หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1350

ตอนที่ 1350

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1350 สำนักเมฆาม่วง
ทวีปเทียนหลัว ภูมิภาคทางเหนือ โถงใหญ่ตำหนักมู่

จอมยุทธ์ทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ในโถง ตอนนี้ตำหนักมู่เป็นขั้วอำนาจที่ทรงพลังที่สุดในภูมิภาคทางเหนืออย่างไม่ต้องสงสัย ขั้วอำนาจมากมายในภูมิภาคทางเหนือมาสวามิภักดิ์ เหล่าจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนมาขอเข้าร่วม ทำให้ตำหนักมู่เติบโตขึ้นอย่างโดดเด่น

แต่ขณะนี้แม้จะมีจอมยุทธ์มารวมตัวกันมากมาย แต่บรรยากาศก็ยังรู้สึกกดดัน

บนบัลลังก์สีทองมั่นถัวหลัวตัวเล็กบางสวมชุดดำนั่งอยู่ ในฐานะรักษาการประมุขชื่อเสียงของนางมาถึงขีดสุดแล้ว

หลังจากตำหนักมู่ก่อตั้งขึ้น ประมุขมู่เฉินก็จากไปจนตอนนี้ยังไม่ได้กลับมา ดังนั้นเรื่องราวทั้งหมดจึงถูกจัดการโดยมั่นถัวหลัว

สิ่งนี้ทำให้ทุกคนในภูมิภาคทางเหนือรู้จักแต่ชื่อของมั่นถัวหลัว สำหรับประมุขมู่เฉินผู้ลึกลับไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย

ถัดจากมั่นถัวหลัวก็คือหลิ่วเทียนเต้า วั้นเซิ่ง โยวมิ่งและขั้วอำนาจเก่าแก่อื่นๆ ของภูมิภาคทางเหนือ ทว่าตอนนี้ทั้งหมดเข้าร่วมตำหนักมู่แล้ว

ลงไปอีกขั้นเป็นจอมยุทธ์คนอื่นๆ ซึ่งการรวมตัวนั้นเมื่อเทียบกับในอดีตก็แข็งแกร่งขึ้นมาก

มั่นถัวหลัวเคาะปลายนิ้วบนพนักแขนขณะที่มองไปรอบๆ ครู่หนึ่งต่อมานางก็เอ่ยช้าๆ ว่า “ข้าได้รับสารว่าทูตของสำนักเมฆาม่วงจะมาถึงตำหนักมู่เร็วๆ นี้”

ทั่วทั้งห้องโถงเงียบลง ใบหน้าของผู้คนมากมายเปลี่ยนเป็นขนพองสยองเกล้าเมื่อได้ยินคำว่าสำนักเมฆาม่วง

ทวีปเทียนหลัวเป็นหนึ่งในมหาทวีปของมหาพันภพที่มีดินแดนกว้างใหญ่ ตามการจัดสรรของที่นี่ถูกแบ่งออกเป็นห้าจักรวรรดิได้แก่เหนือ-ใต้-ตะวันออก-ตะวันตกและกลาง

ภูมิภาคทางเหนือเป็นเพียงมุมเล็กๆ ของจักรวรรดิเหนือ

แม้ว่าตำหนักมู่จะขึ้นเป็นเจ้าเหนือหัวของภูมิภาคทางเหนือแล้ว แต่ก็ถือว่าธรรมดาในจักรวรรดิเหนือเท่านั้น สำนักเมฆาม่วงที่มั่นถัวหลัวพูดถึงก่อนหน้าเป็นหนึ่งในสามขั้วอำนาจของจักรวรรดิเหนือ

ว่ากันว่าผู้อาวุโสทุกคนในสำนักเมฆาม่วงเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ซึ่งมีรากฐานที่แข็งแกร่งมาก

เมื่อเทียบกับสิ่งนั้น ตำหนักมู่ที่มีเพียงมั่นถัวหลัวค้ำจุนอยู่คนเดียว ช่างคล้ายกับหิ่งห้อยโดยไม่ต้องสงสัย

น้ำไหลลึกในทวีปเทียนหลัว ในอดีตแม้ว่าแคว้นเซี่ยและตำหนักเทพปีศาจจะมีชื่อเสียง แต่พวกเขาก็ยังต้องหลังงุ้มลงเมื่อเทียบกับขั้วอำนาจระดับนั้น

ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงตกใจเมื่อได้ยินเรื่องสำนักเมฆาม่วง

“พวกมันต้องการอะไร?” หลังจากครุ่นคิดสั้นๆ หลิ่วเทียนเต้าก็ถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

มั่นถัวหลัวเย้ยหยัน “จะมีอะไรอีก? พวกมันก็ต้องการให้ตำหนักมู่ของเราสวามิภักดิ์ การแข่งขันเพื่อตำแหน่งเจ้าจักรวรรดิเหนือจะเกิดขึ้นในไม่ช้า เห็นได้ชัดว่าสำนักเมฆาม่วงต้องการให้เราเป็นกองทัพเดนตายสำหรับพวกมันเพื่อต่อสู้กับอีกสองขั้วอำนาจ”

“ในอดีตภูมิภาคทางเหนือยุ่งเหยิง ดังนั้นจึงไม่ดึงดูดความสนใจของใคร แต่ตอนนี้ตำหนักมู่ของเราได้รวบรวมทุกคนเข้ามาเป็นหนึ่งเดียว ก็ต้องถูกคนอื่นจับตามองเป็นธรรมดา”

ใบหน้าของทุกคนไม่น่าดูเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว พวกเขาเพิ่งรวมภูมิภาคทางเหนือเข้าด้วยกัน แต่กลับถูกบางคนจับตามองก่อนที่จะทันได้เฉลิมฉลอง

“การแข่งขันตำแหน่งเจ้าเหนือหัวของจักรวรรดิเหนือจะต้องโหดร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย นี่เป็นการต่อสู้ของกองทัพระดับขั้วอำนาจใหญ่ทั้งสาม ทุกการปะทะจะลบกองทัพจำนวนมากอย่างเราออกไป ถ้าเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ข้ากลัวว่า…” วั้นเซิ่งกล่าว

“แต่ถ้าเราปฏิเสธ ก็แปลว่าไม่ให้หน้าสำนักเมฆาม่วง ด้วยพลังที่มีอยู่ตอนนี้เราไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธได้เลย” วั้นตู๋เสอถอนหายใจเอ่ยออกมา

“แต่เราจะไปเป็นกองทัพเดนตายให้สำนักเมฆาม่วงไม่ได้นะ!”

“…”

เสียงถกเถียงวุ่นวายดังขึ้นในตำหนัก ทุกคนตื่นตระหนกเกี่ยวกับการมาถึงของทูตสำนักเมฆาม่วงยิ่งนัก

เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นภาพนี้คิ้วก็ขมวดขึ้น ตอนแรกนางเพียงต้องการรวบรวมภูมิภาคทางเหนือทั้งหมดเพื่อเสริมพลังให้ตำหนักมู่ แต่ใครจะคิดว่าดันไปดึงดูดความสนใจของสำนักเมฆาม่วงได้?

‘ปัญหามาถึงตัวซะแล้ว’

“ไม่รู้ว่าตอนนี้ประมุขอยู่ที่ไหน ตำหนักมู่เกิดปัญหาใหญ่ขนาดนี้ เขายังไม่ปรากฏตัวอีก” เมื่อความวุ่นวายกระจายออกไป เสียงไม่พอใจก็ดังขึ้น

“ตั้งแต่ข้าเข้าร่วมตำหนักมู่ก็ยังไม่เคยเห็นประมุขผู้ลึกลับของเรามาก่อน รักษาการประมุขมั่นเป็นคนจัดการทุกอย่าง”

“ดูเหมือนว่าประมุขจะยังเด็กเกินไป มิหนำซ้ำยังเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แม้ว่าเขาจะกลับมา แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้”

เมื่อได้ยินว่าหัวข้อลอยอวลทั่วโถง ใบหน้าของมั่นถัวหลัวก็เย็นชาตวาดว่า “หุบปาก!”

ทุกคนหุบปากฉับ พวกเขาเกรงกลัวแรงกดดันจากมั่วถัวหลัว

แสงเย็นเยือกวูบวาบในนัยน์ตาของมั่นถัวหลัว ทุกคนก็เบนสายตาไป ครู่ต่อมาท่าทางของนางก็เปลี่ยนไปกะทันหันพลางจดจ้องไปที่ประตู “สหายจากสำนักเมฆาม่วงช่วยแสดงตัวด้วยในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว”

“ฮ่าๆ ได้ยินมาว่าประมุขตำหนักมู่เป็นคนพิเศษ ตอนนี้ได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว สมคำล่ำลือจริงๆ” เมื่อเสียงของมั่นถัวหลัวลดลง เสียงหัวเราะเยาะเย้ยก็ดังมาจากด้านนอก

เมื่อได้ยินเสียงนั้นจอมยุทธ์ตำหนักมู่ก็มีสีหน้าเปลี่ยนเป็นความโกรธ เนื่องจากมีคนกล้าล้อเลียนรักษาการประมุขมั่นถัวหลัวของพวกเขา!

แววตาของมั่นถัวหลัววาววับด้วยความโกรธ แต่นางก็สงบสติอารมณ์มองออกไปนอกประตูอย่างเย็นชา นางเห็นแสงเลือนรางก่อนที่เงาร่างสามร่างจะเดินทอดหุ่ยเข้ามา

ทั้งสามคนเป็นตาแก่สวมชุดสีม่วง คนเดินนำหน้ามีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าขาวที่ดูราวกับผิวเด็กทารกพร้อมกับผมสีขาว

ที่ยืนอยู่ด้านข้างเขา เป็นชายชราสองคนที่ดูภาคภูมิใจและไม่แยแส

เมื่อพวกเขาปรากฏตัว พลังงานหลิงมหาศาลก็พัดออก ทำให้จอมยุทธ์ตำหนักมู่ที่อยู่ใกล้ปลิวออกไป

“ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม?!”

ใบหน้าของหลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ เปลี่ยนไป พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าทูตทั้งสามที่ส่งมาจากสำนักเมฆาม่วงจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม พลังของสำนักนี้ลึกล้ำไม่อาจหยั่งถึงได้จริงๆ

“สามหาว!”

เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนแสดงท่าทางไม่เกรงกลัว ดวงตาเย็นชาของมั่นถัวหลัวก็วาบแสงเย็นก่อนที่นางจะตบฝ่ามือออกไปแทงทะลุมิติ คลื่นพลังงานพุ่งไปที่ทิศทางของตาแก่หน้าขาวโพลน

เมื่อชายชราหน้าขาวเห็นภาพนี้ ก็เค้นเสียงเหวี่ยงหมัดกระทุ้งออกไป แสงสีม่วงกะพริบบนหมัดเขา ราวกับดวงจันทร์สีม่วงปะทะกับการโจมตีที่เข้ามา

ตู้ม!

คลื่นหลิงป่าเถื่อนกวาดคร่าสร้างความหายนะทำให้โถงสั่นสะเทือน ชายชราหน้าขาวถอยหลังไปหลายก้าว ขณะที่ร่างเล็กบางของมั่นถัวหลัวสั่นเทิ้ม มีรอยแตกกระจายบนพนักแขนที่นางคว้าไว้

การประจันหน้ากันระหว่างทั้งสอง ชัดว่าไม่มีผลแพ้ชนะ

“ฮ่าๆ สมกับเป็นดอกแมนดาลาโบราณจริงๆ ทรงพลังอะไรอย่างนี้ จื่อเทียนเปยทักทายประมุขตำหนักมู่” ชายชรากวาดสายตามองไปที่มั่นถัวหลัวก่อนที่เขาจะพูดพร้อมกับหรี่ตาแคบลง

มั่นถัวหลัวกล่าวโดยไม่มีสีหน้าใด “ข้าไม่ใช่ประมุขเป็นแค่รักษาการประมุข นอกจากนี้สำนักเมฆาม่วงของเจ้ามาที่ภูมิภาคทางเหนือเพื่ออะไร?”

จื่อเทียนเปยยิ้ม “ข้าเชื่อว่าประมุขมั่นถัวหลัวต้องรู้ว่าการแข่งขันชิงตำแหน่งเจ้าเหนือหัวของจักรวรรดิเหนือกำลังจะมาถึง ข้าจึงนำคำสั่งของของประมุขสำนักเพื่อเชิญตำหนักมู่เข้าร่วมกับเรา ในอนาคตเมื่อสำนักเมฆาม่วงเติบโตขึ้น ตำหนักมู่จะได้รับรางวัลเป็นดินแดนสำหรับความพยายามที่ให้มา”

ขณะที่เขาพูดก็หยิบหนังสือหยกสีม่วงที่มีแสงหลิงเปล่งประกายออกมา ทำให้เกิดแรงกดดันขึ้นเล็กน้อย เมื่อเขาสะบัดนิ้วหนังสือหยกก็พุ่งไปหามั่นถัวหลัว

มั่นถัวหลัวส่งแรงต่อต้านหนังสือโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ นางตอบกลับเสียงนุ่มนวลว่า “ตำหนักมู่ของเราอ่อนแอนัก ข้ากลัวว่าจะไม่สามารถช่วยอะไรได้มากแม้ว่าเราจะเข้าร่วมกับสำนักเมฆาม่วงก็ตาม ดังนั้นไปเชิญคนอื่นแทนเถอะ”

จื่อเทียนเปยหัวเราะเบาๆ “ท่านมั่นถัวหลัวไม่มีใครกล้าปฏิเสธคำเชิญที่ส่งมาจากสำนักเมฆาม่วง โปรดระมัดระวังการตอบของเจ้าด้วย”

แม้ว่าเขาจะสวมรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยการคุกคาม

ใบหน้าของมั่นถัวหลัววูบไหวด้วยความโกรธเกรี้ยว

จื่อเทียนเปยพูดอย่างไม่แยแส “นอกจากนี้ข้ากลัวว่าอารมณ์ของพวกข้าจะไม่ดีสักเท่าไร ถ้าไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ ในเวลานั้นพวกข้าจะไม่รับผิดชอบหากเกิดอะไรขึ้นกับตำหนักมู่”

แม้ว่าจะมีเพียงสามคน แต่ทุกคนล้วนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ตราบใดที่หนึ่งในนั้นเข้าขัดขวางมั่นถัวหลัว อีกสองคนก็จะสร้างหายนะล้างบางตำหนักมู่จนสะอาดเรี่ยมเร้แน่นอน

เมื่อได้ยินคำพูดนั่น จอมยุทธ์ในโถงก็สีหน้าเปลี่ยนเป็นทั้งโกรธและหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคาดคิดว่าสำนักเมฆาม่วงจะเอาแต่ใจมากขนาดนี้

ร่างเล็กบางของมั่นถัวหลัวสั่นสะท้านด้วยความโกรธ นางกำมือแน่นจ้องมองไปที่จื่อเทียนเปย สีหน้าของนางเปลี่ยนแปลงวูบไหวก่อนที่อาการต่อต้านจะค่อยๆ สงบลง

เนื่องจากนางสู้ทั้งสามคนไม่ไหวจริงๆ

“ฮ่าๆ ตกลงตามนี้เนอะ? การติดตามสำนักเมฆาม่วงไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับพวกเจ้าทุกคนหรอก” จื่อเทียนเปยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโบกมือหนังสือหยกม่วงก็บินไปหามั่นถัวหลัว

ทุกคนเฝ้ามองหนังสือหยกร่วงลงมาพร้อมกับความมืดมิด สิ่งที่สำนักเมฆาม่วงทำสร้างความอับอายให้ตำหนักมู่ของพวกเขานัก

มือของมั่นถัวหลัวกำแน่นก่อนที่นางจะถอนหายใจพร้อมหลับตาลง นางไม่ต้องการดูหนังสือหยกนั่น

แต่ในความเงียบเมื่อหนังสือหยกม่วงกำลังจะตกลง มือข้างหนึ่งก็ยื่นคว้าไว้

“ใคร?” จื่อเทียนเปยสีหน้าเปลี่ยนไปขณะที่ตะเบ็งเสียง

มิติบิดเบี้ยวร่างอ่อนเยาว์ก็ปรากฏเบื้องหน้าสายตาทุกคนที่จ้องมองด้วยความตะลึงใจ เขาจับหนังสือหยกพร้อมกับขมวดคิ้ว

“สำนักเมฆาม่วง? พวกเจ้ามีค่าพอที่จะให้ตำหนักมู่ไปเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเหรอ?”

ขณะที่พูดเขาก็ออกแรงมากขึ้น หนังสือหยกแตกสลายเป็นผุยผงสีม่วงภายใต้สายตาที่ตกตะลึงนับไม่ถ้วน

พวกหลิ่วเทียนเต้าก็ตะลึงงันไป แม้แต่มั่นถัวหลัวก็เบิกตากว้างเมื่อมองไปที่ร่างคุ้นเคย จากนั้นเสียงอุทานก็ดังสะท้อนในโถง

“ท่านประมุข?!”

“มู่เฉิน?”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท