หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1367

ตอนที่ 1367

ตู้ม!

บนท้องฟ้าที่ราบเป่ยยู่ เมื่อเจดีย์ผลึกแก้วสลายตัวลง พายุคลื่นหลิงทรงพลังก็พัดออกไปทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน

สายตานับไม่ถ้วนพุ่งมองไปบนท้องฟ้า เมื่อเห็นว่าเจดีย์หายไปดวงตาทุกคู่ก็กะพริบวูบไหว ก่อนที่ความวุ่นวายจะระเบิดขึ้นอีกครั้ง

“เจดีย์ผลึกแก้วหายไปแล้ว! ดูเหมือนว่าผู้นำทั้งสามจะทำลายได้!”

“เร็วมาก ดูเหมือนมู่เฉินแสร้งทำเป็นแข็งแกร่งซะแล้ว…”

“ยังไงซะก็เป็นการต่อสู้กับจอมยุทธ์ทั้งสามคนตามลำพัง แม้ว่าเขาจะล้มเหลว แต่เขาก็ควรภาคภูมิใจได้ หลังจากวันนี้ไปข้าคิดว่าชื่อเสียงของตำหนักมู่จะขจรขจายไปจักรวรรดิเหนือ”

“แต่สุดท้ายเขาก็ล้มเหลว…”

“…”

เสียงสนทนาดังสะท้อน สมาชิกขั้วอำนาจทั้งสามก็คลายสีหน้าลง

เห็นได้ชัดว่าในสายตาพวกเขาการที่เจดีย์หายไปนั้น ต้องหมายความว่าถูกทำลายโดยผู้นำทั้งสามเป็นแน่

เมื่อจอมยุทธ์ตำหนักมู่เห็นสิ่งนี้ พวกเขาก็รู้สึกถึงความไม่สบายใจตีกวน ก่อนที่จะมองมั่นถัวหลัว อีกฝ่ายทำเพียงเงยหน้าขึ้นมองไปที่พายุพลังงานโดยไม่กะพริบตา

ฟิ้ว!

เสียงหวีดหวิวคมชัดดังขึ้น พริบตาเดียวผู้คนนับไม่ถ้วนก็เห็นเงาร่างสามร่างดิ่งพสุธาลงมาจากท้องฟ้าเหมือนอุกกาบาต ก่อนที่จะกระแทกลงไปในส่วนลึกของที่ราบเป่ยยู่

ครืน!

ผลกระทบดังกล่าวทำให้ที่ราบเป่ยยู่ทั้งหมดโยกคลอน รอยแตกขนาดใหญ่ก็แผ่กระจายออกไปอย่างรุนแรงปกคลุมไปทั่ว

ทุกคนมองไปด้วยความตกใจ ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะแพ้หมดท่าเลยเหรอ?

ผู้คนทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชะเง้อมองไปในส่วนลึกของที่ราบ พวกเขาเห็นหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่สามแห่ง ซึ่งมีร่างเงาสามร่างนอนพังพาบอยู่…

“นั่นมัน?”

ทุกสายตาจ้องมองไปที่ร่างเงาทั้งสาม ครู่ต่อมาก็ต้องเบิกตากว้างพร้อมกับความไม่เชื่อพล่านบนใบหน้า

เนื่องจากพวกเขาตระหนักได้ว่านั่นคือเจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองที่นอนอยู่ในหลุมอุกกาบาต!

โห่!

เสียงอุทานดังก้องระหว่างฟ้าดิน ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาทั้งสามก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นความกลัวราวกับว่าพวกเขาเห็นผี

“นี่…เป็นไปได้ยังไง?!”

พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่ปากจะพะงาบพูดขึ้น “ดูเหมือนมู่เฉินจะมีความสามารถแท้จริง เพื่อที่จะฆ่าเขา ประมุขทั้งสามยังได้รับบาดเจ็บหนัก!”

แต่ขณะที่พวกเขากำลังปลอบใจตัวเอง สายตาก็ต้องแข็งทื่อเมื่อเห็นร่างอ่อนเยาว์ค่อยๆ เคลื่อนลงมาพร้อมกวาดมองไปที่หลุมอุกกาบาตทั้งสามด้วยสีหน้าสงบ

แม้ว่าเงาบนท้องฟ้านั่นไม่ได้ทำให้เกิดความผันผวนของคลื่นหลิงใด แต่ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงความสยองเกล้าแผ่ซ่านออกมาในใจ

ภายใต้ความกดดันที่ราบเป่ยยู่เงียบสนิทลง กระทั่งขั้วอำนาจน้อยใหญ่จำนวนมากที่อยู่ใต้บัญชาของผู้นำทั้งสามก็ไม่กล้าทำตัวหยิ่งยโสเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

ความกดดันที่เกิดขึ้นจากร่างนั่น แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้นำทั้งสาม ดังนั้นแววเยาะเย้ยจึงเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว…

ทว่าเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น มู่เฉินก็ไม่ได้สนใจ เขาเพียงแค่มองไปในหลุมอุกกาบาตสามแห่งจากเบื้องบนชั่วครู่ก่อนจะพูดว่า “ถ้ายังไม่ตายก็ลุกขึ้นมาซะ”

เสียงเขาถูกตอบกลับด้วยความเงียบ ไม่มีใครกล้าพูดสักแอะขณะที่มองไปยังหลุมอุกกาบาต

ความเงียบคงอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะเกิดการเคลื่อนไหวในหลุมอุกกาบาต ร่างสามร่างค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ภายใต้การจ้องมองของทุกคน

ซี้ด

เมื่อทุกคนเห็นทั้งสามนั้น พวกเขาก็สูดลมหายใจเย็นด้วยความกลัวบนใบหน้า

เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองเสื้อผ้าแต่ละคนขาดวิ่นไปหมด มิหนำซ้ำคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวก็อ่อนกำลังลงเช่นกัน

นอกจากนี้ที่สำคัญคือตรงบ่าพวกเขายังมีคราบสีดำราวกับโคลนปกคลุมพื้นผิวพยายามที่จะกัดกร่อนร่างกายและคลื่นหลิงอย่างต่อเนื่อง

ใบหน้าของทั้งสามซีดเผือด เนื้อตัวบวมฉึ่งไม่หยุด ก่อนที่จะระเบิดเลือดสดไหลลงมา

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาบาดเจ็บหนัก!

ทั้งสามยืนอยู่บนท้องฟ้าใกล้กันมองไปที่มู่เฉินอย่างเคร่งเครียด ทว่าสายตาของพวกเขาไม่ได้หยิ่งผยองอีกต่อไป แต่กลับมีความกลัวหนาแน่นแทนที่

พวกเขาเข้าใจถึงความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของมู่เฉินจากการปะทะกันแล้ว ซ้ำเหล่าปีศาจในเจดีย์ยังน่าสะพรึงกลัวมากจนแม้แต่พวกเขาร่วมมือกันก็ไม่สามารถกีดขวางใดๆ ได้

“ตอนนี้เรามาคุยเรื่องเกี่ยวกับตำหนักมู่ของข้าที่จะเข้าสู่จักรวรรดิเหนือได้หรือยัง?” มู่เฉินมองไปที่ทั้งสามด้วยรอยยิ้มอ่อน ท่าทางไม่ดุร้ายเหมือนเมื่อครู่

ทั้งสามคนตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พวกข้าปฏิเสธได้เรอะ?”

ยามนี้พลังในการต่อสู้ของพวกเขาลดลงอย่างมากจากการบาดเจ็บ ถ้ามู่เฉินต้องการที่จะฆ่าพวกเขาจริงๆ พวกเขาก็จะกลายเป็นปุ๋ยบำรุงที่ราบเป่ยยู่ในวันนี้แน่

ดังนั้นตอนนี้พวกเขาเป็นลูกไก่ในมือคนอื่น พวกเขาไม่มีสิทธ์ที่จะคุยโวกับมู่เฉินได้

“พวกเจ้าว่ายังไงล่ะ?” มู่เฉินยิ้ม

ทั้งสามคนอยู่ในความเงียบ แต่ดูไม่เย่อหยิ่งอีกต่อไป

เมื่อมู่เฉินเห็นสิ่งนี้ เขาก็ไม่ได้สนใจอีกฝ่าย สะบัดแขนเสื้อทันที แสงหลิงพวยพุ่งขึ้นบนท้องฟ้าก่อตัวเป็นแผนที่ขนาดใหญ่ของจักรวรรดิเหนือ

ดินแดนดังกล่าวถูกแยกออกจากกันอย่างชัดเจน จักรวรรดิเหนือกว่าแปดส่วนถูกครอบครองโดยสามขั้วอำนาจใหญ่เหล่านี้ ขณะที่ภูมิภาคทางเหนือครอบครองสถานที่ห่างไกล

มู่เฉินดีดนิ้ว แสงหลิงก็ยิงเข้าไปในแผนที่ ทุกคนสามารถมองเห็นพื้นที่ภูมิภาคทางเหนือขยายตัวอย่างรวดเร็วโดยการกลืนกินเข้าไปในดินแดนของสามขั้วอำนาจทั้งสี่ด้าน

หลังจากไม่กี่ลมหายใจการขยายตัวก็หยุดลงโดยมีตำหนักมู่ได้ครอบครองครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิเหนือ ขณะที่สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองคำมีส่วนแบ่งอีกครึ่งหนึ่ง

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนี่จะเป็นการแบ่งดินแดนของจักรวรรดิเหนือ” เสียงของมู่เฉินดังขึ้นขณะที่ชี้ไปที่แผนที่

เฮือก

ขั้วอำนาจน้อยใหญ่กลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก จากการแบ่งนี้เกือบครึ่งหนึ่งจะถูกลากเข้าไปใต้บังคับบัญชาของตำหนักมู่

นี่เผด็จการเกินไปแล้ว!

เขากลืนกินจักรวรรดิเหนือครึ่งหนึ่งในคราวเดียว!

แม้ว่าแต่ละคนจะมีความคิดเช่นนั้น แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ทุกคนจับจ้องไปที่ผู้นำทั้งสาม เนื่องจากพวกเขาไม่มีสิทธ์ที่จะไปโต้เถียงอะไรกับมู่เฉิน

“นี่มันเกินไปแล้ว!” เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิง เจ้าอินทรีทองคำรามด้วยความโกรธใบหน้าแต่ละคนเขียวคล้ำ

นี่เท่ากับความเสียหายใหญ่หลวงสำหรับพวกเขา!

มู่เฉินยิ้ม “ผู้ชนะเขียนกฎจะมากเกินไปได้ยังไง? ถ้าวันนี้ตำหนักมู่ของข้าพ่ายแพ้ วิธีของพวกเจ้าจะไม่เกินกว่านี้รึไง?”

ใบหน้าของทั้งสามคนกระตุกก่อนที่จะหายใจเข้าลึกๆ “ประมุขมู่ เจ้าทรงพลังมากก็จริง แต่เจ้าก็น่าจะรู้ว่าพวกข้าไม่ใช่คนตัดสินใจที่นี่ เบื้องหลังพวกข้าเป็นขั้วอำนาจชั้นสูงสุดของมหาพันภพ…”

คำพูดของเขามีการข่มขู่แอบแฝงในที

มู่เฉินทรงพลังก็จริง แต่พวกเขามีจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนอยู่ข้างหลัง เมื่อไรที่จอมยุทธ์เหล่านั้นเคลื่อนไหว ต่อให้มู่เฉินมีปีศาจเหล่านั้นก็ต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย!

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าก็แค่หุ่นกระบอกเท่านั้น” มู่เฉินพูดเบาๆ ก่อนจะว่าต่อ “ไม่งั้นพวกเจ้าคิดว่าข้าทำไมต้องเสียแรงมาพูดด้วย? แค่จัดการให้สิ้นซากและครอบครองจักรวรรดิเหนือทั้งหมดก็จบ”

ถ้าไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากท้าทายขั้วอำนาจเบื้องหลังถึงที่สุด เขาจะเหลือดินแดนครึ่งหนึ่งไว้ให้กับพวกเขาทำไม?

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ใบหน้าของทั้งสามก็ซีดและเขียวสลับกันก่อนที่จะกัดฟัน “ดูเหมือนตำหนักมู่จะสามารถเผชิญหน้ากับขั้วอำนาจสูงสุดทั้งสามได้ พวกเราพลาดไปเอง”

แม้ว่าพวกเขาจะพูดแบบนี้ แต่คำพูดเยาะเย้ยในคำพูดก็ชัดเจน

เห็นได้ชัดที่พวกเขาคิดว่ามู่เฉินเพียงแค่ปากแข็งเท่านั้น เพราะขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพต่างมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในมือ ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่จะแข่งขันได้

มู่เฉินยิ้ม “พวกเจ้าแต่ละคนมีกลุ่มสนุบสนุนอยู่เบื้องหลัง แล้วคิดว่าข้าไม่มีรึไง?”

เจ้าเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองหดตาลง จากนั้นก็เค้นเสียงเย็น พวกเขาเคยตรวจสอบภูมิหลังของตำหนักมู่แล้ว ซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีขั้วอำนาจสูงสุดสนับสนุนอยู่ด้านหลัง มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่กล้าที่จะยั่วยุตรงๆ แบบนี้หรอก

เมื่อเห็นท่าทางทั้งสาม มู่เฉินก็ยิ้มก่อนที่จะโบกแขนเสื้อ แสงสีทองพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า

เมื่อแสงสลายป้ายสีทองก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับตัวอักษรสลักว่า ‘ป้ายสังหารปีศาจ’ ภายใต้คำนี้มีอักษรสีแดงเข้มกระแทกตาพร้อมกับกลิ่นอายครอบงำในสายตา

ราชันสังหารปีศาจ

ทั้งสามคนพุ่งความสนใจไปทันที เมื่อเห็นตัวอักษรสีแดงเข้มคำว่าราชันสังหารปีศาจ พวกเขาก็สั่นสะท้าน หนังหัวชาหนึบไปหมด

ในที่สุดพวกเขาก็รู้ถึงขุมกำลังที่ยืนอยู่ข้างหลังมู่เฉิน…

ขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาพันภพ—วังมหาพันภพ!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท