายของสิ่งนี้ในวังมหาพันภพดี…

ราชันสังหารปีศาจอยู่ด้านบนสุดของพีระมิดในวังมหาพันภพ สูงกว่าแขก ผู้อาวุโสและผู้ดูแลตำหนักบางส่วนด้วยซ้ำ!

พวกเขายอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายก็เพียงเพื่อเพิ่มอันดับ เมื่อสามารถดำรงตำแหน่งราชันสังหารปีศาจได้ พวกเขาก็จะมีชีวิตพลิกผันไปอย่างสิ้นเชิง

ในมหาพันภพตำแหน่งราชันสังหารปีศาจไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้นำขั้วอำนาจสูงสุดเลย

“เจ้าเด็กนั่นเป็นราชันสังหารปีศาจจริงด้วย…” สายตาอิจฉามากมายจ้องมองมาที่มู่เฉิน โดยเฉพาะคนที่เข้าไปผจญภัยในแดนเซิ่งยวนโบราณมานานหลายปี แต่ยังคงอยู่ในขั้นกลางเท่านั้น

นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่ามู่เฉินเพิ่งได้รับป้ายสังหารปีศาจก่อนที่จะเข้าสู่แดนเซิ่งยวนโบราณเป็นครั้งแรก

ป้ายกะพริบด้วยแสงสีทอง ทำให้ใบหน้าของมั่วโยวดิ่งลงอย่างช้าๆ พร้อมกับความเคร่งเครียดรุนแรงพล่านในส่วนลึกของดวงตา

“เขา? ราชันสังหารปีศาจ? ข้าเคยได้ยินแค่ชื่อของราชันสังหารปีศาจฉิงเทียนเท่านั้น มีคนที่สองตั้งแต่เมื่อไร?” เสียงแหบพร่าของมั่วโยวดังก้อง เขาเพิ่งมาที่เมืองเซิ่งยวน ดังนั้นจึงไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของศิลาสังหารปีศาจ

“ผู้ดูแลตำหนักบ้าไปรึเปล่า? เจ้ายอมรับตัวตนของราชันสังหารปีศาจแบบนี้ได้จริงรึ? นับตั้งแต่ก่อตั้งวังมหาพันภพเมื่อไรกันที่มีราชันต่ำต้อยขนาดนี้?” ใบหน้าของมั่วหยิงและเฮยกวางเขียวคล้ำ ขณะที่พูดด้วยความไม่เชื่อ

“เจ้าไม่กลัวชื่อเสียงของวังจะพังพินาศหากเรื่องนี้กระจายออกไปรึ!”

เมื่อได้ยินเสียงของมั่วหยิง ลู่ทงก็ยิ้มบาง “ป้ายสังหารปีศาจสามารถเพิ่มคะแนนได้โดยใช้ชิ้นส่วนวิญญาณของเผ่าปีศาจต่างมิติเท่านั้น ในเมื่อเขาสามารถก้าวขึ้นสู่ระดับราชันสังหารปีศาจได้ นั่นหมายความว่าเขามีส่วนร่วมอย่างเพียงพอแล้ว”

“เขาแค่โชคดี เศษวิญญาณของจอมปีศาจระดับเทียนนั่นได้มาเพราะบรรพบุรุษของพวกข้าช่วยเขาไว้ เขาหาผลประโยชน์จากด้านข้าง!” เฮยกวางพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ลู่ทงส่ายหัว “ข้าไม่สนใจว่าเขาได้รับเศษวิญญาณจอมปีศาจระดับเทียนมาได้อย่างไร ข้ารู้แค่ว่าเขาได้รับการยอมรับจากป้ายสังหารปีศาจและถูกยกให้เป็นราชันสังหารปีศาจ”

“นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นั่นหมายความว่ามีจอมปีศาจระดับเทียนตายในมือของเขา แม้ว่าจะเป็นเพียงเศษวิญญาณ เขาก็มีส่วนช่วยอย่างมากในการลบล้าง ถือว่าเป็นการสนับสนุน ตามบัญญัติตั้งแต่ก่อตั้งวังมหาพันภพ ในเมื่อเขาสังหารเผ่าปีศาจได้สำเร็จทางวังก็ไม่คิดปฏิเสธ”

ขณะที่พูดเขาก็หันไปมองเฮยกวาง มั่วหยิงและมั่วโยวพูดย้ำช้าๆ “นอกจากนี้ข้าได้รายงานเรื่องนี้ไปยังกองบัญชาการใหญ่แล้ว ข่าวที่ได้รับแจ้งก็คือ… พวกเขายอมรับเรื่องนี้เช่นกัน”

โห่

ทันใดนั้นทั้งตำหนักก็เกิดความโกลาหล ดวงตาสีแดงนับไม่ถ้วนจ้องมองมาที่มู่เฉิน นั่นไม่ได้หมายความว่านับจากวันนี้เป็นต้นไปวังมหาพันภพจะมีราชันสังหารปีศาจคนที่สองเรอะ?

ตอนนี้ชายหนุ่มกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวังมหาพันภพ แม้แต่ผู้ดูแลตำหนักก็ยังอยู่ใต้ระดับเขา

ใบหน้าของเฮยกวางและมั่วหยิงน่าเกลียดลงหลายส่วน ใบหน้าของมั่วโยวก็มืดครึ้มลง หากวังมหาพันภพยอมรับตัวตนของมู่เฉินในฐานะราชัชนสังหารปีศาจจริงๆ ละก็ เรื่องนี้เป็นปัญหาแน่

ราชาผู้สังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพดำรงตำแหน่งสูงล้ำในมหาพันภพไม่ต้องพูดถึงเขาเลย เขาอยู่ในระดับเดียวกับผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าโบราณด้วยซ้ำ

ดังนั้นหากพวกเขาต้องการจับมู่เฉินไปในวันนี้ ก็เท่ากับว่าท้าทายวังมหาพันภพ ซึ่งผลลัพธ์นั้นช่างเลวร้ายเหลือเกิน

ในฐานะผู้อาวุโสลำดับเก้าของเผ่าฝูถู มั่วโยวรู้ชัดเจนเกี่ยวกับความแข็งแกร่งและรากฐานของวังมหาพันภพ ในระดับหนึ่งสำนักนี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเผ่าฝูถูเลย เพียงแต่ว่าวังมหาพันภพมุ่งเน้นจัดการเผ่าปีศาจต่างมิติจึงไม่เคยแทรกแซงในเรื่องมหาพันภพ

ผู้ดูแลตำหนักไม่ได้สนใจมองไปอีกฝ่ายต่อไป เขาคืนป้ายให้กับมู่เฉิน ประสานมือขึ้นด้วยรอยยิ้ม “แดนเซิ่งยวน เจ้าตำหนักหมื่นพัน—ลู่ทง ทักทายราชันสังหารปีศาจ”

มู่เฉินผงะไปก่อนที่จะพูดอย่างรัว “เจ้าตำหนักลู่ อย่าแกล้งข้าแบบนี้เลย”

สถานการณ์นี้เหนือความคาดหมายของเขา เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ากองบัญชาการใหญ่ของวังมหาพันภพจะยอมรับราชันสังหารปีศาจอย่างเขาจริงๆ

ลู่ทงยิ้ม “สถานะของราชันสังหารปีศาจในวังมหาพันภพสูงกว่าข้าด้วยซ้ำ ดังนั้นเจ้าสามารถรับการคารวะได้เต็มที่”

เมื่อมั่วโยว มั่วหยิงและเฮยกวางเห็นสิ่งนี้ใบหน้าก็ยิ่งดูไม่น่าดู เพราะพวกเขาบอกได้เลยว่าที่ลู่ทงตั้งใจทำสิ่งนี้ก็เพื่อให้พวกเขาตระหนักถึงความสำคัญของมู่เฉินในฐานะราชันสังหารปีศาจ

“ทำยังไงดี?” สายตาของมั่วหยิงสั่นไหวก่อนที่จะหันไปมองมั่วโยว คลื่นเสียงที่ถูกห่อหุ้มด้วยคลื่นหลิงส่งไปยังมั่วโยวทันที

มั่วโยวไม่มีการแสดงออกใดๆ บนใบหน้า แต่เกิดอาการหน้ากระตุกครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะส่ายหัว

“ผู้อาวุโสเก้า!”

เมื่อเห็นความตั้งใจนี้ เฮยกวางก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา นี่เป็นโอกาสดีที่สุดที่จะจับตัวมู่เฉินไป หากเรื่องนี้ส่งกลับไปที่เผ่าก็จะทำให้เกิดคลื่นมหาศาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเวลานั้นก็คงไม่ง่ายที่พวกเขาจะแอบดำเนินการอะไรก่อนรายงาน

มั่วโยวจ้องไปที่เฮยกวาง ด้วยสถานะปัจจุบันของมู่เฉินที่ดำรงตำแหน่งราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ หากพวกเขาจับมู่เฉินในตำหนักหมื่นพัน ก็คล้ายกับการตบหน้าวังมหาพันภพ คนเหล่านั้นคงจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ไปแบบง่ายดายแน่นอน

ดวงตามั่วโยวกะพริบก่อนที่จะหันไปมองมู่เฉิน ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปเป็นอ่อนโยน “มู่เฉิน เจ้าเป็นสมาชิกของเผ่าฝูถู หากเจ้าสามารถไปยังเผ่ากับพวกข้าและมอบวิชาเจดีย์แปดองค์กลับคืนสู่เผ่า บางทีผู้อาวุโสใหญ่อาจปล่อยมารดาของเจ้าก็ได้”

พอได้ยินประโยคดังกล่าว ทุกคนก็เบ้ปากด้วยความรังเกียจ ผีแก่คนนี้พยายามทำตัวดีหลังจากเห็นว่างานหนักไม่ได้ผลเรอะ?

มู่เฉินหลุบตาลงไม่มีริ้วกระเพื่อมบนใบหน้าก่อนที่จะตอบเบาๆ “ข้าจะไปเยี่ยมเผ่าฝูถูแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”

เขาไม่ใช่เด็กชายตัวเล็กที่จะเชื่อคำพูดของมั่วโยว ถ้าเขาอยู่ในเงื้อมมือของคนเหล่านี้ ไม่เพียงแต่เขาจะสูญเสียวิชาเจดีย์แปดองค์เท่านั้น ตัวเขาอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อบีบบังคับมารดาอีกด้วย

เมื่อถึงวันที่เขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุน สามารถปกป้องตัวเองได้ เขาก็จะมุ่งหน้าไปยังเผ่าฝูถูแน่!

เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่ให้หน้า ใบหน้าของมั่วโยวก็มืดครึ้ม “มู่เฉินอย่าโง่น่า เจ้าคิดว่าสถานะราชันสังหารปีศาจจะสามารถทำให้เผ่าฝูถูยอมศิโรราบได้เหรอ?”

“งั้นก็ลองดู” มู่เฉินตอบโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า แม้ว่ามั่วโยวจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน แต่เขาก็ไม่ได้จนหนทาง ในสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่าเขาสามารถขอความช่วยเหลือจากเทพจักรพรรดิสงครามได้ เขาไม่เชื่อว่ามั่วโยวจะหยิ่งผยองเมื่อถึงตอนที่หลินต้งมาถึงได้

การขอความช่วยเหลือไม่ใช่เรื่องน่าอาย ในโลกนี้การยืมกำลังก็เป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งเช่นกัน

ใบหน้าของมั่วโยวกระตุกขณะที่จับจ้องไปที่มู่เฉินด้วยความโกรธในใจ

แต่เผชิญหน้ากับสายตานั่น มู่เฉินก็ไม่สนใจ

แววตาของมั่วโยวมืดมนลง เขาจ้องมองมู่เฉินอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด ทำให้ไฟที่โหมกระหน่ำในใจสงบลง จากนั้นเขาก็ยกเปลือกตาขึ้น “หวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ตัดสินใจในวันนี้”

เมื่อพูดจบมั่วโยวก็หันกลับจากไปทันที

เมื่อเห็นว่ามั่วโยวยอมแพ้กับเรื่องนี้ ใบหน้าของมั่วหยิงและเฮยกวางก็เคร่งขรึมและไม่เต็มใจ แต่พวกเขารู้ดีว่าวันนี้ทำอะไรกับมู่เฉินไม่ได้แล้ว

ดังนั้นพวกเขาจึงสาดสายตามืดมนไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อจากไป

ใบหน้าของเฉวียนหลัวและมั่วซินดำมืดราวกับก้นกระทะ พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าภายใต้แรงกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ยังคงไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้

“ไอ้เวรโชคดีนักนะ!”

พวกเขาสบตากันพลางกัดฟันแน่น พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะกลายเป็นราชันสังหารปีศาจของวังมหาพันภพกะทันหัน มิหนำซ้ำยังได้รับการยอมรับจากองบัญชาการใหญ่ด้วย…

ทว่าพวกเขาเข้าใจถ่องแท้ว่าถึงความล้มเหลวในการจับมู่เฉินเพื่อรับวิชาเจดีย์แปดองค์ไป

เพียงแค่คิดถึงในอนาคตว่าวิชาเจดีย์แปดองค์จะเป็นของมู่เฉิน หัวใจของทั้งสองก็เต็มไปด้วยความไม่เต็มใจและโกรธเกรี้ยว

ความโกรธในใจพุ่งสูงขึ้นก่อนที่พวกเขาจะกวาดสายตามองไปที่มู่เฉิน จากนั้นก็สะบัดหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว

มู่เฉินมองทั้งสองคนจากไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในท่าทาง เมื่อคนเหล่านั้นกำลังจะออกจากตำหนัก ในที่สุดเขาก็พูดออกมาอย่างใจเย็น “จะต้องมีสักวันหนึ่งที่ข้าจะเยี่ยมเผ่าฝูถูเป็นการส่วนตัวเพื่อช่วยท่านแม่”

เสียงฝีเท้าของมั่วโยวหยุดลงชั่วขณะที่เอียงใบหน้ามองด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยบนริมฝีปาก เขามองไปที่มู่เฉินอย่างน่าขนลุก เสียงเย็นชาดังก้อง “โอ้? จริงเหรอ? งั้นข้าจะรีบไปปัดกวาดคุกรอการมาถึงของเจ้า…”

น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูถูก แม้จะมีวิชาเจดีย์แปดองค์ แต่จอมยุทธ์ที่เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็เพ้อฝันไปถ้าคิดจะช่วยนักโทษออกจากเผ่าฝูถู!

แววตาของมู่เฉินคมกริบ เขาจ้องไปที่มั่วโยวด้วยรอยยิ้มบาง “ถึงตอนนั้นข้าจะขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสเก้าเป็นการส่วนตัว”

“ไอ้สารเลวจอมหยิ่ง ข้าจะลับเขี้ยวรอแกเลย” มั่วโยวส่ายหัวด้วยอาการเย้ยหยันก่อนจะหันจากไป

มองกลุ่มเงาที่ห่างออกไปมู่เฉินก็ยิ้มบาง เมื่อถึงเวลาที่เขาไปยังเผ่าฝูถู เขาจะต้องบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนก่อน เวลานั้นเขาจะให้ผีแก่กระหายเลือดตระหนักถึงความหมายของวงล้อแห่งโชคชะตาที่หมุนไป

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท