หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1355

ตอนที่ 1355

มิติบิดเบี้ยวที่เบื้องหน้ามู่เฉิน

พริบตามุมมองก็สว่างขึ้นกลายเป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวพร้อมกับดาวหางนับไม่ถ้วนบินผ่านทิ้งหางยาวเอาไว้

มู่เฉินรู้ดีว่าในดาวหางเหล่านั้นจะต้องวิชาเทพพิเศษ ทักษะการเพาะบ่ม หรือแม้กระทั่งร่างเทห์สวรรค์

สายตาเขาจ้องมองไปที่มิติเบื้องหน้าด้วยความสงสัย เขารู้สึกได้ถึงการเรียกของหอคัมภีร์เทพซ่อน จึงได้ติดตามคลื่นความผันผวนมา

อย่างไรก็ตามหอคัมภีร์เทพซ่อนมักหลบอยู่ในวังสวรรค์บรรพกาลและจะปรากฏเฉพาะเมื่อพบผู้ที่เหมาะสมที่จะได้รับโชค

แต่ตัวเขาเคยเข้ามาที่นี่แล้ว ดังนั้นเขาไม่รู้ว่าทำไมหอคัมภีร์เทพซ่อนจึงเรียกเขาในครั้งนี้

ขณะที่เขารู้สึกสับสน มิติก็บิดเบี้ยวข้อความโบราณปรากฏที่เบื้องหน้า

“เจ้ามีวิชาเทพที่ไม่ได้อยู่ในบันทึกของข้า”

มู่เฉินอึ้งไปเมื่อมองคำพูดเหล่านั้น ที่แท้เขามีวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดที่หอคัมภีร์เทพซ่อนสนใจ แต่ตัวมันก็มีวิทยายุทธชั้นยอดตั้งมากมายแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ต้องจับตามองจะต้องไม่ธรรมดา

บนตัวเขาสิ่งที่ทำให้หอคัมภีร์เทพซ่อนสนใจได้มีเพียงวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนาน…

“วิชาเจดีย์แปดองค์…”

ไม่ช้ามู่เฉินก็หาเหตุผลได้ เขาเลิกคิ้วพลางยิ้ม “แล้วเจ้าต้องการอะไร?”

หอคัมภีร์เทพซ่อนไม่ธรรมดา มีสติปัญญาไม่แพ้ใคร มันต้องการจะรวบรวมวิทยายุทธเทพทรงพลังทุกประเภททั่วสากลจักรวาล

“เก็บสะสม” คำโบราณปรากฏขึ้นอีกครั้ง

หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่งมู่เฉินก็พูดว่า “ก็ได้ แต่เจ้าต้องจ่ายในราคาที่เหมาะสม วิชาเจดีย์แปดองค์เป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานของมหาพันภพ ซึ่งไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าวิชาสามพิสทุธิ์ ดังนั้นเจ้าน่าจะรู้เกี่ยวกับมูลค่าดี”

มู่เฉินไม่ได้ยึกยักกับหอคัมภีร์เทพซ่อน เนื่องจากเขารู้ว่ามูลค่าที่แท้จริงของวิชาเจดีย์แปดองค์ไม่ได้อยู่ที่วิธีการฝึก แต่เป็นเจดีย์ไข่มุกที่ได้รับการขัดเกลาโดยผู้อาวุโสฝูถู

นั่นเป็นเพราะวัสดุที่ใช้ในการปลอมแปลงไข่มุกเหล่านั้นก็คือราชันปีศาจ

ไม่มีราชันปีศาจมากพอที่จะถูกใช้เป็นวัสดุในมหาพันภพ นอกจากนี้ยังมีโอกาสล้มเหลวสูงและเป็นไปได้ที่จะมือเปล่ากลับมา

ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธที่จะส่งวิธีฝึกฝนวิชาเจดีย์แปดองค์ไว้กับหอคัมภีร์เทพซ่อน เพราะไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เขาครอบครองวังสวรรค์บรรพกาลและหอคัมภีร์เทพซ่อนก็อยู่ที่นี่ ดังนั้นจากมุมมองหนึ่งก็เหมือนเขาส่งของจากมือซ้ายไปยังมือขวาเท่านั้น

เพียงแต่ว่าหอคัมภีร์เทพซ่อนแปลกประหลาด แม้ในฐานะเจ้าวังโบราณ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะควบคุมมัน

ดังนั้นเขาจะดีใจมากถ้าสามารถแลกเปลี่ยนวิธีฝึกวิชาเจดีย์แปดองค์เพื่อสิ่งที่มีค่า

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน หอคัมภีร์เทพซ่อนก็เงียบไป มู่เฉินยิ้มไม่ได้รีบร้อน คิดจะเอาวิธีฝึกวิชาเจดีย์แปดองค์ไปเปล่าๆ มีเรื่องง่ายขนาดนี้ซะที่ไหน?

แม้ว่าหอคัมภีร์เทพซ่อนนี้จะถือว่าเป็นของเขาก็ตาม

หลังจากเงียบไปครึ่งก้านธูปคำพูดโบราณก็ขยับวูบไหวอีกครั้ง “ตามมูลค่า เจ้ามีสองทางเลือก หนึ่งรับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดไป”

“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอด?” ดวงตาของมู่เฉินสว่างขึ้น ตามที่เขาคาดไว้มีวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดเก็บอยู่ภายในหอคัมภีร์เทพซ่อน ทว่าเขาไม่รู้ว่านี่เป็นวิชาหนึ่งในสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานหรือธรรมดาสามัญ หากเป็นสิ่งแรกเขาก็ทำกำไรได้มหาศาลแล้ว!

ดังนั้นเขาจึงถามตรงๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้

ซึ่งหอคัมภีร์เทพซ่อนก็ให้คำตอบอย่างรวดเร็ว “แบบธรรมดา”

มุมปากของมู่เฉินบิดเบ้ หอคัมภีร์เทพซ่อนขี้งกซะจริง คิดจะใช้วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดธรรมดามาแลกเปลี่ยนกับวิชาเจดีย์แปดองค์ของเขา? หรือว่ามันจะรู้เรื่องที่แก่นแท้ของวิชาเจดีย์แปดองค์ไม่ใช่วิธีฝึกฝน?

“ทางที่สองล่ะ?”

มู่เฉินถาม ถ้าเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดแบบสามัญ ถึงแม้ว่าจะน่าดึงดูด แต่เขาก็ไม่ได้มีความจำเป็นเร่งด่วนเพราะเขาเพิ่งได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์มา

“ทางที่สองแลกเปลี่ยนเพื่อความเข้าใจในวิชาสามพิสุทธิ์ขั้นสอง”

ดวงตาของมู่เฉินหดเกร็ง ความเข้าใจวิชาสามพิสุทธิ์ขั้นสอง?

เมื่อเขาเริ่มฝึกฝนวิชาสามพิสุทธิ์ก็รู้ว่ามีสามขั้นตอนคือสามแยก สามรวมและสามพิสุทธิ์

แม้จะฝึกฝนทั้งวันทั้งคืน แต่เขาก็ยังติดอยู่ในขั้นแรกคือสามแยก สำหรับสามรวมยังไม่มีแนวคิดอะไรเลย

วิชาสามพิสุทธิ์เป็นหนึ่งในไพ่ตายที่สำคัญที่สุดของมู่เฉิน นอกจากนี้ก็จะมีพลังมากขึ้นเมื่อความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มพูน

ดังนั้นถ้าเขาสามารถพัฒนาวิชาสามพิสุทธิ์ให้ถึงขั้นสองได้ นั่นก็เป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจแน่นอน

เขาก็อยากทราบถึงพลังของสามรวม

เมื่อความคิดวนเวียนอยู่ในใจ สายตาของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่ ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นพยักหน้า “ข้าเลือกทางที่สอง!”

เมื่อเทียบกับความพยายามในการเรียนรู้วิชาใหม่ เขามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่มีอยู่ให้พัฒนามากขึ้นจะดีกว่า

ขณะที่มู่เฉินพยักหน้าสภาพแวดล้อมก็เริ่มเปลี่ยนไป ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเริ่มถอยห่าง ใบไม้สีทองปูพรมบนพื้น ต้นไม้ยักษ์ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า ดูเหมือนถูกสลักด้วยลวดลายนับไม่ถ้วนที่วูบไหว ให้ความรู้สึกถึงความมีสติปัญญา

ใต้ต้นไม้โบราณทันใดนั้นแสงก็รวมตัวกันก่อตัวเป็นเงา

“ท่านอาจารย์?” มู่เฉินอุทานเมื่อเห็นร่างคุ้นเคย นี่คือจักรพรรดิฟ้าที่เขาเคยพบมาก่อน

แต่จักรพรรดิฟ้าไม่ได้หายไปจากโลกแล้วหรือ? ทำไมเขาถึงมาที่นี่?

ขณะที่มู่เฉินงงงวย ภาพเงาของจักรพรรดิฟ้าที่อยู่ใต้ต้นไม้โบราณก็ยิ้มให้ก่อนจะโบกมือเรียกมู่เฉินเข้ามายืนใต้ต้นไม้

จักรพรรดิฟ้านั่งลง ก่อนที่จะชี้ไปที่พื้นบอกให้มู่เฉินนั่งด้วย

จากนั้นมือของจักรพรรดิฟ้าก็เริ่มสร้างตราประทับ มิติรอบตัวบิดเบี้ยว เงาร่างสองร่างปรากฏขึ้น พวกเขาคือจักรพรรดิฟ้าชุดขาวและชุดดำ

นี่คือวิชาสามพิสุทธิ์!

เมื่อมู่เฉินเห็นสิ่งนี้ก็ตกอยู่ในภวังค์ ‘นี่ไม่น่าใช่จักรพรรดิฟ้า แต่เป็นภาพประทับที่จักรพรรดิฟ้าทิ้งเอาไว้ตอนที่กำลังฝึกฝนวิชา ซึ่งได้รับการเก็บบันทึกไว้ในหอคัมภีร์เทพซ่อน’

ร่างรองทั้งสองนั่งลงพลางหลับตาก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือออกไป

ร่างหลักของจักรพรรดิฟ้าพยักหน้าไปทางมู่เฉิน เขาลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะวาดตราประทับเรียกมู่เฉินชุดดำและชุดขาวออกมานั่งอยู่เบื้องหน้าร่างรองทั้งสองของจักรพรรดิฟ้า

ใต้ต้นไม้สีทองเงาร่างหกร่างหันหน้าเข้าหากัน มู่เฉินทั้งสามยื่นมือออกมาประสานกับจักรพรรดิฟ้าทั้งสาม

ตู้ม!

จังหวะที่ฝ่ามือสัมผัสกัน จิตของมู่เฉินก็สั่นไหว นี่เป็นเหมือนบทสวดมนต์ ข้อมูลไร้ขอบเขตกำลังไหลเข้ามาในห้วงแห่งจิตของเขา

ชิ้นส่วนข้อมูลเหล่านั้นเป็นฉากๆ ทั้งหมดนี้เป็นภาพการฝึกฝนของจักรพรรดิฟ้าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกภาพบรรจุแน่นด้วยความเข้าใจของเขา

มู่เฉินกวาดสายตาสั้นๆ ก่อนที่เขาจะจมลงไปในฉาก ปัญหาคอขวดที่เขาเคยพบตอนฝึกฝนวิชาสามพิสุทธิ์ก็เปิดขึ้น ทำให้เขารู้แจ้ง

เขารู้ดีว่าช่วงเวลานี้มีค่าเพียงใด เขาจึงมุ่งความสนใจไปที่ความเข้าใจ ด้วยความช่วยเหลือนี้เขาจะสามารถทดลองและสรุปขั้นสองของวิชาสามพิสุทธิ์ได้ …

มู่เฉินและร่างรองทั้งสองเปล่งแสงหลิงออกมาอย่างแผ่วเบา แสงทั้งสามสายเริ่มพันกันกลายเป็นเส้นเชื่อมโยงทั้งสามเข้าด้วยกัน…

สำนักเมฆาม่วง จักรวรรดิเหนือ

ใบหน้าของชายชราทั้งสามซีดเผือดอยู่ในห้องโถง ขณะที่แสงสีม่วงล้อมร่างพวกเขาพร้อมกับหมอกสีม่วงลอยอวลขึ้นเหนือศีรษะ จากนั้นไม่นานมือข้างหนึ่งก็ดึงออกจากแผ่นหลังของพวกเขา

“ท่านประมุข!”

พวกจื่อเทียนเปยหันหลังอย่างรวดเร็ว ก็เห็นชายที่มีใบหน้าขาวราวกับหยกยืนอยู่ข้างหลังโดยเอามือไพล่หลัง เขาสวมชุดคลุมสีม่วง กำจายแรงกดดันที่น่ากลัวซึ่งทำให้แม้แต่มิติยังสั่นสะท้าน

ยามนี้ใบหน้าของชายชุดม่วงมืดครึ้มลงขณะเค้นเสียงเย็น “ช่างเป็นผนึกที่ครอบงำ”

เมื่อทั้งสามได้ยินเช่นนั้นหัวใจก็สั่นสะท้านด้วยความกลัว “แม้แต่ประมุขก็ไม่สามารถทำลายผนึกได้เหรอ?”

ประมุขตำหนักมู่น่ากลัวมากถึงขนาดที่แม้แต่ประมุขของพวกเขาก็ไม่สามารถปลดผนึกได้?

ใบหน้าของประมุขสำนักเมฆาม่วงดูเคร่งขรึมขณะที่ตอบเสียงเบา “ชายคนนั้นมีพลังผลึกที่ทรงประสิทธิภาพมาก ถ้าข้าทำลายด้วยความรุนแรง พวกเจ้าก็จะได้รับบาดเจ็บ แต่โชคดีที่ผนึกนี้จะคงอยู่เพียงหนึ่งปีจากนั้นก็สลายหายไปตามธรรมชาติ”

ใบหน้าพวกจื่อเทียนเปยดูขมขื่นมาก แบบนี้ไม่ได้หมายความว่าในหนึ่งปีต่อจากนี้ขุมพลังของพวกเขาจะอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นเท่านั้นรึ? ชายหนุ่มคนนั้นน่ากลัวจริงๆ ถ้าพวกเขารู้เรื่องล่วงหน้าก็จะไม่ไปที่ตำหนักมู่หรอก…

เมื่อเห็นท่าทางของพวกเขา ประมุขสำนักเมฆาม่วงก็ขมวดคิ้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า “เราประเมินตำหนักมู่ต่ำไป ไม่คิดเลยว่าในภูมิภาคทางเหนือเล็กจ้อยจะมีจอมยุทธ์หนุ่มที่โดดเด่นเช่นนี้”

ดวงตาของจื่อเทียนเปยวาบไอเย็นชาขณะที่ตอบว่า “ท่านประมุข ประมุขตำหนักมู่ยโสโอหัง ไม่เพียงแต่เขาทำลายสารสำนักเมฆาม่วง ได้ข่าวว่ายังมีความตั้งใจที่จะคว้าตำแหน่งเจ้าจักรวรรดิเหนือเพื่อยืนอยู่ในระดับเดียวกับสำนักเมฆาม่วงของเรา!”

ดวงตาของประมุขเมฆาม่วงหรี่ลงพลางหัวเราะเยาะ “เพ้อฝันซะจริง!”

ตอนนี้จักรวรรดิเหนือแบ่งออกโดยสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลงยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง ดังนั้นหากตำหนักมู่ต้องการเทียบเคียงก็ต้องยึดดินแดนบางส่วนจากสามขั้วอำนาจใหญ่

ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ทั้งสามขั้วอำนาจจะไม่ยอมให้เกิดขึ้น

เพียงแค่คิดแสงสีม่วงก็วูบไหวในดวงตาของประมุขเมฆาม่วง “ในเมื่อตำหนักมู่ของเจ้าเด็กนั่นทะเยอทะยานมากนัก ข้าจะส่งคำเชิญให้เขาสำหรับการประชุมจักรวรรดิเหนือ ข้าจะขอดูว่าเขามีความสามารถในการฉกฉวยจากเราหรือไม่!”

สถานการณ์ของจักรวรรดิเหนือถูกกำหนดไว้แล้ว หากตำหนักมู่คิดว่าสามารถทำลายสถานการณ์นี้และแทรกแซงได้ ผลลัพธ์สุดท้ายจะทำให้ประมุขตำหนักมู่รู้ว่าความทะเยอทะยานอันเย่อหยิ่งไร้เดียงสาเพียงใด!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท