หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1368

ตอนที่ 1368

“วังมหาพันภพ?!”

ใบหน้าของเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองเต็มไปด้วยความตกตะลึง พวกเขารู้ที่มาของป้ายนั้นดี

ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้ว่าวังมหาพันภพเป็นตัวแทนของอะไร

วังมหาพันภพเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดที่ทรงพลังที่สุดในมหาพันภพ ในสมัยโบราณพวกเขาคือตัวแทนของมหาพันภพที่เข้าโรมรันกับจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ

แม้ว่าในปัจจุบันจะไม่ค่อยมีใครได้ยินข่าวของพวกเขา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะหายไป พวกเขาหมอบต่ำราวกับอสูรร้ายในมุมมืดของมหาพันภพ…

ทว่าไม่มีใครสงสัยรากฐานนี้ แม้แต่ห้าเผ่าโบราณยังเกรงกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับวังมหาพันภพ

แม้ว่าพวกเขาจะมีขั้วอำนาจอยู่เบื้องหลัง แต่ก็ไม่มีอะไรเทียบได้กับวังมหาพันภพ… ไม่แปลกใจเลยที่มู่เฉินไม่ได้วางกลุ่มสนับสนุนพวกเขาอยู่ในสายตา ด้วยวังยิ่งใหญ่สนับสนุนเขาก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องเขาหรอก

ทว่าวังมหาพันภพมักจะเก็บงำประกาย ไม่ค่อยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในมหาพันภพ แต่ทำไมมู่เฉินถึงมีป้ายของวังยิ่งใหญ่นั้นได้?

ที่สำคัญที่สุดยังเป็นป้ายราชันสังหารปีศาจอีกด้วย!

มีข่าวลือว่ามีราชันสังหารปีศาจมีเพียงหนึ่งเดียวและป้ายสำคัญก็ไม่เคยทิ้งไว้ให้ใคร แล้วมู่เฉินไปเอาป้ายราชันสังหารปีศาจมาจากไหน?

เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขามองเห็นความงุนงงในดวงตากันและกัน

“พวกข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีราชันสังหารปีศาจคนใหม่แห่งวังมหาพันภพ” สายตาของเจ้าเมฆาม่วงวูบไหวขณะที่พูด

มู่เฉินตอบสบายอารมณ์ว่า “ตอนนี้ก็รู้แล้วนี่?”

ขณะที่พูดเขาก็ยิ้มมองไปที่ทั้งสาม “สงสัยว่าเป็นของปลอมเหรอ? งั้นไปรายงานพวกที่อยู่เบื้องหลังพวกเจ้าเลยสิ”

เมื่อเห็นว่ามู่เฉินไม่มีความกลัว หัวใจทั้งสามก็สั่นสะท้านแล้วดิ่งลง มู่เฉินน่าจะรู้ผลของการแสร้งทำเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ หากเขาถูกตรวจสอบโดยวังมหาพันภพ จากนี้ไปเขาจะไม่มีช่วงเวลาที่ดีอีกเลย

ทว่าเขาก็ยังกล้าที่จะนำออกมา นั่นหมายความว่าเขาจะต้องไม่กลัวการสอบสวนของวังมหาพันภพ…

หรือว่าเจ้าหนุ่มนี่คือราชันสังหารปีศาจคนที่สองของวังมหาพันภพ? หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ได้แต่กลืนความเสียใจลงไปย่อยในท้องได้เท่านั้น เนื่องจากขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาไม่กล้าที่จะยั่วยุวังยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน

เพียงแค่คิดใบหน้าของทั้งสามก็น่าเกลียดราวกับกินแมลงวันเข้าไป

มู่เฉินยิ้มเมื่อเห็นทั้งสามคนกล้ำกลืนความแค้น เหตุผลที่เขานำชื่อของวังมหาพันภพออกมาก็ชัดว่าต้องการข่มขู่ขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังทั้งสาม ในระดับหนึ่งเขาถือว่าแกล้งข่มขู่แต่ก็ทำโดยชอบธรรม เพราะจากการพูดคุยของเขากับทางวัง เขาไม่ได้มีอำนาจใดๆ ในฐานะราชันสังหารปีศาจแต่เขามีตำแหน่ง

หากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเหล่านั้นต้องการทำอะไรกับเขา พวกเขาก็ต้องคิดเกี่ยวกับวังมหาพันภพสักหน่อย

ขณะที่ทั้งสี่คนกำลังสนทนากัน ผู้คนในที่ราบเป่ยยู่ก็หายจากอาการตกตะลึงและเริ่มรู้ว่าป้ายสีทองนี้เป็นตัวแทนของอะไร

ดังนั้นเมื่อขั้วอำนาจน้อยใหญ่มองไปที่จอมยุทธ์ตำหนักมู่ ดวงตาก็ลุกโชนด้วยความอิจฉา

นั่นคือวังมหาพันภพ! ขั้วอำนาจยอดสุดที่ทรงพลังที่สุดในมหาพันภพ!

ไม่มีใครคิดว่าตำหนักมู่จะมียักษ์ใหญ่แบบนี้ยืนเบื้องหลัง ถ้าพวกเขารู้เรื่องนี้ละก็ ต่อให้เจ้าเมฆาม่วงให้ความกล้า พวกเขาก็ไม่กล้ายั่วยุตำหนักมู่หรอก

นอกจากนี้ด้วยการสนับสนุนที่ทรงพลังเช่นนี้พร้อมกับพรสวรรค์และไม่อาจหยั่งรู้ของประมุขมู่ สามารถจินตนาการได้ถึงอนาคตของตำหนักมู่ได้เลย

จอมยุทธ์ตำหนักมู่อึ้งไปกับสายตาเหล่านั้น เนื่องจากสถานการณ์นี้เกินความคาดหมายเช่นกัน

“ประมุขได้ป้ายราชันสังหารปีศาจจากวังมหาพันภพได้ยังไง?” พวกหลิ่วเทียนเต้าอดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยความตื่นเต้น

พวกเขารู้ถึงผลของการแสร้งทำเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ กลัวว่ามู่เฉินจะปลอมแปลงขึ้นมา หากเป็นเช่นนั้นก็จะดึงดูดปัญหาใหญ่ให้กับที่ตำหนักมู่แน่!

มั่นถัวหลัวส่ายหัว นางไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน

ขณะที่ทุกคนกำลังกระวนกระวาย หลิงซีก็ยิ้มบาง “นี่เป็นความจริงตอนนี้มู่เฉินเป็นราชาสังหารปีศาจคนที่สองของวังมหาพันภพ”

“ซี้ด!”

เมื่อได้ยินคำยืนยันจากหลิงซี หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ ก็สูดอากาศเย็นเข้าปอดพร้อมกับความตื่นเต้นกระจายบนใบหน้า

เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าด้วยภูมิหลังดังกล่าวตำหนักมู่จะเติบโตแบบฉุดไม่อยู่ในอนาคต

ไม่ต้องพูดถึงเกี่ยวกับจักรวรรดิเหนือ แม้แต่ทั้งทวีปเทียนหลัวก็ไม่มีใครกล้าปลุกปั่นตำหนักมู่ของพวกเขา!

ที่ราบเป่ยยู่ตกอยู่ในความโกลาหล ภายใต้สายตาจ้องมองร้อนแรงโดยรอบ มู่เฉินก็มองไปที่เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง ก่อนจะชี้แผนที่บนท้องฟ้า “ตอนนี้มีใครคัดค้านเกี่ยวกับการแบ่งดินแดนหรือไม่”

หลังจากหยุดคิดชั่วครู่เขาก็พูดต่อว่า “แน่นอนว่าถ้ากลุ่มที่อยู่เบื้องหลังพวกเจ้ามีความคิดเห็นใดๆ ก็ให้มาพูดกัน”

ใบหน้าของเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองกระตุก แต่กลับไร้เสียง ตำหนักมู่ครอบครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิเหนือ นี่เป็นการโจมตีอย่างมีนัยสำคัญ แต่พวกเขาจะทำอะไรได้?

มู่เฉินเอาชนะพวกเขาสามคนได้ แม้ว่าขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาจะทรงพลัง แต่จะมีพลังมากกว่าวังมหาพันภพได้หรือ?

พลังแข็งแกร่งที่สุด ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกฝืนใจมากแค่ไหนก็ทำได้เพียงกัดฟันและทนกลืนลงไป

เมื่อทุกคนเห็นทั้งสามตกอยู่ในความเงียบงัน หัวใจทุกดวงก็สั่นสะท้านเพราะพวกเขารู้ว่าสถานการณ์ในจักรวรรดิเหนือจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากวินาทีนี้

สถานการณ์ที่ไม่มีใครกล้าที่จะท้าทายผู้นำทั้งสามสิ้นสุดลง ตำหนักมู่กลายเป็นขั้วอำนาจใหญ่แห่งจักรวรรดิเหนือแท้จริง

เมื่อมู่เฉินเห็นว่าแต่ละคนกล้ำกลืนฝืนทนอย่างไร เขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปดินแดนเหล่านั้นจะเป็นของตำหนักมู่ข้า”

ขณะที่พูดเขากวาดสายตาไปยังกลุ่มต่างในที่ราบเป่ยยู่ แต่ละคนก็ลดศีรษะลงไม่กล้ามองไปที่เจ้าเหนือหัวคนใหม่

“ขั้วอำนาจในดินแดนดังกล่าวห้ามเคลื่อนไหว หลังจากที่ตำหนักมู่ของข้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อย พวกเจ้าจะถือว่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตำหนักมู่”

เสียงของมู่เฉินสะท้อนออกไป ทำให้เกิดความปั่นป่วนอีกระลอก

เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองใบหน้าไม่น่าดูอีกครั้ง มู่เฉินไม่เพียงแต่จะยึดครองเขตแดน ยังจะลากขั้วอำนาจใต้บัญชาพวกเขาไปด้วย

เทียบกับสีหน้าน่าเกลียดของทั้งสามผู้นำ กลุ่มเหล่านั้นไม่เพียงแต่ไม่ต่อต้าน กลับยังรู้สึกมีความสุขมากเสียอีก

ท้ายที่สุดไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนก็ยังคงต้องส่งบรรณาการให้กับขั้วอำนาจที่อยู่ภายใต้ เมื่อเทียบกับผู้นำสามคนเก่า ตำหนักมู่มีศักยภาพมากกว่าอย่างชัดเจน ถ้าได้เข้าร่วมก็มีโอกาสยิ่งใหญ่กว่าในอดีต

การมีต้นไม้ใหญ่อยู่ข้างหลังสามารถป้องกันพวกเขาจากความหนาวเย็นได้และการมีวังมหาพันภพย่อมดีกว่าสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองคำ!

พวกที่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของตำหนักมู่ก็ตกอยู่ในความเงียบ พากันมองไปที่คนที่เข้าร่วมด้วยความอิจฉา

วิหคสง่างามเกาะอยู่บนต้นไม้ที่ยอดเยี่ยม พวกเขาทั้งหมดหวังว่าจะได้มีที่พึ่งที่ดีขึ้น

มู่เฉินไม่ได้สนใจเกี่ยวกับทั้งสามคนอีกต่อไป เขามองไปรอบๆ คลี่ยิ้ม “งั้นวันนี้จบการประชุมกันดีไหม?”

เขาไม่ใช่ว่าไม่ต้องการจะครอบครองจักรวรรดิเหนือทั้งหมด แต่เขารู้ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุด ขอบเขตที่ได้มาครึ่งหนึ่งตำหนักมู่ก็ต้องใช้เวลาพอสมควรในการย่อยแล้ว

นอกจากนี้หากความกระหายของเขามีมากเกินไป อาจทำให้ขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังสามคนอดเคลื่อนไหวไม่ได้ เวลานั้นต่อให้มีชื่อวังมหาพันภพ ตำหนักมู่ก็ยังคงอยู่ในตำแหน่งอันตราย

ความโกรธเกรี้ยวของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนไม่ใช่เรื่องที่จะทนได้

ดังนั้นมู่เฉินจึงหยุดเรื่องนี้ให้สิ้นสุดลงชั่วคราว เมื่อไรที่เขาเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนก็ไม่จำเป็นต้องกลัวขั้วอำนาจเหล่านั้น ดินแดนจักรวรรดิเหนือทั้งหมดจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาโดยธรรมชาติ

เมื่อเห็นความเผด็จการของมู่เฉิน เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองก็กลืนความโกรธลงไปและฝืนยิ้มออกมา “ในเมื่อประมูขมู่ชนะแล้ว ก็ช่วยกำจัดสิ่งเหล่านี้ให้พวกข้าด้วย”

พวกเขายังคงได้รับผลกระทบจากของเหลวสีดำ ความสามารถในการกัดกร่อนที่น่ากลัวทำให้คลื่นหลิงในร่างกายของพวกเขาตกอยู่ในสภาวะสับสนวุ่นวาย เป็นเรื่องยากมากที่จะกำจัดออก

มู่เฉินมองไปที่พวกเขาก็ยิ้ม “ไม่ต้องกังวลสิ่งนี้ไม่ฆ่าพวกเจ้าหรอก ด้วยพลังที่มีสักครึ่งปีก็น่าจะเพียงพอที่จะกำจัดออกไปได้เอง”

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีเจตนาที่จะช่วยเหลือ ถึงยังไงมู่เฉินก็ไม่ชอบทั้งสามคน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาระแวงขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังทั้งสาม เขาอาจจะฆ่าพวกเขาไปแล้วก็ได้

ดังนั้นแม้ว่าจะฆ่าไม่ได้ เขาก็ไม่ใส่ใจที่จะทรมานคนเหล่านี้สักเล็กน้อย

เมื่อทั้งสามคนเห็นสายตาล้อเลียนของมู่เฉิน พวกเขาก็รู้สึกเดือดดาลในใจ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะหัวร้อน พวกเขาเค้นเสียงออกมาก่อนที่จะหันหลังกลับจากไป

“ไป!”

สามเสียงดังก้องในที่ราบเป่ยยู่ ขณะที่ออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับแบกความพ่ายแพ้ไป

เมื่อขั้วอำนาจที่ยังคงอยู่ภายใต้สามสำนักเห็นสิ่งนี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงลดศีรษะลงตามหลังออกไป ทว่าท่าทางของพวกเขาหดหู่ลงหลายส่วนเลยทีเดียว

มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้ามองลงไปบนที่ราบเป่ยยู่ นอกเหนือจากสมาชิกตำหนักมู่แล้ว ยังมีกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ในดินแดนที่ถูกแบ่งใหม่ ซึ่งในอนาคตจะอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของตำหนักมู่

ตอนนี้แต่ละกลุ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เนื่องจากก่อนหน้านี้มีบางคนเคยพยายามขัดขวางตำหนักมู่ พวกเขากลัวว่ามู่เฉินจะคิดบัญชีแค้นเอา

มู่เฉินกวาดตามองก็รู้ว่าพวกเขารู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นเสียงนุ่มนวลก็สะท้อนออกมา “ข้าจะไม่ไล่บี้เรื่องในอดีต ตราบใดที่พวกเจ้ามีคุณูปการในอนาคตก็จะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับสมาชิกตำหนักมู่ แน่นอนว่าถ้าใครมีความคิดกบฏ การลงโทษของตำหนักมู่ก็หนักหนาสาหัสเช่นกัน”

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ทุกคนต่างก็ชื่นชมยินดี เสียงความเคารพสะท้อนไปทั่วที่ราบเป่ยยู่

“เราจะปฏิบัติตามคำสั่งของท่านประมุข!”

มองฉากยิ่งใหญ่ตระการนี้ พวกหลิ่วเทียนเต้าก็รู้สึกโล่งใจมาก เนื่องจากพวกเขารู้ว่าหลังจากวันนี้ชื่อของตำหนักมู่จะดังเป็นพลุแตกไปทั่วทวีปเทียนหลัว…

ชื่อของมู่เฉินจะถูกจัดให้อยู่ในอันดับต้นๆ ของทวีปเทียนหลัว…

มั่นถัวหลัวเงยหน้าขึ้นมองร่างเงาอ่อนเยาว์ด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าน้องชาย…ทำสำเร็จจริงๆ…”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท