หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1369

ตอนที่ 1369

การต่อสู้แย่งชิงอำนาจบนที่ราบเป่ยยู่

จบลงด้วยตำหนักมู่ครอบครองดินแดนเกือบครึ่งหนึ่ง ผลลัพธ์นี้กวาดคลื่นไปทั่วจักรวรรรดิเหนือทั้งหมด

ไม่มีใครมองแง่ดีเกี่ยวกับตำหนักมู่ในตอนแรก เนื่องจากพวกเขาทราบดีว่าผู้นำทั้งสามจะต้องรวมพลังกันหยุดขั้วอำนาจใหม่อย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

ดังนั้นทุกคนจึงรู้สึกว่าความทะเยอทะยานของตำหนักมู่ก็คงเหมือนกับสำนักรุ่นก่อนๆ ที่ถูกลบออกไปภายใต้ความโกรธเกรี้ยวของผู้นำทั้งสาม

ดังนั้นผลลัพธ์บนที่ราบเป่ยยู่ครั้งนี้ทำเอาทุกคนตกตะลึงไป

พวกเขาจินตนาการไม่ออกว่าประมุขตำหนักมู่ที่อายุน้อยจะมีพลังลึกล้ำและไร้เทียมทานเพียงใดถึงได้สามารถต่อกรด้วยตัวเอง ซ้ำยังเอาชนะจอมยุทธ์ทั้งสามที่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้วได้

ต้องรู้ว่าพลังของประมุขตำหนักมู่เกือบจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น…

ขณะที่ทุกคนตกตะลึง บางคนก็ดวงตาแดงฉานเพราะคิดว่าการกระทำของตำหนักมู่เป็นการแสวงหาความตาย ผู้นำทั้งสามต่างมีขั้วอำนาจสูงสุดหนุนหลังพวกเขา ซึ่งทั้งสามนับว่าเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น

แต่ในไม่ช้าความคิดของพวกเขาก็ดับวูบเมื่อวังมหาพันภพถูกพูดออกมา ไม่มีใครกล้ารู้สึกอิจฉามู่เฉินอีกต่อไป

เนื่องจากพวกเขารู้ว่าวังมหาพันภพเป็นยักษ์ใหญ่ที่แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ก็ต้องยอมถอยออกมาได้

ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าตำหนักมู่ไม่ใช่ขั้วอำนาจที่ไม่มีรากฐาน พวกเขาไม่เพียงแต่มีประมุขหนุ่มที่ลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ แต่พวกเขายังมีขั้วอำนาจสุดยอดคอยหนุนหลังอีกด้วย

ไม่ว่าในแง่ของขุมกำลังหรือการหนุนหลัง ตำหนักมู่ก็แข็งแกร่งกว่าสามผู้นำหลายขุม!

เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้แบบนี้ ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมแม้แต่สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองถึงพ่ายแพ้ยับเยินแม้จะร่วมมือกัน

ขณะนี้ทุกคนในจักรวรรดิเหนือรู้ว่าผู้นำของที่นี่ไม่ใช่ประมุขทั้งสามอีกต่อไป แต่เป็นตำหนักมู่ที่เพิ่งก่อตั้งได้เพียงสองปี…

“จักรวรรดิเหนือกำลังจะเปลี่ยนแปลง”

ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ต่างพากันถอนหายใจและเริ่มหาเส้นสายสร้างความสัมพันธ์กับตำหนักมู่

ทุกคนบอกได้ว่าอิทธิพลของตำหนักมู่จะพุ่งทะยานจนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ในฐานะหนึ่งในห้าจักรวรรดิของทวีปเทียนหลัว

การเปลี่ยนแปลงมีนัยสำคัญนี้ โดยธรรมชาติไม่สามารถหลีกเลี่ยงความสนใจของเจ้าเหนือหัวจักรวรรดิอื่นๆ ได้

ทวีปเทียนหลัวเป็นมหาทวีปที่มีพื้นที่และทรัพยากรมากมาย ดังนั้นจึงดึงดูดความสนใจของขั้วอำนาจจำนวนมากในมหาพันภพ ทว่าเนื่องจากคนที่จับจ้องมีมากไปกลับทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะเคลื่อนไหว ดังนั้นจึงมีกฎสร้างขึ้นมา ห้ามไม่ให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเข้ามายุ่งกับการแย่งชิงอำนาจของทวีปเทียนหลัว

แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าเหนือหัวส่วนใหญ่ในจักรวรรดิอื่นๆ ล้วนมีขั้วอำนาจสูงสุดยืนอยู่ข้างหลัง

ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผู้นำจักรวรรดิอื่นๆ จะแอบเฝ้าดูเหตุการณ์ในจักรวรรดิเหนือ พวกเขามีความสุขมากที่ได้เห็นเหตุการณ์จลาจล เนื่องจากพวกเขาอาจได้รับประโยชน์จากมัน

ดังนั้นเมื่อพวกเขาพบรู้ว่าตำหนักมู่เอาชนะสามขั้วอำนาจที่ยืนยงมานานได้ พวกเขาก็มีความคิดที่จะเคลื่อนไหว ทว่าแผนการของพวกเขาก็พังครืนไม่เป็นท่า เมื่อพวกเขาได้รับข้อมูลจากขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังว่าห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับจักรวรรดิเหนือ

ในข้อความระบุชัดเจนว่าประมุขมู่แท้จริงแล้วคือราชันสังหารปีศาจคนที่สองของวังมหาพันภพ

ข้อมูลนี้คล้ายกับถังน้ำเย็นราดรดใส่ทำให้พวกเขาตกใจไปเลยทีเดียว พวกเขาเคยคาดเดาที่มาของป้ายสังหารปีศาจ แต่ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะเป็นราชันสังหารปีศาจคนที่สองของวังมหาพันภพจริง

เพราะลือกันว่าราชันสังหารปีศาจทุกคนจะมีพลังเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งซึ่งถือเป็นเสาหลักของมหาพันภพ แต่ทำไมตอนนี้ถึงมีราชันขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มโผล่มา?

พวกเขาเคยได้ยินชื่อเสียงของมู่เฉินมาก่อน เนื่องจากชายหนุ่มคนนี้ได้รับความชื่นชมจากเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามเมื่อตอนที่วังสวรรค์บรรพกาลปรากฏ มิหนำซ้ำยังได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากวังโบราณมาอีกด้วย

แต่ในเวลานั้นมู่เฉินยังคงไม่มีอะไรน่าสนใจในสายตาของขั้วอำนาจเหล่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขากลัวเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม พวกเขาคงจะเคลื่อนไหวเข้าแก่งแย่งวังสวรรค์บรรพกาลแล้ว

แต่ใครจะคิดว่าชายหนุ่มคนนี้จะขึ้นดำรงตำแหน่งราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพในเวลาเพียงปีเดียว นอกจากนี้เขายังยกระดับไปยังขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มอีกด้วย

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกไม่เชื่อมากแค่ไหน พวกเขาก็ต้องยอมรับความจริงอันโหดร้ายนี้ก่อนที่จะตัดสินลงไป บางคนพยายามส่งสารแสดงความยินดีไปยังตำหนักมู่โดยแสดงความปรารถนาดีที่จะสนับสนุนประมุขมู่ในฐานะเจ้าเหนือหัวจักรวรรดิเหนือด้วย

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เหตุการณ์ของจักรวรรดิเหนือก็สะเทือนไปทั่วทวีปเทียนหลัว ทุกคนรู้ว่าตำหนักมู่คือเจ้าเหนือหัวคนใหม่และประมุขหนุ่มของพวกเขาก็คือราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพอีกด้วย…

ภูมิภาคทางเหนือ ตำหนักมู่

มู่เฉินมองไปที่ทูตที่จากไปพร้อมกับสารสีทองในมือ นี่เป็นการแสดงความยินดีอีกครั้งที่มาจากขั้วอำนาจของจักรวรรดิอื่น

“จนถึงตอนนี้มีขั้วอำนาจอย่างน้อยแปดแห่งจากจักรวรรดิอื่นๆ ที่มาแสดงความยินดีกับเรา” มั่นถัวหลัวส่ายหัวไปมาข้างหลังมู่เฉิน

ต้องรู้ว่าความวุ่นวายของจักรวรรดิเหนือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะใช้ประโยชน์ แต่ตอนนี้คนเหล่านั้นไม่เพียงแต่ไม่ได้ทำอะไรเลย พวกเขายังส่งสารแสดงความยินดีมาอีกด้วย

“ดูเหมือนตำแหน่งของเจ้าในฐานะราชันสังหารปีศาจของวังมหาพันภพจะน่ากลัวจริงๆ” มั่นถัวหลัวยิ้มให้กับมู่เฉิน นางเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการกระทำเหล่านั้นโดยธรรมชาติ

มู่เฉินยิ้มขณะที่ทอดถอนหายใจ ชื่อของวังมหาพันภพมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีอำนาจใดๆ มิฉะนั้นทำไมเขาต้องกลัวเผ่าฝูถูด้วย? แค่บุกเข้าไปช่วยเหลือมารดาก็จบ

“การเก็บเกี่ยวเป็นอย่างไร?” มู่เฉินหันไปมองมั่นถัวหลัว การเพิ่มขึ้นของดินแดนที่ครอบครองครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิเหนือโดยมีขั้วอำนาจจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา

“ราบรื่นดี” มั่นถัวหลัวพยักหน้า หลังจากที่มู่เฉินแสดงพลังและการสนับสนุนเป็นที่ประจักษ์ ก็ไม่มีใครในจักรวรรดิเหนือกล้าไม่พอใจ ดังนั้นการรวมตัวกันจึงค่อนข้างราบรื่น มิหนำซ้ำยังมีกลุ่มบางส่วนหวังที่จะเข้ามาอยู่ภายใต้การคุ้มครองของตำหนักมู่ด้วย

มู่เฉินพยักหน้ายืดเอว “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ที่เหลือให้พวกเจ้าจัดการก็แล้วกัน”

เมื่อได้ยินคำพูดนั่น มั่นถัวหลัวก็กลอกตาทันที “นี่คิดจะโบ้ยงานอีกแล้วเหรอ”

“ข้าหาดินแดนให้พวกเจ้าแล้ว ก็ต้องปล่อยให้พวกเจ้าจัดการสิ!” มู่เฉินพูดก่อนที่จะหัวเราะเบาๆ “ข้าได้รับความเข้าใจขั้นสองของวิชาสามพิสุทธิ์ ดังนั้นก็ต้องเข้าสมาธิศึกษาสักหน่อย”

มั่นถัวหลัวส่งเสียงขึ้นจมูก แต่ก็ไม่บ่นอะไรต่อ เนื่องจากนางรู้ชัดเจนว่าหากตำหนักมู่ต้องการเติบโตก็จะต้องมีเสาหลักเพื่อรองรับไว้

ตอนนี้มู่เฉินแซงหน้านางไปแล้ว ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเขาที่จะเป็นเสาหลักนั้น

เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นถังปิงเดินเข้ามา เขารีบตบไหล่มั่นถัวหลัว “ฝากด้วยนะ”

พูดจบเขาก็วาบหายไปทันที

เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นว่าเขาวิ่งเร็วแค่ไหน นางก็อดส่ายหัวไม่ได้ก่อนจะมองไปที่ถังปิงที่กำลังจะเดินเข้ามา พูดอย่างเปรี้ยวใจว่า “มีอะไรก็บอกข้าเลย เจ้านั่นหนีไปอีกแล้ว”

เมื่อถังปิงได้ยินคำพูดเหล่านั้น นางก็มองไปยังจุดที่มู่เฉินหายตัวไปด้วยความผิดหวัง ก่อนที่จะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

ทะเลสาบสวรรค์ทอดตัวยาวภายในวังโบราณ

ปลดปล่อยคลื่นหลิงออกมาอย่างไร้ขอบเขตทั่วทั้งบริเวณ

ในส่วนลึกมู่เฉินนั่งลงเตรียมตัวทำความเข้าใจกับวิชาสามพิสุทธิ์ขั้นสอง

ด้วยการรับรู้ เขาสัมผัสถึงขั้นสองของวิชาสามพิสุทธิ์แล้ว เขาต้องการเพียงโอกาสให้ก้าวไปสู่พัฒนาการ

“ในที่สุดข้าก็เข้าสมาธิได้สักที”

มู่เฉินพึมพำ เขาอยู่ที่ตำหนักมู่มาระยะหนึ่งเพื่อรักษาเสถียรภาพของสิ่งต่างๆ ดังนั้นเขาจึงละในแง่ของการเพาะบ่มไป ตอนนี้ทุกอย่างจัดการเรียบร้อย เขาจึงมีเวลาว่างสักที

พอพูดจบเขาก็ค่อยๆ หลับตาลง

ในขณะที่มู่เฉินเข้าสมาธิ

เขาไม่รู้เลยว่ามีร่างเงาร่างหนึ่งพุ่งมายังทิศทางของทวีปเทียนหลัวอย่างรีบร้อน

ภาพเงานั้นดูงดงามแฝงความเย็นชา นี่ก็คือชิงซวงซึ่งมู่เฉินเคยพบมาก่อนในแดนเซิ่งยวน

ยามนี้ชิงซวงมีสีหน้าหนักหน่วง นางมองแผนที่ในมือที่บอกจุดทวีปเทียนหลัวพลางกำหมัดแน่น

“มู่เฉิน ท่านน้าจิ้งมีปัญหาเข้าแล้ว!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท