หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1365

ตอนที่ 1365

“บางครั้งการเฉลิมฉลองไปก่อนอาจทำให้เจ้ากลายเป็นตัวตลก…”

เสียงหัวเราะเบาๆ ที่แฝงด้วยเจตนาฆ่าของมู่เฉินดังออกมา ทำเอาดวงตาของเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองหดลงขณะจ้องมู่เฉินเขม็งราวกับใบมีด

จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ไม่คิดว่ามู่เฉินจะยังคงยืนหยัดอยู่ โดยไม่ได้แสดงความกลัวอะไรออกมาเลย

“ดูเหมือนว่าประมุขมู่เตรียมจะเดินไปตามทางยมโลกนะ” เจ้าภูเขาเหลยยิงส่ายหัวพลางพูดอย่างช่วยไม่ได้

แสงเย็นวูบวาบในดวงตาของเจ้าอินทรีทองก่อนจะพูดเสียงเย็นชา “อย่าพูดกับเขามาก เขาแค่พยายามถ่วงเวลา”

“จัดการมันเลย!” เจ้าเมฆาม่วงกล่าวเสียงเคร่งขรึม เจ้าภูเขาเหลยยิงจ่ายราคาแพงเพื่อดักจับร่างรองทั้งสองของมู่เฉินไว้ หากปล่อยให้พวกเขาหลุดออกมาได้ละก็ เท่ากับศึกนี้จะกลับไปเป็นสามต่อสามอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นความได้เปรียบของพวกเขาจะลดลง

“งั้นก็ลงมือกันเถอะ”

เจ้าภูเขาเหลยยิงก็พยักหน้า ชัดว่าไม่ต้องการให้สถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจากความล่าช้า

ตู้ม!

เมื่อทั้งสามคนบรรลุข้อตกลงแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ให้เวลามู่เฉินพูดพล่ามอีก พวกเขาส่งแรงไปที่ฝ่าเท้า พายุคลื่นหลิงสร้างความหายนะระหว่างสวรรค์และโลก ขณะที่ทั้งสามพุ่งเข้าหามู่เฉิน

เมื่อมองไปที่เงาทั้งสาม มู่เฉินก็วาดตราประทับเรียบเฉยด้วยมือข้างเดียว ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ระเบิดแสงมหาศาลออกมาห่อหุ้มร่างเขาไว้

“แกคิดว่าสามารถป้องกันตัวเองได้จนกว่าไอ้ร่างพวกนั้นจะเป็นอิสระเรอะ?”

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน ทั้งสามก็แสยะยิ้มเยาะเย็นชา จากนั้นแขนเสื้อของพวกเขาโบกสะบัด เริ่มปล่อยการโจมตีที่น่ากลัวใส่ปราการสีทอง

ครืนๆๆๆ!

แม้ว่าการป้องกันที่เกิดจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์จะทรงพลัง แต่ก็ยังสั่นสะเทือนรุนแรงพร้อมกับระลอกคลื่นกระจายออกไปภายใต้การโจมตีป่าเถื่อนของสามจอมยุทธ์

มองไปก็ดูเหมือนว่าคงจะแตกในไม่ช้า

เมื่อขั้วอำนาจอื่นๆ เห็นสิ่งนี้ พวกเขาก็แอบเดาะลิ้น การโจมตีจากผู้นำทั้งสามนั้นน่าเกรงขามอย่างแท้จริง แม้แต่มู่เฉินซึ่งได้เปรียบก่อนหน้าก็ตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบแล้ว

หากเป็นเช่นนี้ต่อไปมู่เฉินก็จะตกอยู่ในเงื้อมมือของทั้งสาม เมื่อการป้องกันของเขาถูกทำลายก็จะไม่สามารถหลบหนีได้

เวลานี้ผลลัพธ์ที่น่าสมเพชของตำหนักมู่ก็ถูกกำหนดแล้ว…

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ดวงตาของหลายๆ คนก็เริ่มเย็นเยือกลง ช่วงเวลาที่มู่เฉินเสียชีวิตนั่นหมายความว่าเสาหลักของตำหนักมู่ก็จะล้มครืน สมาชิกจากตำหนักมู่คงไม่สามารถหลบหนีจากที่ราบเป่ยยู่ได้เลย

เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองอย่างดุร้ายจากสภาพแวดล้อมโดยรอบ ใบหน้าของจอมยุทธ์ตำหนักมู่ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดลงหลายส่วน พวกเขาขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้นพร้อมกับคลื่นหลิงผันผวนไปทั่วบริเวณ ขณะที่มองมั่นถัวหลัวนิ่ง

มั่นถัวหลัวไพล่มือไว้ด้านหลังขณะอยู่ในอาการสงบ นางเพียงเงยหน้าขึ้นมองดูการต่อสู้รุนแรงบนท้องฟ้าโดยไม่มีความตื่นตระหนกในสายตา

เมื่อเห็นท่าทางสงบของนาง ร่างกายของทุกคนก็คลายลง สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้คือเชื่อมั่นในตัวมู่เฉิน

ตั้งแต่ติดตามประมุขมายังที่ราวเป่ยยู่ พวกเขาก็รู้แล้วไม่ใช่หรือว่าการเดินทางครั้งนี้มีความเสี่ยง?

เพื่ออนาคตของตำหนักมู่และอนาคตของพวกเขา

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ติดตามประมุขไปจนถึงจุดสิ้นสุดเถอะ

ตู้ม ตู้ม!

ท่ามกลางสายตาตั้งมั่นของสมาชิกตระกูลมู่ การปะทะกันครั้งใหญ่ก็ดังก้องบนท้องฟ้า การโจมตีรุนแรงกระแทกเข้ากับปราการสีทอง

ร่างมู่เฉินถูกปกคลุมไปด้วยแสง ขณะมองไปที่ภาพเงาทั้งสามโดยไม่มีระลอกคลื่นใดๆ ในดวงตา เขาเพียงก้มศีรษะลงมองไปที่เจดีย์ผลึกใส

“หนักเกินไปที่จะใช้วิชาเจดีย์แปดองค์ด้วยขุมพลังที่มีตอนนี้”

มู่เฉินยิ้มบางดูเหมือนเขาจะต้องเลือกที่จะบรรลุแล้ว วันนี้เขาต้องการที่จะทำลายความมั่นใจของทั้งสาม เพื่อที่พวกเขาเหล่านั้นจะไม่กล้าต่อกรกับตำหนักมู่ตลอดกาล!

เม็ดยาเม็ดหนึ่งปรากฏขึ้นระหว่างนิ้วซึ่งมีกลิ่นหอม

นี่ก็เม็ดยาเซิ่งหว่า

นอกปราการสีทอง ผู้นำทั้งสามก็สังเกตเห็นการกระทำของมู่เฉิน แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มพยายามจะทำอะไร แต่ด้วยความระมัดระวังพวกเขาจึงเพิ่มความเร็วในการโจมตีทันที

มู่เฉินยกนิ้วโยนเม็ดยาเซิ่งหว่าเข้าปากและหลับตา

ยาไหลลงคอก่อนที่จะระเบิด ราวกับพายุแพร่กระจายไปทั่วสรรพางค์กายของมู่เฉินในทันที

พลังงานหลิงผันผวนภายในร่างกาย เนื้อหนังเปล่งแสงแวววาวประหนึ่งเขาถูกสลักจากอัญมณี

ในเวลาเดียวกันเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังงานที่แผ่ออกมาจากร่างกายของมู่เฉิน ช่างพลุ่งพล่านด้วยความเร็วที่น่าตกใจอย่างยิ่ง

คลื่นหลิงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแผ่ซ่านอยู่รอบๆ ร่างของมู่เฉิน

“เขาพยายามจะบรรลุขุมพลัง!”

เจ้าเมฆาม่วงอุทานด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ

ชายหนุ่มคนนี้บ้าบิ่นแท้จริง มันกล้าที่จะบรรลุขุมพลังต่อหน้าพวกเขา!

“หยุดเขา!”

ทั้งสามแผดเสียงพร้อมกัน แค่เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มมู่เฉินก็เป็นตัวปัญหามากแล้ว ถ้าเขาสามารถบรรลุขั้นเต็มได้ละก็ จะเหนียวเคี้ยวยากเกินกว่าจะรับมือแค่ไหน?

ดังนั้นพลังงานหลิงจึงรวมตัวกันอยู่เบื้องหลังทั้งสามคน ก่อเป็นเงาร่างสามร่างอย่างรวดเร็วซึ่งสร้างแรงกดดันที่น่ากลัว

ทั้งสามเร้าร่างเวทสวรรค์ออกมาแล้ว!

ขณะที่ร่างเวทสวรรค์ทั้งสามยืนตระหง่านระหว่างฟ้าดิน พลังงานหลิงก็ครางกระหึ่มราวกับพายุ

ตู้ม!

ร่างเวทสวรรค์ของทั้งสามเคลื่อนไหว กำปั้นมหึมาเหมือนได้รวบรวมพลังงานที่น่ากลัวไว้ภายใน ขณะที่เหวี่ยงซัด มิติก็แตกสลาย สุดท้ายกำปั้นก็พุ่งเข้าหาปราการสีทอง

ตึง ตึง!

ปราการสีทองผันผวนรุนแรงก่อนที่จะถึงขีดสุด อึดใจก็ระเบิดออก

“ตายซะ!”

เมื่อปราการสีทองแตกเป็นเสี่ยงๆ หมัดสามหมัดก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้าตรงไปที่มู่เฉินที่ยืนอยู่บนไหล่ของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ขณะที่มิติยุบลงอย่างต่อเนื่อง

ทุกคนเฝ้ามองฉากนี้ด้วยเปลือกตากระตุกไม่หยุด มู่เฉินจะเอาชีวิตรอดภายใต้การโจมตีนี้ได้อีกหรือ?

หมัดพุ่งลงมา ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมา มู่เฉินบนไหล่ของร่างสีม่วงทองก็ลืมตาโพลง

รูม่านตาสีดำของเขาลึกซึ้งบรรจุด้วยพลังที่ไม่อาจจินตนาการได้

ขณะนี้ทุกคนรู้สึกถึงความผันผวนของพลังงานหลิงที่เล็ดลอดออกมาจากมู่เฉินมาถึงจุดสูงสุดที่น่ากลัวแล้ว

“เขาทำได้จริงเหรอ?! นี่ไม่เร็วเกินไปรึไง?!” ทั้งสามตัวสั่นสะท้าน หากเป็นจอมยุทธ์ธรรมดาจะต้องใช้เวลานานในการบุกทะลวงขุมพลังแต่ละขั้น แต่ทำไมถึงใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีสำหรับมู่เฉิน?!

ทว่าที่พวกเขาไม่รู้คือมู่เฉินมีคุณสมบัติในการบรรลุนานแล้ว เขาแค่ละการทำเช่นนี้เอาไว้ เพราะเขาต้องการให้รากฐานพลังแข็งแรงมากขึ้นก่อน ดังนั้นเมื่อมียาเซิ่งหว่าเป็นตัวกระตุ้นก็คล้ายกับความกดดันคลายตัวลง ทำให้เกิดพัฒนาการได้อย่างง่ายดาย

“หึ ต่อให้แกจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม วันนี้ก็ต้องตาย!”

แต่ทั้งสามคนที่ตกใจก็กลับมาสงบลงได้อย่างรวดเร็ว ความดุร้ายในการโจมตีเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน ไม่ต้องพูดถึงว่ามู่เฉินแค่บรรลุขั้นเต็ม ต่อให้มันสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนเหมือนกับพวกเขาก็ไม่มีโอกาสที่จะชนะ!

ครืน!

ขณะที่เกิดความคิดนี้ การโจมตีที่ดุเดือดก็ได้ซัดลงไปแล้ว

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมือวาดตราประทับ ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ส่งเสียงคำราม แสงสีม่วงทองพวยพุ่งก่อนที่จะซัดออกไป แสงพัฒนาเป็นโล่สีทองปะทะกับหมัดทั้งสาม

ตู้ม!

จังหวะที่ปะทะกันฟ้าดินก็เงียบงันไป วินาทีต่อมาคลื่นกระแทกกวาดออกไปในระยะหลายแสนจั้งระเบิดไปทั่วท้องฟ้า ลบหมู่เมฆจนหมดสิ้น

ทุกคนจับจ้องไปที่จุดปะทะ

ตรงจุดนนั้น ร่างสีม่วงทองถอยออกไปหลายพันจั้ง ส่วนหมัดทั้งสามก็ถูกต้านทานไว้ได้

“หึ”

ทั้งสามคนครวญครางด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แม้ว่าพวกเขาจะเหนือกว่าในการเผชิญหน้าครั้งก่อน แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเอาชนะมู่เฉินได้

ต้องรู้ว่าแม้แต่คนที่อยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีนี้!

แต่ตอนนี้มู่เฉินเพียงแค่ถูกผลักถอยกลับเท่านั้น ไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงใดๆ

ความโกลาหลกวนตัวพร้อมกับจอมยุทธ์หลายคนส่ายหัวด้วยความอัศจรรย์ใจ ชัดเจนที่พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะสามารถรับการโจมตีทั้งสามได้จริงๆ

“ช่างน่าเกรงขามนัก เผชิญหน้ากับสามจอมยุทธ์ยิ่งใหญ่ยังเสียเปรียบเพียงเล็กน้อย ประมุขมู่ดุดันจริงๆ!” แม้แต่ขั้วอำนาจที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้นำทั้งสามยังอดถอนหายใจไม่ได้

“แต่ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถต้านทานได้ ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเผชิญหน้ากับทั้งสามคนด้วยตัวคนเดียว เวลาต่อจากนี้ไปผู้นำทั้งสามจะเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน!”

ขณะที่เสียงสนทนาดังสะท้อน สายตาของผู้นำทั้งสามก็จับจ้องไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา เจตนาฆ่าไหลพล่านออกมาจากดวงตาพวกเขา

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่พอใจกับการได้เปรียบก่อนหน้า

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาเย็นชานั่น มู่เฉินบนไหล่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็โบกมือเบาๆ “มีความสามารถอยู่จริงๆ นะเนี่ย”

มู่เฉินยิ้มขณะเงยหน้ามองไปที่ทั้งสามคน “อวดกันจบแล้ว งั้นต่อไปก็ควรถึงตาข้าบ้างแล้วมั้ง?”

เมื่อพูดจบเขาไม่ได้รั้งรอให้ทั้งสามพล่ามอะไร เจดีย์ผลึกใสก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนที่เงาขนาดใหญ่จะพลิ้วลงมาโอบล้อมทั้งสามคนไว้พร้อมกับร่างเวทสวรรค์…

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท